LOMOSONIC เผยชีวิต 16 ปีวงการเพลง มั่นใจไม่มีทางตายถ้าสร้างงานเองได้
เป็นอีกหนึ่งวงดนตรีคุณภาพที่คอเพลงร็อกรู้จักมานานกว่า 16 ปีแล้ว สำหรับ LOMOSONIC (โลโมโซนิก) ศิลปินค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ที่ประกอบไปด้วย 4 สมาชิก บอย อริย์ธัช พลตาล (ร้องนำ), ป้อม ฉัตรชัย งามสิริมงคลชัย (กีตาร์), ปิติ เอสตราลาโด สหพงศ์ เดน โดมินิค (กีตาร์), ออตโต้ ชาญเดช จันทร์จำเริญ (กลอง) เจ้าของเพลงฮิต ขอ, ความรู้สึกของวันนี้, เพราะความรักมันไม่เลือกเวลาเกิด,
แม้ในวันแรกพวกเขาใช้เวลากว่า 4 ปีในการขัดเกลาฝีมือจนออกอัลบั้มแรกและยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็ไม่เคยท้อ ยังคงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำเพลง จนเพลงเริ่มทำงานและประสบผลสำเร็จ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวน 4 หนุ่มย้อนเรื่องราววันวาน 16 ปีในวงการเพลง รวมไปถึงเพลงล่าสุด “หมดรัก” และ “ส่งเธอได้เท่านี้ (GOODBYE)” 2 เพลงเศร้าๆ จากอัลบั้มชุดที่ 5 ที่มีโปรดิวเซอร์คู่ใจ อ๊อฟ พูนศักดิ์ จตุระบุล หรือ อ๊อฟ Big Ass มาร่วมงาน

รวมตัวครั้งแรก
เมื่อย้อนถึงวันแรกที่ บอย-ป้อม-ปิติ-ออตโต้ รวมตัวกัน ถามว่าเจอกันได้ยังไง บอยบอกว่า “เจอกันที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีครับ” ออตโต้บอกว่าได้เจอกับป้อมก่อน โดยออตโต้เรียนปีเดียวกันกับป้อม ส่วนบอยจะเป็นรุ่นเล็ก ออตโต้เล่าอีก “ผมทราบว่าเขาทำเพลง ผมได้เจอเขา (ชี้ไปที่ป้อม) ก็เลยชวนกันมาทำวงกันดีกว่า ก็ฟอร์มวงกัน 2 คนเท่ๆ ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องดนตรีใดๆ ไม่ได้มีกลอง
หลังจากนั้นพอเริ่มฟอร์มวงก็รู้ว่าไปไม่รอด เพราะว่าเสียงป้อมกับเสียงผมไม่เหมาะ (หัวเราะ) เล่นอย่างอื่นดีกว่า ก็เลยหานักร้อง จริงๆ ตอนนั้นมีนักร้องอยู่คนนึง แต่พอวันเล่นเขาไม่มา บอยก็เลยเดินมาถาม ก็เลยให้เขาขึ้นเวทีเลย” ก่อนจะสะกิดให้บอยพูดบ้าง บอยบอก “โห จำไม่ได้แล้ว ก็คือไปร้องเพลงด้วย หลังจากนั้นก็เป็นวง พ่อทำมาก็เจอปิติแล้วทำเพลงมาส่งที่สมอลล์รูมครับ”
ช่วงแรกที่ฟอร์มวง บอยบอกว่าได้เล่นแต่งานภายใน งานเล็กๆ ส่วนงานประกวดจะเน้นสกิล Progressive แต่เราไม่เก่ง เรียกว่าไม่ได้เรื่องเลยดีกว่า แล้วไปทำอะไรบ้าๆ ในโชว์ให้เขาจำได้มากกว่า แล้วดูวงอื่นเวลาไปเล่น ช่วงที่ไปแข่งในมหาวิทยาลัย มีชนะของทีมจากบางมดบ้าง ที่อื่นก็ไม่ได้แล้ว รู้สึกว่าทำเพลงดีกว่า ตอนนั้นอยากมีอัลบั้มสัก 1 ชุด ไปเดินส่งในเทศกาลดนตรี งานแฟต ซึ่งคนที่ตอบรับเรากลับมาคือสมอลล์รูม และนิตยสาร DDT เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้เริ่มต้นทำเพลงกับค่ายสมอลล์รูม

