Getsunova 14 ปีวงการเพลง ขยี้ประเด็นสังคมสุดพีก


ให้คะแนน


แชร์

เรียกว่าเป็นวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจนกลายเป็นภาพจำไปแล้ว สำหรับ Getsunova ที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิกหนุ่ม เนม ปราการ ไรวา (ร้องนำ), นต ปณต คุณประเสริฐ (กีตาร์, นักแต่งเพลง, คอรัส, ซินธิไซเซอร์), นาฑี โอสถานุเคราะห์ (กีตาร์), ไปร์ท คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ (กลอง) ซึ่งตลอดระยะเวลา 14 ปีในวงการเพลง สร้างสีสันด้วยบทเพลงดังต่างๆ มามากมาย อาทิ ไกลแค่ไหนคือใกล้, คนไม่จำเป็น, คำถามซึ่งไร้คนตอบ, โดดเดี่ยวด้วยกัน, อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้, สิ่งที่ตามหา, แตกต่างเหมือนกัน, ความเงียบที่ดังที่สุด, พระเอกจำลอง ฯลฯ

ล่าสุดพวกเขากลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ “Thailander” ที่เปิดตัวด้วยเพลง “อีกไม่นาน นานแค่ไหน” เพลงรักที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากชื่อเพลงจะย้อนแย้งตามสไตล์ของพวกเขาแล้ว เนื้อหาของมิวสิกวิดีโอก็เป็นที่พูดถึงอย่างมาก เพราะขยี้ประเด็นร้อนๆ ของสังคมไว้หลายจุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวน 3 หนุ่ม เนม, นต, นาฑี พูดคุยถึงอัลบั้มใหม่ รวมถึงวันวานของเนมเมื่อครั้งเป็นศิลปินเดี่ยว และเส้นทางในวงการเพลงของพวกเขาตลอด 14 ปีที่ผ่านมา

ย้อนวันวานทำอัลบั้มเดี่ยว

ก่อนที่จะเกิดวง Getsunova ขึ้นมาในวงการเพลง หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่านักร้องนำอย่างเนม ปราการ เคยออกอัลบั้มเดี่ยวมาก่อน เมื่อเราถามถึงเรื่องนี้ เนมนั่งนึกอยู่สักพัก ก่อนจะเล่าถึงชีวิตช่วงนี้ของเขาให้ฟังว่า “ก็คือชอบร้องเพลง รู้สึกว่าตอนนั้นเหมือนมีการแข่งขันประกวดร้องเพลงพิธีปิดเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ซึ่งทาทา ยัง ร้องพิธีเปิด ส่วนพิธีปิดก็เป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง 2 คนร้องเพลง เนมก็ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นตัวแทนเด็กผู้ชายไปร้องเพลงภาษาอังกฤษ

แล้วพอดีพี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล) เขาชวนไปเป็นศิลปินฝึกหัด ฝึกไปฝึกมาก็อยู่ในช่วงที่เนมไปเรียนที่อังกฤษ พอเรียนจบมัธยมก็เลยดร็อปเรียนมหาวิทยาลัยปีนึงเพื่อจะมาเป็นนักร้องเพื่อออกอัลบั้มเดี่ยว ตอนนั้นอยู่ค่ายกรีนบีนส์ ซึ่งเป็นค่ายของพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) เมื่อก่อน ตอนนั้นได้มาร่วมงานกับพี่อาร์ม ผู้บริหารค่ายไวท์ มิวสิค ตอนนี้ ซึ่งตอนนั้นเขาทำงานอยู่ที่กรีนบีนส์ ก็เลยได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชื่อว่า “So What’s Your Name” ในปี 2549 พอทำอัลบั้มเดี่ยวเสร็จผมก็กลับไปเรียนอังกฤษต่อแล้วเพราะเข้ามหาวิทยาลัย เลยจบการเป็นนักร้องเดี่ยวของผมไปอย่างรวดเร็ว”

เนมเล่าว่าตอนนั้นก็มีการโปรโมตอัลบั้มอยู่พักหนึ่ง เมื่อก่อนทุกอย่างมันรวดเร็วมาก การทำอัลบั้มไม่ได้ยุ่งยากเหมือนทุกวันนี้ “ฟอร์แมตคือทำเพลง 10 เพลง เมื่อก่อนมีวีซีดีคาราโอเกะด้วย ก็จะถ่ายเอ็มวี 10 เพลงรวดเดียวเลย เป็นฟอร์แมตของเมื่อก่อน แต่ด้วยตัวเนมอาจจะไม่ได้ร้องเพลงดี ด้วยแนวดนตรีไม่ได้ถูกใจคนไทย พูดง่ายๆ เลยคือไม่ค่อยเวิร์ก มันก็แป้กน่ะพูดตรงๆ ก็เลยจบไปอย่างรวดเร็ว พอกลับไปเรียนที่อังกฤษก็ไม่มีใครพูดถึงอีกครับ”