ส่วนชื่อวง LOMOSONIC บอยเล่าว่า “ตอนแรกเราตั้งชื่อว่าโลโมเพราะพี่ป้อมเห็นคนในเทศกาลดนตรี แล้วเรายังไม่มีชื่อวง เราก็เลยตั้งชื่อง่ายๆ ว่าโลโมครับ แต่มันซ้ำกับลิขสิทธิ์ก็เล็กเติมคำว่าโซนิกเข้าไปครับ คำว่าโซนิกมาจากเครื่องเสียงครับ โลโมแปลว่าภาพที่มีสีผิดเพี้ยน ก็ตรงกับคอนเซปต์ของวง คือเราสร้างภาพและเสียงทั้งหมดด้วยตัวของเราเองครับ”
กับการอยู่ด้วยกันของทั้ง 4 หนุ่ม บอยเล่าว่า “เราไม่อยู่กันแบบครอบครัว เราอยู่แบบออฟฟิศครับ มันเลยไม่มีปัญหา เพราะการอยู่แบบครอบครัวมันน่ากลัวนะครับ เพราะครอบครัวมีเรื่องส่วนตัว มันจะมีอาการงอน เราอยู่แบบออฟฟิศครับ สบายๆ มันจะดีต่อนโยบายหรือวิธีการทำงานของวง เราจะเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวงเสมอ เราจะไม่เลือกสิ่งที่เราคนใดคนหนึ่งชอบมากเป็นพิเศษ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด”
กว่าจะได้ออกอัลบั้มแรก
ในวันแรกที่รู้ว่าจะได้ออกอัลบั้ม บอยบอกว่า “ตื่นเต้นอยู่แล้วครับ ในฐานะเด็กมหาวิทยาลัยที่จะได้โอกาสในการทำวง ไปเล่นตามปาร์ตี้คณะต่างๆ ตอนนั้นภาพสวยงามมาก แต่หลังจากนั้นก็ 4 ปี จากตื่นเต้นก็กลายเป็นไม่ตื่นเต้น กลับมาตั้งไจทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะส่งเพลงให้ผ่านและทำเป็นอัลบั้มแรก ซึ่งก็คืออัลบั้ม “Fireworks” ตอนปี 2009 กับค่ายสมอลล์รูมครับ”
ถามว่าท้อมั้ยที่ต้องรอนานถึง 4 ปีเต็มกว่าจะได้ออกอัลบั้มแรก บอยตอบ “คนอื่นเข้าใจว่าเราท้อ แต่มันไม่มีเลยครับ (หัวเราะ) ก็ทำเพลงไปเรื่อยๆ ครับ เรารู้สึกว่าเพลงที่เราทำออกมาถ้าย้อนกลับไปตอนนี้ โอ้โห…ก็คงด่าตัวเองว่ามึ-ทำอะไรเนี่ย (หัวเราะ) แต่มันมาก ด้วยความที่อายุตอนนั้นยังน้อย สิ่งที่เราทำ ณ เวลานี้ เราก็กลับไปทำเหมือนเดิมไม่ได้
การใช้เวลา 4 ปี ณ เวลานั้นก็คือการฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง ทั้งที่ 4 ปีผ่านไปแล้ว ทำออกมาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ในด้านจิตใจมันสำเร็จหมดครับ เพราะว่าที่สามารถทำเพลงได้ทุกวันนี้มันก็ต้องมีเรื่องราว มีก้าวแรกที่มาจากอัลบั้มแรกๆ ต้องขอบคุณสมอลล์รูมที่สร้างพวกเราขึ้นมา ให้โอกาสพวกเรา ช่วยดูช่วยขัดเกลาจนเพลงมันผ่านเป็นอัลบั้มแรกครับ”

ชีวิตหลังออกอัลบั้มแรก บอยบอกว่า ณ เวลานั้นก็รู้สึกว่ามันเต็มเปี่ยมกับทุกอย่างเกี่ยวกับงาน แต่ภาพความเป็นจริงคือไม่ได้มีเพลงฮิต ไม่สามารถได้ตัวเลขกลับมาที่ตอบโจทย์กับการที่เราเป็นนักดนตรีจริงๆ เราก็มีงานประจำ เราก็มานั่งคุยกันว่าสุดท้ายแล้วเราอยากเลี้ยงชีพ พอมันต้องมีเรื่องตัวเลขกับชีวิตจริงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมันก็ไม่ทั้งหมด เราก็เป็นวงที่ยังอยากเท่ แต่ก็อยากได้เงินด้วย
“เค้าก็จะบอกเสมอว่ามันต้องทำแล้วมีแบรนดิ้ง ด้วยความที่เป็นนักเรียนที่จบสถาปัตยกรรมมาในทางสถาปัตยกรรมก็มีเรื่องสวยงาม แข็งแรง เหมาะสม นั่นคือเท่ ในทางดนตรีก็เหมือนกัน มันคืองานออกแบบ มันต้องมีความสวยงาม คือถ้าในเนื้อร้องทำนองมันต้องมีความเป็นบทกวี ความสวยงามของภาษา การเรียบเรียงดนตรีที่เหมาะสมและแข็งแรง ทุกอย่างสวยงามแข็งแรงหมด อันนี้คือใช้ได้ นี่คือพื้นฐานที่เราได้จากโรงเรียนสถาปัตยกรรมครับ”
เพลงดังร้อยล้านวิว
ในอัลบั้มชุดแรกของพวกเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จ มีเพลงฮิตเหมือนวงดนตรีดังๆ พอออกอัลบั้มชุดที่ 2 ซึ่งห่างจากชุดแรกไปนาน 4 ปี ถามว่าช่วงที่หายไปทำอะไรบ้าง บอยบอกว่า “ทำเพลงครับ” ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะออกมา บอยพูดต่อ “เมื่อก่อนผมสงสัยมากเลยนะครับที่ถามว่าไปทำอะไรกันมา บางคนไปปลูกผัก ทำไร่ ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่วงผมไม่เคยทำอย่างอื่นเลยนอกจากทำเพลงครับ ตอนนั้นก็มีทัวร์ด้วย ก็ต้องขอขอบคุณสมอลล์รูมเหมือนกันที่แพ็กเราไปกับวงต่างๆ พอเราได้ออกไปทัวร์ เราก็จะมองเห็นปัญหา เพลงมันไม่ทำงาน หนึ่งคือด้วยฟังก์ชันของเพลงมันไม่ได้เอื้อให้เพลงมันทำงานขนาดนั้น
มันเป็นเพลงที่เราชอบ แต่ทุกวันนี้ถ้ามองกลับไป เราสามารถพูดได้เลยว่าเหมาะสำหรับการฟังเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่มันก็ย้อนกลับไปพื้นฐานของเราในการเป็นนักเรียนออกแบบ เห็นปัญหาก็ต้องแก้ไขปัญหา เราก็ใช้การออกแบบเพลงนี้แหละเพื่อที่จะไปตอบตรงนั้นอย่าง เช่น ทำไมเพลงกระโดดไม่ได้ เพลงมันเร็วไป ถ้าจังหวะช้าไปก็ไม่ได้ จังหวะ bpm ที่ดีที่สุดที่เหมาะกับการกระโดดคือ 130 มันก็คืองานออกแบบประเภทหนึ่งที่เราเจอปัญหาแล้วก็แก้ปัญหาครับ”

เมื่อค้นพบสาเหตุปัญหาเพลงไม่ทำงานและได้แก้ไขมันแล้ว พอได้ออกอัลบั้มชุดที่ 2 “ECHO & SILENCE” ถามว่าสำเร็จมากขึ้นกว่าอัลบั้มแรกมั้ย บอยตอบว่า “ถ้าบอกว่ามากขึ้นกว่าชุดแรกก็มากขึ้นครับ แต่นิยามความสำเร็จคือมันไม่มีอยู่แล้ว แต่มันดีขึ้นกว่าชุดแรก” ออตโต้เสริม “เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นครับ” จากนั้นบอยพูดถึงเพลง “ขอ” ซึ่งเป็นเพลงฮิตร้อยล้านวิวว่า “ผมว่ามันก็คุ้มค่าครับ หลังจากที่เราทำเพลงกันมานาน” ออตโต้บอก “ก็มีทัวร์เยอะขึ้นครับ ได้ออกไปเล่น พอไปทัวร์เยอะขึ้นก็มีแฟนเพลงเยอะขึ้น เพื่อนๆ ก็เริ่มทักมากขึ้น เพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยเริ่มโทร.มายืมเงิน (ยิ้ม)”