ถามว่าความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เนมบอกว่า “ตอนนั้นมันเด็กมากๆ เลย มันก็คงเฟลๆ แต่ก็ไม่ได้มานั่งซัฟเฟอร์นาน เราก็เพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยด้วย มันก็ยังเด็กไปที่จะมานั่งสนใจหรือจมอยู่กับความเฟลตรงนี้ไปนานๆ เพราะตอนนั้นชีวิตเพิ่งเริ่มต้น เราก็ได้ลองทำตรงนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นจุดจบการเป็นนักร้องของผม ตอนนั้นคิดว่ามันไม่ได้จบแค่นี้หรอก”

การรวมตัวของ Getsunova

จากนั้นเนมเล่าถึงที่มาของวง Getsunova ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเมื่อสมัยที่เนมเรียนที่อังกฤษไว้ว่า “จริงๆ แล้วความฝันของผมคืออยากมีวงดนตรี ชอบความมีเพื่อนมาเล่นเป็นวงด้วยกันมากกว่า ก็เลยได้เจอกับนาฑีซึ่งเรียนอยู่ที่อังกฤษด้วยกัน เลยได้เล่นดนตรีด้วยกัน นาฑีก็มารู้จักกับปณตซึ่งเรียนที่อังกฤษเหมือนกัน แล้วนตก็ลิงก์อีกทีนึงกับไปร์ท ซึ่งเคยมีวงด้วยกันตอนเรียนที่เมืองไทยด้วยกัน ก็เลยกลายเป็น 4 คน”

เนมเล่าว่าช่วงที่รวมตัวจริงๆ ไม่ได้ฝึกซ้อมอะไรมากมาย ด้วยความที่เรียนที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นาฑีก็ย้ายไปอเมริกา ไปร์ทอยู่เมืองไทย เนมกับนตอยู่อังกฤษ จะเจอกันเฉพาะตอนปิดเทอม เวลาเจอก็จะรวมตัวซ้อมดนตรี เล่นเพลงคัฟเวอร์ไปเรื่อย เล่นตามปาร์ตี้ปีใหม่ของที่บ้านนาฑี ซึ่งทุกปีจะจัดงานและชวนเพื่อนๆ มา “เราก็จะเป็นวงดนตรีเล่นดนตรีให้เพื่อนฟัง จริงๆ แค่อยากเล่นเอง ก็เลยอยากจะทำวงขึ้นมา พอดีเนมก็มีคอนเน็กชันกับแกรมมี่อยู่แล้ว ก็เลยถามว่ามีช่องทางไหนที่วงแบบเราได้ลองมั้ย เขาก็เลยส่งไปอยู่ค่ายสนามหลวง ซึ่งตอนนั้นป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) ดูแลอยู่ ก็กลายเป็นวง Getsunova ขึ้นมาครับ”

ถามว่าวันที่รวมตัวทำเพลงในนาม Getsunova ต่างจากวันที่ทำอัลบั้มเดี่ยวยังไงบ้าง เนมบอกว่า “ต่างนะ อย่างแรกเลยคือนตเป็นคนแต่งเพลง ไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์แต่งให้แล้ว เป็นแนวดนตรีที่ชอบ คิดว่ามันเท่ในช่วงนั้น Reference มาจากวงที่เราชอบฟังกันในยุคนั้น เป็นเพลงอินดี้ของฝั่งอังกฤษ บริตป๊อป อัลเทอร์เนทีฟ มันได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ไปกับเพื่อนๆ”

พอถามนตถึงเหตุผลที่ตัดสินใจมาร่วมทำวง มือกีตาร์-นักแต่งเพลงหนุ่มบอกว่า “จริงๆ ไม่มีวงอื่นให้อยู่ครับตอนนั้น (ยิ้ม) นาฑีเป็นคนชวนผมเข้ามาอีกที” จากนั้นนาฑีเล่าว่า “ตอนชวนนตก็คือนาฑีอยู่กับเนมแค่ 2 คน คิดว่ายังไงเราก็ไม่น่าจะแกร่งพอ ถ้าเราอยากจะมีวง เราก็อยากมีมือกีตาร์ 2 คน แล้วเราจะเป็นคนที่เล่นคอร์ด ไม่อยากจะคิดเรื่องเล่นโซโล ก็เลยมาเจอนตเพราะนตเรียนอยู่อังกฤษพอดีครับ ญาติก็แนะนำว่าคนนี้เล่นกีตาร์เก่งมาก เลยคิดว่าให้นาฑีกับเนม เขาก็เล่นโซโลให้นาฑีกับเนมครับ”

ถามว่าปรับจูนกันเยอะมั้ยหลังมารวมตัวทำวงกัน นตบอกว่า “ไม่เยอะนะครับ จริงๆ ตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่น เป็นวัยกำลังโต เหมือนเราเริ่มโตไปด้วยกัน นอกจากเล่นดนตรีก็อยู่ด้วยกัน ไปเที่ยวเล่น ดูคอนเสิร์ตด้วยกันที่อังกฤษ กลับเมืองไทยก็ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์โตไปด้วยกัน ก็เลยค่อนข้างจะง่าย อยู่กันแบบเพื่อนๆ ไม่ได้อยู่ในหน้าที่เป็นวงดนตรีทำงานอย่างเดียว”