ถึงตรงนี้บอยบอกว่า “เราไม่เคยเปลี่ยนไป แต่คนรอบข้างทำตัวกับเราเปลี่ยนไป หลังจากที่คบกันมาร้อยวันพันปีไม่เคยพิมพ์มาโทร.มาหา บางทีเพื่อนก็โทร.มาบอกว่าเราไปอวดเพื่อนของเพื่อนแล้วมันก็ไม่รู้จัก มันก็กระอักกระอ่วน มันจะมีโมเมนต์ประเภทนี้ คือผมรู้สึกว่าคนรอบข้างทำตัวเปลี่ยนไปมากกว่าเรา ก็โตขึ้นตามกาลเวลา ทำให้เราตัดอะไรที่ไม่จำเป็น เรารู้ว่าเราต้องทำงานหนักมากขึ้น โฟกัสในหน้าที่ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะเราก็ได้ ทุกสายงานต้องทำงานให้หนักเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุดครับ”
วันที่ตัดสินใจย้ายค่าย
แต่หลังจากนั้นในปี 2558 ทั้ง 4 หนุ่มก็ตัดสินใจโบกมือลาจากค่ายสมอลล์รูมและมาทำเพลงในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อถามถึงเหตุผล บอยบอกว่า “หมดสัญญาครับ ถามว่าทำไมถึงไม่ต่อสัญญา มันก็เป็นหนึ่งในวิธีการออกจากคอมฟอร์ตโซน ถ้าเปรียบเทียบเป็นสโมสรฟุตบอลก็คือเราย้ายสโมสร ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนเหตุผลที่มาอยู่ที่แกรมมี่ ก็คุยกันแล้วเขาคุยดีครับ คุยแล้วลงตัว วิธีการทำงานสอดคล้องกัน หมุนไปในจังหวะเดียวกัน ณ เวลานั้น วงมองเห็น มีความต้องการ เขามีการเสิร์ฟ ไม่ได้บอกว่าสมอลล์รูมไม่สามารถเสิร์ฟเราได้ แต่ ณ เวลานั้นคือมันต้องไปข้างหน้าครับ”
ส่วนการทำงานในอัลบั้มที่ 3 ภายใต้สังกัดสนามหลวง มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ป้อมบอกว่า “การทำงานก็แตกต่างจากเดิม เราเพิ่งย้ายค่ายมาใหม่ด้วย แล้วกระแสเพลงร็อกเริ่มลงแล้ว” บอยเสริม “เราก็ทำงานของเราตามปกติมาตรฐาน ขุดไปให้สุดของศักยภาพเท่าที่มันจะเป็นไปได้ ส่วนหลังจากนั้นจะเป็นยังไงมันก็เป็นเรื่องของหลายอย่าง กลไกในวงการตอนนั้น เทรนด์ พฤติกรรมการเสพของผู้บริโภค ชุดนี้เราตั้งใจทำด้วยคอนเซปต์นี้ แล้วก็ผลักดันไปจนสุดงาน
ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จมันสู้เพลง “ขอ” ได้มั้ย คือต่อให้ทำยังไงมันไม่มีทางจะหมุนไปเหมือนเดิม เพราะว่านิสัยของวงคือเราจะไม่ทำอะไรตามสูตร เคยประสบความสำเร็จแล้วทำซ้ำๆ ย้ำๆ เราจะบอกแฟนเพลงเสมอว่าถ้าอยากจะฟังเพลงเดิม ให้ไปฟังอัลบั้มเดิม แต่ถามว่าอัลบั้มใหม่เป็นอีกทางนึงมั้ย ไม่เชิงว่าจะต้องเปลี่ยนทางไปเลย ในฐานะคนทำงานก็คือการพัฒนา มันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากโรงงานเดิม มันเหมือนไอโฟนที่มี 1 2 3 4 อะไรแบบนั้นครับ”

ถามว่าการทำงานแตกต่างจากค่ายเดิมมากน้อยแค่ไหน บอยบอกว่า “เราโชคดีที่ผู้ใหญ่และทีมงานคอยซัพพอร์ตเราเสมอครับ มันก็อาจจะเปลี่ยนไปบ้างในมุมมองเรื่องสเกล แต่เราโชคดีครับที่มีทีมงานคอยผลักดัน แต่ตอนนั้นสนามหลวงก็จะมีพี่เปิ้ลที่เข้าใจเรามาก มีพี่แม้ว พี่อ๋า ทุกวันนี้ก็ยังคอยติดตาม ไปมาหาสู่เป็นปกติ คอยสนับสนุนให้วงได้ทำงานอย่างเต็มที่ครับ”