เมื่อได้ทำอัลบั้มภายใต้สังกัดสนามหลวง ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อปี 2550 นตบอกว่า “ก็ดีครับ ป๋าเต็ดวัยรุ่นมากอยู่แล้ว เปิดกว้าง อยากทำอะไรก็ลุยได้เลย ตอนนั้นชอบบริตร็อกจัดๆ กำลังอยู่อังกฤษก็ต้องเป็นสไตล์นี้ เพลงในยุคนั้นก็เป็นอะไรที่มีความบริตร็อกค่อนข้างจ๋านิดนึง แต่รอบแรกที่ออกมาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนะครับ อยู่ในกลุ่มอินดี้ซะส่วนใหญ่ที่จะรู้จัก ตอนนั้นก็โอเค แค่ได้ทำก็ดีใจแล้ว ยังไม่ได้ต้องเป็นการเป็นงานขนาดนั้น แล้วเรายังต้องกลับไปเรียนกันอยู่ เราไม่สามารถมาเล่นคอนเสิร์ตมากขนาดนั้นอยู่ดี”

ไกลแค่ไหนคือใกล้

ซึ่งหลังจากออกอีพีอัลบั้ม “Electric Ballroom” ในปี 2552 นตบอกว่าจริงๆ พวกเขาไม่ได้หายไปไหน ยังคงทำซิงเกิลปีละเพลง แต่เพลงหลังๆ เริ่มรู้สึกว่าอยากให้ประสบความสำเร็จ พาเราไปที่ต่างๆ ได้มากกว่านี้ อยากมีคอนเสิร์ต “แล้วมาถึงช่วงที่กำลังจะกลับมาเมืองไทย เรียนจบแล้ว อยากทำดนตรีเป็นอาชีพจริงๆ มันจะทำได้รึเปล่า ซึ่งตอนนั้นไม่ดัง ไม่ติดสักที ก็เลยเป็นที่มาที่เราปรับตัวเอง ทำเพลงใหม่ขึ้นมาให้มีสไตล์ฟังง่ายขึ้น เลยออกมาเป็นเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” นี่แหละครับ”

อย่างที่รู้กันว่าเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” เป็นเพลงไทยเพลงแรกที่ยอดวิวพุ่งถึง 100 ล้านวิว เมื่อถามว่าคิดว่าเพลงจะได้ยอดวิว 100 ล้านวิวมั้ย นตตอบทันที “ไม่คิดแน่นอน เพราะตอนนั้นเพลงไทยที่เยอะที่สุดในยูทูบน่าจะประมาณ 20 กว่าล้านวิวเองครับ จำได้ว่ายังมองเพลงอื่นที่ได้ 20 ล้านวิวแล้วแบบ…บ้าไปแล้ว เราไม่รู้หรอกว่ามันจะประสบความสำเร็จ รู้ว่ามันง่ายขึ้น เข้าถึงคนน่าจะไม่ยากเท่ากับเพลงก่อนๆ ครับ”

เมื่อถามว่าชีวิตในตอนนั้นเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน นาฑีตอบว่า “เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เพราะตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปช่วยธุรกิจครอบครัวหรือจะเล่นดนตรี ตอนนั้นก็เริ่มงงไปหมดแล้ว เมื่อก่อนเราอยากเป็นวงที่ดังด้วย อยากเป็นศิลปิน แต่ครอบครัวเรา เราก็อยากกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว แต่พอเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้มาปุ๊บมันก็ดีใจ เพราะชีวิตเปลี่ยนเยอะมาก ถ้าเพลงไม่ดัง เราก็คงไปทำงานต่อปกติเหมือนเพื่อนๆ เราคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนในวง ทำงานออฟฟิศ แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากเป็นศิลปินครับ (หัวเราะ)”

ด้านนตบอกว่า “ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ เราก็ต้องทำให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น เหมือนตอนแรกเราเป็นนักดนตรีสมัครเล่น จะวิ่งในสนามท่าไหนก็ได้ พอเริ่มเปลี่ยนเป็นมืออาชีพโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัวด้วยนะ อยู่ๆ มันก็เปลี่ยนพรึบเดียวภายในไม่กี่เดือน เรื่องฝีมือ ความสามารถ ก็ต้องพยายามทำให้มันอัปเกรดขึ้นมาให้สามารถไปวัดไปวากับคนที่เขาเป็นโปรได้ มันก็มีความยากอยู่เหมือนกัน บวกกับว่าเราไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพมาก่อน ไม่ได้มีสกิลเยอะมากเท่ากับพี่ๆ ในตอนนั้น เราก็ต้องหาวิธีของเราที่จะยืนบนเวทีใกล้ๆ กับพี่ๆ เขาได้โดยไม่เคอะเขินครับ”

ส่วนเนมบอกว่า “เปลี่ยนมากครับ อย่างที่ทั้งสองคนพูดก็เหมือนกัน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจากที่เราเคยอยากให้เป็นที่สนใจในคนฟังเพลง มีคนรู้จักและพูดถึงเพลงเรา เราไม่ค่อยได้รับสิ่งนี้ แต่กลายเป็นว่ามีแต่คนพูดถึงเรา เพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” แทบทุกคนเลย เวลาเจอหน้ากันก็พูดถึงเพลงนี้ คนเริ่มจำเราได้มากขึ้น ชีวิตมันก็เปลี่ยนไปจากเด็กคนนึงกลายเป็นคนที่เป็นที่รู้จักในหมู่คนมากขึ้น มันก็ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไป” ก่อนจะนิ่งไปพักหนึ่งและบอกว่า “ก็…ประมาณนี้ครับ (หัวเราะ) ทุกคนพูดไปหมดแล้ว”

เอกลักษณ์ที่คุ้นเคย

เมื่อพูดถึงเอกลักษณ์ของวง Getsunova สิ่งแรกที่เป็นภาพจำไปแล้วคือการตั้งชื่อเพลงที่ขัดแย้งกัน นตบอกว่า “เป็นไอเดียของผมครับ แต่ว่ามาจากตัวพี่เนมครับ พี่เนมจะมีความขัดแย้งในตัวเอง (ยิ้ม) อย่างเมื่อกี้เขาจะพูดแล้วไม่ยอมพูด จะเป็นคนสองบุคลิกตลอด จะทำแต่ก็ไม่ได้ทำ จะมีความแบบนั้นอยู่ เราก็เลยหยิบคาแรกเตอร์ตรงนี้มาตีแผ่ให้เป็นเนื้อเพลง เป็นคาแรกเตอร์ของวง ด้วยความที่เขาเป็นฟรอนต์แมนอยู่แล้ว พอทำไปนานๆ ก็เริ่มเป็นกิมมิกประจำที่คนฟังเขารอฟังว่าชื่อเพลงของเราจะชื่อว่าอะไร จะขัดแย้งกันมั้ย” ก่อนจะยิ้มอารมณ์ดี

ถามว่ารู้สึกยังไง เนมบอกว่า “ก็รู้สึก…เอ่อ…” ก่อนจะนิ่งคิดและหัวเราะเขินและบอกว่า “เนี่ย…มันก็ขัดแย้ง (หัวเราะ) จะตอบว่ารู้สึกยังไงเนี่ย ก็รู้สึกดีมั้งครับ เนมก็เป็นคนร้องเพลงพวกนี้สื่อสารอยู่แล้ว ก็ดีที่นตเอาองค์ประกอบคาแรกเตอร์มาแต่งเป็นเพลงให้ คือถ้าพูดถึงเรื่องอื่นๆ ร้องแล้วอาจจะฟังไม่ขึ้นก็ได้ เขาคงเลือกแล้วแหละว่าถ้าเป็นพี่เนมร้องก็เข้าที่สุดครับ”

ส่วนเคล็ดลับการแต่งเพลง นตบอกว่าส่วนใหญ่มาจากชีวิตประจำวัน เจอคำพูดเหล่านี้จากการพูดคุย คนเล่าให้ฟัง เขาใช้คำเหล่านี้ ก็ค่อยๆ เก็บมา บางทีอ่านเจอในหนังสือ ทวิตเตอร์ ก็หยิบมาใช้ได้เหมือนกัน “ถามว่าใช้เวลานานมั้ยในการหาไม่ค่อยนานนะ แต่ค่อยๆ เขียนออกมาให้มันรู้สึกเป็นเพลงแล้วมันดูไม่ฝืนที่สุด อันนี้ค่อนข้างยากนิดนึง เพราะแน่นอนมันไม่ได้เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงเหมือนเพลงทั่วไป มันต้องทำให้คำเหล่านี้มัน Flow ออกมา ฟังแล้วเมคเซนส์

มันไม่ใช่ใครจะพูดคำที่ย้อนแย้งง่ายๆ อย่างตู้เย็นที่ไม่เย็นขึ้นมาแล้วจะไปอยู่ในเพลงรักได้ เราจะเอาคำที่เข้ากับมันจริงๆ มาสอดแทรกกับคำเหล่านั้น มันถึงจะออกมาเป็นเพลงที่ฟังแล้วกลมกลืนกันได้ ถามว่ากดดันมั้ยที่ถูกจับตาเรื่องชื่อเพลงกับเนื้อหา ก็กดดันนะฮะ ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องหาคอนเทนต์ดีๆ มาทำให้ทุกคนได้ฟังกัน แต่คือความกดดันที่ดี เพราะไม่งั้นเราก็อาจปล่อยอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่คิดเยอะเรื่องชื่อเพลง แต่พอมีตรงนี้มาก็ดี ทำให้เราปลุกตัวเองขึ้นมาหาเรื่องราวใหม่ๆ อยู่ตลอดครับ”