และเมื่อพวกเขาได้มาร่วมงานกับสังกัดล่าสุดอย่างจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอยเล่าว่า “ตอนนั้นกำลังจะหมดสัญญากับแกรมมี่ คิดว่าจะเอายังไงกันต่อ ก็เลยคุยกับวงว่าอยากทำงานกับพี่อ๊อฟ บิ๊กแอส ครับ ก็เลยมาที่นี่” ถามว่าทำไมอยากร่วมงานกับพี่อ๊อฟ ป้อมให้เหตุผลว่า “โปรดิวเซอร์ขาร็อกจะหาได้ยากอยู่แล้วในวงการ จะน้อยอยู่แล้ว พี่อ๊อฟคือหนึ่งในตัวเลือกคนสำคัญของเรา”
บอยเสริม “ก็ดูว่าเคมีน่าจะเหมาะสม จริงๆ พี่อ๊อฟก็เป็นคนที่ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าแกไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว แกเก่งมาก (หัวเราะ) ผมจำได้ว่าวันนั้นผมโทร.ไปหาพี่อ๊อฟครับ พอพี่อ๊อฟโทร.กลับมา ไม่มีการเกริ่นอะไรเลย ก็บอกว่าวงโลโมโซนิกอยากร่วมงานกับพี่อ๊อฟครับ อยากไปจีนี่ครับ หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการ เกิดการพูดคุยกับผู้ใหญ่ ก็เลยเป็นอัลบั้มชุดต่อมาคืออีพีที่ชื่อว่า SWEET BROS. ครับ”

จากนั้นบอยเล่าถึงความประทับใจในตัวของอ๊อฟ บิ๊กแอส ไว้ว่า “พี่อ๊อฟเป็นโปรดิวเซอร์ เป็นลีดเดอร์ที่ดีมาก เป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาวง ช่วยมองวงในฐานะนักดนตรี มองวงดนตรีวงนึงที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ หลายอย่างที่เขามองเห็นมันมากกว่าเรา เหมือนเราเป็นทหารแล้วเจอแม่ทัพที่ถูกใจเราและช่วยเราเต็มที่ มีความเข้าใจเรา ก็ประทับใจ แล้วงานก็ออกมาดีมากๆ ผมก็ดีใจครับ มีการผลักดันให้ไป Mastering กับต่างประเทศ ถ้าสมมติเราทำเอง เราคงไม่มีสายป่านอะไรแบบนี้”
ส่วนการทำงานในสังกัดจีนี่ เรคคอร์ด ออตโต้บอกว่าเหมือนอยู่ถูกที่ถูกทาง ส่วนใหญ่ก็เจอศิลปินของจีนี่ รู้จักกันอยู่แล้ว บอยเสริม “โดยเฉพาะๆ พี่ๆ วง Sweet Mullet เขาชอบแกล้งผม ผมอยากให้เขารับน้องมากเลย แต่เขาไม่รับน้องเลยครับ (ยิ้ม)” ป้อมบอกว่าไม่ได้รู้สึกเขินอะไร เพราะรู้จักกัน “เหมือนเรามีเพื่อนบ้าน วันนึงก็ย้ายไปอยู่บ้านข้างๆ เขาก็เวลคัมเรา ทุกอย่างปกติดีมากครับ”
เพลงใหม่ล่าสุด
บอยเล่าผลงานเพลงใหม่ “หมดรัก” ถึงที่มาที่ไปในการทำงานว่า “ที่มาที่ไปเกิดจากที่ประชุมตอนทำอัลบั้มนี้ครับ พี่อ๊อฟ บิ๊กแอส บอกว่าอยากได้ยินเพลงบัลลาดจากโลโมโซนิก เราก็เลยกลับไปทำตามโจทย์ที่พี่อ๊อฟให้ โชคดีที่มันออกมาเร็ว เพลงหมดรักพูดถึงความสัมพันธ์ที่พอถึงเวลาแล้วมันหมดอายุนะครับ การที่เราจะเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ครอบครัว หรือคนรัก เพราะว่าเราให้ใจเขาไปครับ มันรักมันก็เลยเสียใจครับ” ด้านปิติบอกว่า “มันดีใจมากกว่าที่ได้โอกาสทำเพลงบัลลาด เพราะถ้าพูดจริงๆ ก็เป็นคนหนึ่งที่เกิดมาในยุคบัลลาดร็อกนะครับ ได้ทำในสิ่งที่สมัยเด็กๆ เราชื่นชอบครับ” ป้อมเสริม “เราก็เล็งกันว่าจะทำมานานแล้ว หาวาระอยู่”