ในพาร์ตดนตรีที่มีเอกลักษณ์วง Getsunova อยู่ นตบอกว่า “มันเป็นลายเซ็นของเรา เราก็ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เราพยายามหนีออกมาจากลายเซ็นนั้น แต่สุดท้ายคนก็ยังเรียกร้อง คนยังอยากได้ความเป็นลายเซ็นพวกนี้อยู่ตลอด ผมก็เลยคิดว่าก็ดี ไม่ต้องหนีไปไกลจากตัวเราครับ” ส่วนเรื่องที่คนมักจะนำเอกลักษณ์ของวงเรื่องความย้อนแย้งไปพูดแซวในชีวิตประจำวัน นตบอกว่า “ผมว่าเป็นลายเซ็นที่เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของผู้คนด้วย ก็ต้องขอบคุณทั้งแฟนเพลงและไม่ใช่แฟนเพลงเราแต่ยังนึกถึงเราในบริบทที่เขาใช้ชีวิตกันและมีความย้อนแย้งเหล่านี้ ก็ทำให้เป็นวงดนตรีที่มากกว่าวงดนตรีนะฮะ เพราะปกติจะนึกถึงเพลง วิธีการร้อง การแต่งตัว แต่คนจะนึกถึงวิธีการพูด การเล่าเรื่องของเราออกมา”

ส่วนอีกภาพจำที่คุ้นเคยคือการเอาผ้ามาปิดปากและจมูก นาฑีเผยถึงเหตุผลว่า “ตอนแรกทำกันเล่นๆ เฉยๆ แค่ทำกับนตและไปร์ท มีแค่เนมที่ไม่ได้ปิด ก็เป็นคอนเซปต์นึงที่ตอนนั้นทำเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” แล้วดังพอดี หลังจากนั้นก็คิดว่าเราก็ทำไปเรื่อยๆ” นตบอกว่า “เป็นมาสคอตของวงฮะ” นาฑีพูดต่อ “เวลาไปเล่นดนตรีไม่เคยเปิดหน้า แต่คิดว่าถ้าสมมติเราโอเค เปิดหน้าก็ได้ มันก็กลายเป็นแค่วงธรรมดาวงนึง ถึงแม้เรามีทั้งขัดแย้ง ทั้งปิดหน้า แต่ถ้าเราไม่ปิดหน้า เราก็คิดเพลงให้ขัดแย้งให้ได้ ไม่งั้นก็จบ”

อีกไม่นาน นานแค่ไหน

เราพูดคุยกับ 3 หนุ่มถึงเพลงใหม่ “อีกไม่นาน นานแค่ไหน” เพลงที่กลายเป็นกระแสร้อนในเวลานี้ ซึ่งนตบอกว่า “ถือว่าเป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มใหม่ของพวกเรา “Thailander” เป็นอัลบั้มที่จะมีโจทย์ที่พูดถึงเมืองไทย แต่ไม่ได้เจาะจงไปเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ยังเป็นเพลงรักอยู่ดี ถ้าฟังเนื้อเพลงดีๆ เราก็ยังพูดถึงความรัก ว่าคนรักของเราเคยให้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เราจะเจออนาคตที่ดีด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่ได้รับคำสัญญา เรามักจะผิดหวัง ปล่อยให้เรารอตลอดเลย ไม่รู้ว่ารอเก้อหรือเปล่า ก็เลยรู้สึกว่าค่อนข้างจะเป็นโจทย์ที่หลายคนรู้สึกไปด้วยกัน ยิ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พวกเราก็มีการรอคอยในชีวิตเยอะมากๆ เลย ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเพลงที่รวมใจหลายคนไว้ในเพลงนี้ได้”

ส่วนการชวนวงรุ่นน้องอย่าง Three Man Down มาร่วมงานกัน นตเล่าว่า “พวกเราเป็นวงค่อนข้างโตแล้ว ตอนนี้เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรที่วัยรุ่น มีความกวนมากขึ้นหน่อย ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดีที่จะชวนแก๊ง Three Man Down มาแจมด้วย เพราะเค้าเป็นวงรุ่นใหม่ไฟแรงที่โด่งดังมากๆ ตอนนี้ และมีความกวนมากด้วย พอเพลงนี้ทำเป็นเดโมออกมา เราก็เลยนึกถึงแก๊งน้องๆ เขา เราก็เป็นแฟนคลับของ Three Man Down อยู่แล้วตั้งแต่ยุคแรกๆ เลยอยากจะร่วมงานกันด้วยอยู่แล้ว พอมาร่วมงานกัน เขามีความจริงจังมีความเป็นมืออาชีพมากๆ เป็นอีกโหมดหนึ่งของเขาเลย พอหยุดอัดแล้วเดินออกจากห้องก็กลายเป็นแก๊งตลกโปกฮา ยิงมุกใส่กัน ก็คอนทราสต์กันดี สนุกดีครับทำงานกับพวกเขา”

แต่ที่ทำเอาเซอร์ไพรส์ไปตามๆ กัน คือการนิมนต์พระมหาไพรวัลย์มาร่วมเทศนาในเพลงด้วย ส่วนเหตุผลที่เป็นแบบนั้น เนมเผยว่า “เราอยากให้เพลงนี้มันต๊าช (หัวเราะ) คือด้วยไอเดียของอัลบั้มนี้ชื่อว่า Thailander มีความเป็นไทย พูดถึงวัฒนธรรมไทยในยุคสมัยนี้ซะเยอะ เราก็คิดว่าเอ๊ะ อะไรที่มันจะตื่นเต้น มีความเป็นไทย แน่นอนว่าตอนนี้มีพระมหาไพรวัลย์เป็นที่พูดถึงเยอะอยู่แล้ว มีความเป็นไทย

ไปร์ทก็เลยนึกไอเดียสนุกว่าเราไม่ต้องฟีเจอริ่งกับนักร้องก็ได้ เอา Crossover ไปวงการอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรี แล้วเราเป็นผู้ฟังของพระมหาไพรวัลย์อยู่แล้ว เราก็เลยไปหยิบประโยคที่คล้องจองบอกกับเพลงนี้เมื่อตอนที่ท่านพูดเกี่ยวกับความอดทนเราก็เอามาใส่ในเพลงเลย พวกเราก็ไปไหว้ท่านและขออนุญาตร่วมงานกับท่านเลย ท่านก็ยินดีมากๆ เป็นกันเองมากๆ ตอบตกลงทันที ท่านน่ารักมาก”

ถึงตรงนี้นตเสริมว่า “เราไม่ได้มีการเรียนเชิญท่านไปห้องอัด เราไปเจอท่านเทศน์ท่อนนี้ในไลฟ์ที่มีชื่อว่า “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานแล้วจะแหลก” ซึ่งในไลฟ์มีคำว่านานอยู่แล้ว แล้วรู้สึกว่าเออ มันเหมือนชี้เป้า ก็เลยลองนั่งหาแล้วเจอท่อนนี้ซึ่งต๊าชมาก (หัวเราะ) จริงๆ มีหลายคำที่ลงได้พอดี พอท่านพูดเข้าเรื่องความอดทนก็มีหลายพาร์ตที่น่าเอามาใส่ เราเองก็ลองตัดอยู่หลายรอบเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้ฟังกันครับ”

ในส่วนการทำ Official Visualizer นตเผยว่า “ต้องเล่าเริ่มแรกว่าอัลบั้มนี้คือมี 5 เพลง ทุกเพลงเราจะ Collaborate กับอาร์ติสต์ที่วาดรูปหรือทำงานศิลปะเพลงละคน เพลงนี้เราเลือกอาร์ติสต์ uninspired by current events เลยคิดว่าเขาเหมาะกับเพลงนี้ ก็เลยสร้างสรรค์ผลงานนี้ขึ้นมาให้เรา เราก็รู้สึกว่าเหมาะดีเลยนำมาใช้ก็โชคดีอีกว่าพอเป็น 3D Art เค้าสามารถทำให้เป็นคลิปสั้นๆ ได้มีมูฟเมนต์ Visualizer เลยออกมาเป็นแบบที่ทุกคนได้ดูกัน มีการซ่อนโค้ดลับต่างๆ ไว้ตามพื้นที่ในเพลง อาจจะดูนิ่งๆ แต่จริงๆ มีเรื่องราวของมันอยู่ ที่คนตีความไปในด้านการเมือง ถามว่าคิดเห็นตรงนี้อย่างไร ผมว่าก็ดีนะครับ เป็นด้านของอาร์ติสต์เลย เปิดพื้นที่ให้เขาเต็มที่ อันนี้เขาคิดมาเองเลยครับ”

เมื่อพูดถึงฟีดแบ็ก นตบอกว่าคนส่วนใหญ่ก็ชอบ มองว่าเป็นอีกมิติของการปล่อยเพลงก็ว่าได้ ไม่เคยปล่อยเพลงที่มีคอมเมนต์ขึ้นเร็วกว่ายอดวิว “ผมได้คุยกับอาร์ติสต์ เขาบอกว่าบางอันที่คนมาแกะโค้ดลับหรือตีความออกไป เขาเองก็เพิ่งรู้พร้อมทุกคน มันเหมือนงานศิลปะของทุกคน มันไม่ใช่แค่เขาเป็นคนสร้าง เราเป็นคนทำเพลง สุดท้ายงานถูกปล่อยออกไปก็แล้วแต่บุคคลว่าเขาตีความหมายไปทางไหน” ถามว่าซีเรียสมั้ยที่คนโยงการเมือง เนมบอกว่า “ไม่ซีเรียส ถ้ามองตัวเพลงมันไม่ได้พูดถึงการเมือง มันเป็นภาพนึงที่ศิลปินท่านนี้ตีความออกมาแบบนี้ เราก็ไม่ติด ไม่ได้ Take Side โจ่งแจ้งขนาดนั้น มันเป็นงานศิลปะ เหมือนเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง จริงๆ มันเป็นภาพอื่นก็ได้ที่เกี่ยวกับการรอคอย ก็ดีออก มีคนพูดถึงเพลงเราเยอะ เป็นการสร้างกระแสอย่างหนึ่งครับ (ยิ้ม)”

ส่วนเอ็มวีของเพลงนี้ นตบอกว่า “ก็มีความน่ารักๆ แต่จิกกัด สไตล์ภาพ Visualizer นี่เลยแหละครับ แต่อาจจะเยอะกว่านิดนึง แนะนำให้รีบไปดูในวันแรกๆ ไม่รู้ว่ามันจะปลิวไปเมื่อไร (หัวเราะ) มันต๊าชครับ มันจึ้งเลย อันนี้เป็นอะไรที่พวกเราตื่นเต้นเหมือนกันว่าปล่อยไปแล้วจะเป็นยังไง ไปทางไหน แต่ผมว่าเป็นงานที่ดีแน่นอน น่าจะดีต่อสังคมครับ”

Thailander

จากนั้นนตเล่าถึงอัลบั้ม Thailander ไว้ว่า ภายในสิ้นปี 2564 จะปล่อยเพลงในอัลบั้มนี้ให้ครบ 5 เพลง และจะมีมิวสิกวิดีโอตามมา ซึ่งเพลง “อีกไม่นาน นานแค่ไหน” เป็นเพลงแรก และจะมีเพลงตามมาอีกก่อนสิ้นปี หลังจากนั้นก็จะปล่อยดิจิทัลอัลบั้มตามแพลตฟอร์มต่างๆ

ส่วนคอนเซปต์อัลบั้มนี้ นตบอกว่า “Thailander เราจะพูดถึงความเป็นไทยในยุคปัจจุบัน เป็นความเป็นไทยในแบบที่พวกเราเผชิญอยู่ พบเจออยู่ในทุกๆ วัน อย่างเพลงแรกก็ค่อนข้างชัดในความเป็นไทยแน่นอน เพลงต่อๆ ไปก็มีความเป็นไทยอีกเช่นกัน แต่ในเรื่องราวอื่นๆ บริบทอื่นๆ ที่ถูกตีแผ่ออกมาครับ มันจะมีความเป็น Conceptual ค่อนข้างมากกว่าอัลบั้มเดิมๆ ที่เราเคยทำมา ที่เราเคยทำเพลงแอบชอบ รัก อกหักธรรมดา แต่ทุกอย่างยังอยู่บนพื้นฐานความรักนะครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองในมุมไหน

อัลบั้มนี้เราตั้งใจรีแบรนดิ้งวงตัวเองอยู่แล้วด้วย อยากให้พวกเราทำอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเดิมๆ เพราะคนจะจำ Getsunova ในเพลงช้า เพราะ ง่ายๆ ร้องตามได้ ดูเรียบร้อยๆ ใส่สูทกัน อันนี้จะเป็นการฉีกกฎไปเลย เรียกว่ากวนขึ้น เห็นอีกโหมดนึงของพวกเราที่ไม่ได้สุภาพเรียบร้อยอย่างเดียว กวนขึ้นในแบบที่เรียบร้อยเหมือนกันผมว่านะ”

เนมเล่าเพิ่มเติมว่า “อัลบั้มนี้จริงๆ สะท้อนไลฟ์สไตล์คนไทยในยุคนี้ จะมีการจิกกัดความไทยๆ เรื่องนี้มีแค่ในเมืองไทย” นตพูดต่อถึงอัลบั้มนี้ว่า “เพลงต่อไปก็มีความแซวสังคมอีก มีความแตกไปอีกอย่าง เป็นอีกเรื่องนึงแล้ว ผมว่าก็แปลกดี มีความ Crossover บางอย่างแน่นอน อย่างเรื่องคนฟีท รอบนี้มีพระมหาไพรวัลย์ แต่รอบหน้าจะแปลกและเซอร์ไพรส์กว่าพระมหาไพรวัลย์อีกมั้งครับ อันนี้แค่จุดเริ่มต้น (หัวเราะ) ถามว่าทุกเพลงจะมีกิมมิกให้คนพูดถึงมั้ย ก็ว่าได้นะ (ยิ้ม)”

14 ปีแห่งมิตรภาพ

เมื่อถามถึงมิตรภาพตลอด 14 ปีที่ผ่านมาของพวกเขา มีเรื่องประทับใจกันและกันอย่างไรบ้าง เนมบอกว่า “14 ปีที่รู้จักกันมา ไม่รู้ว่าประทับใจอะไร แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว แต่งงานจะครบหมดแล้วเนี่ย เรียกได้ว่าทุกคนมีครอบครัวหมดแล้ว จากที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจนโต ผจญภัยมาหลายอย่าง เห็นทุกคนเริ่มมี Chapter ใหม่ของการมีครอบครัว มันก็เป็นความภูมิใจในตัวเพื่อนๆ อย่างหนึ่งที่เห็นเติบโตกันมา”

ส่วนนตบอกว่า “ผมว่าโชคดีนะที่เราอยู่กันมาได้ขนาดนี้ นับดูวงในเมืองไทยที่อยู่โดยไม่เปลี่ยนเมมเบอร์ก็มีไม่กี่วงเองนะ น้อยมากหรือแตกกันไปแล้ว วงที่เราเคยคิดว่าเขาก็อยู่มาคู่ๆ กับเราก็แตกไปหมดแล้วนะ (หัวเราะ) งงเหมือนกันว่าเออ…เราอยู่กันมาขนาดนี้ได้ยังไง ก็ขอบคุณเพื่อนๆ ดีกว่าที่อยู่กันมาได้ขนาดนี้ แล้วก็อย่าแตกวงกันเลยนะ (หัวเราะ) อยู่กันมานานขนาดนี้แล้ว เปลี่ยนไปวงอื่นไม่ทันแล้ว รู้สึกลงตัวดีครับที่ได้อยู่ในแก๊งนี้”

ถึงคิวนาฑีเผยความในใจบ้าง “ก็รู้สึกประทับใจมากๆ อย่างที่พูดว่าเรื่องที่เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะต้องเป็นวงที่มีชื่อเสียงหรือว่าดังอะไรขนาดนั้น เพลงมาหรือไม่มา มันรู้สึกเป็นครอบครัว เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันหมด ก็เป็นโบนัสสำหรับเราที่โชคดีมากๆ ที่เป็นคนที่สนิทกันที่ได้ทำตามความฝันด้วยกัน สมมติถ้าเราเริ่มมีอายุแล้ว มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว มันก็ยากที่จะมีวงอย่างนี้ที่สามารถทำได้อย่างนี้ มีทั้งชื่อเสียง มีทั้งความสนิทกันจริงๆ ผมว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะดีใจมากๆ ที่เรามี”

ถามว่ามีเรื่องไม่ลงตัวหรือขัดแย้งบ้างไหม นตบอกว่าก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะขัดแย้งเพื่อทำความเข้าใจกันมากกว่า มันเป็นเด็กผู้ชายอยู่ด้วยกัน ก็จะมีทั้งเรื่องอารมณ์ใจร้อน แต่ทุกครั้งก็คุยกัน เคลียร์กันตรงไปตรงมา เลยไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนใหญ่ก็งอนกันเล็กๆ น้อยๆ ก็มีบ้าง กับสิ่งที่ทำให้ Getsunova ยังเป็นเพื่อนกัน มีมิตรภาพจนถึงทุกวันนี้ นตบอกว่า “ผมว่าน่าจะโชคดีที่เราเติบโตมาเป็นวัยรุ่นด้วยกันพอดี ได้เรียนรู้ในแต่ละคนว่าเขามาแบบไหน เลยไม่ได้คาดหวังหรือคิดว่าจะเปลี่ยนอะไรเขา มันรู้อยู่แล้วว่าคนนี้เป็นยังไง เราก็แค่ adapt กับเหตุการณ์นั้นๆ เวลาเกิดปัญหาหรือเจอเรื่องดีๆ ครับ”

เนมบอกว่าเส้นทางของ Getsunova ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เป็นเส้นทางที่เริ่มต้นได้ไม่ง่ายเลย “เราล้มมานานประมาณ 5 ปีแรกของวง เราไม่ได้เห็นภาพความสำเร็จ จนประมาณ 5-6 ปีหลังจากที่เราเริ่มทำงาน ทำให้เราได้ผ่านประสบการณ์ที่เฟลมากๆ มาแล้ว พาเราเดินทางไปทั่วประเทศไทย ได้เจอคนทั่วทุกจังหวัดในประเทศ ได้พาเราไปไกลถึงต่างประเทศ อังกฤษ ออสเตรเลีย ประเทศต่างๆ ที่เราได้สัมผัสว่าเล่นดนตรีเมืองนอกเป็นยังไง พาเราฝึกความอดทน รู้จักความตั้งใจ ความสามัคคี ต้องฝึกซ้อม ทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรคมามากมายด้วยกัน เป็นประสบการณ์ที่เราไม่อยากให้มันเปลี่ยนไปจากที่มันเกิดขึ้นแล้ว เขามอบโอกาสให้ได้ทำอะไรทุกอย่างเกินสิ่งที่เราเคยวาดฝันไว้ด้วยซ้ำครับ”

ปิดท้ายการสนทนา เนมเป็นตัวแทนของวงพูดถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของพวกเขาไว้ว่า “จริงๆ เรามีแฟนคลับที่เข้ามาเรื่อยๆ ตามยุคสมัยของพวกเรา จะมีแฟนคลับตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่ติดตามจนถึงทุกวันนี้ เราเห็นเขาตั้งแต่เป็นเด็กๆ จนตอนนี้เรียนจบแล้ว เหมือนเติบโตมาด้วยกันกับวง ก็รู้สึกขอบคุณที่ติดตามกันมา ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เป็นวงไอดอล ไม่ได้ขายหน้าตา

เราก็แก่ๆ กันไปตามสภาพ มีครอบครัว แต่แฟนคลับก็ยังรักและพร้อมซัพพอร์ตทุกผลงานของเราอยู่ อยากขอบคุณมากๆ จริงๆ เรามองแฟนคลับเหมือนครอบครัวนะ เป็นกลุ่มเพื่อนพี่น้องที่เห็นกันตลอด เวลาไปตามคอนเสิร์ตบางงานที่เราไม่คุ้นเคย แล้วเรามองเห็นกลุ่มแฟนคลับที่เห็นกันมาก็รู้สึกอุ่นใจ งานนี้คนอื่นอาจไม่ได้ฟังเรามาก แต่เรายังมีซัพพอร์ตจากแฟนคลับกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราอุ่นใจครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : GMM Grammy, อินสตาแกรม @getsunova, @phramahapaiwan
กราฟิก : Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2251745
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2251745