ในพาร์ตมิวสิกวิดีโอ บอยเล่าว่าเป็นเรื่องราวของผู้กำกับ คือพี่เสือ ด้านออตโต้เผยถึงเหตุผลที่ไม่มีพวกเขาในเอ็มวีว่า “ที่ไม่มีเราในเอ็มวีด้วยเพราะว่าตอนนั้นรวมตัวกันในกองถ่ายไม่ได้ ก็เลยตัดปัญหาเรื่องนี้ไป แต่เราได้ดูการถ่ายทำของเขาสดๆ ผ่านโปรแกรมออนไลน์ต่างๆ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ครับ วันนั้นรู้สึกเขาถ่ายตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 6 โมงเช้า”

ส่วนเหตุผลที่เลือก 2 นักแสดง อุล ภาคภูมิ จงมั่นวัฒนา กับ ธิชา วงศ์ทิพย์กานนท์ บอยบอกว่า “ทางทีมเค้าเลือกมาให้ ในขั้นตอนการประชุม จริงๆ เราประชุมกันตลอด ได้มีการฟังเรื่องการพัฒนาชิ้นงานอยู่เรื่อยๆ และในขั้นตอนการแคสต์ก็รู้สึกว่าคุณอุลกับธิชามีคาแรกเตอร์มีเคมีบางอย่างที่เหมาะกับโลโมโซนิคครับ มันช่วยต่อยอดให้เพลงมีมิติมากขึ้นไปอีกครับ
ถามว่าพอเห็นภาพรวมแล้วพอใจแค่ไหน พอใจมากครับ ส่วนแฟนๆ ที่ได้เห็นเอ็มวี เขาไม่ได้พูดถึงเพลงแต่เขาเล่าเรื่องเศร้าในคอมเมนต์ครับ (หัวเราะ) กลายเป็นศาลาคนเศร้าเฉยเลย พวกผมก็งงมาก (ยิ้ม) พูดเล่นครับ ไม่งงหรอกครับ มันเป็นลักษณะของเพลงที่มันเป็นเรื่องราวของเขา แล้วแชร์ประสบการณ์หรือสิ่งที่เขาอยากระบายออกมา ในส่วนของเพลงก็มีพูดถึงในแง่ว่าเนื้อร้องทำนองดนตรีหรือกีตาร์โซโล่ครับ ซึ่งก็ไม่ได้มีฟีดแบ็กต่อต้านครับ เค้าก็บอกว่าชอบทำนองดนตรีครับ” ปิติเสริม “เขามาระบายเรื่องชีวิตจริงของเขาผมก็ดีใจนะครับเพราะว่าเพลงเราเข้าไปถึงตัวเขาเขาก็พร้อมที่จะระบายแชร์ประสบการณ์ในคอมเมนต์ครับ”
และอีกหนึ่งเพลงใหม่ “ส่งเธอได้เท่านี้ (GOODBYE)” บอยเล่าว่า “เพลงนี้มีเนื้อหาที่พูดถึง การยอมรับในการจากลา มันถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริง ฉันคงมาส่งเธอได้เท่านี้ แม้อยากจะกอดหรืออยากจะบอกรักแค่ไหน แต่สุดท้ายมันติดที่เราต้องลาจากกันอยู่ดี เพราะเราปฏิเสธที่จะเรียนรู้ความสูญเสียไม่ได้ ซึ่งปกติการทำงานของโลโมโซนิค ใน 1 เพลงจะมีการคิดและทำเมโลดี้ร้องไว้ 9 แบบในทุกเพลง เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุด แต่เพลงนี้เป็นเพลงเดียวในอัลบั้มที่ถูกทำไว้แค่แบบเดียว ที่ทุกคนเห็นร่วมกันว่าเมโลดี้นี้ดีที่สุด และรู้สึกอินกับดนตรีทั้งหมดมากที่สุดครับ

ส่วนเอ็มวีผมดูแล้วรู้สึกจุก มันโดนหลายมุม และผมว่าหลายคนน่าจะมีประสบการณ์แบบนี้อยู่ ใน MV มันเล่าถึงหลายความสัมพันธ์ ทั้งความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เพื่อนพ้อง สัตว์เลี้ยง คนรัก ในช่วงเวลาหนึ่ง พอเราเริ่มโต มีอายุมากขึ้น เราจะเริ่มรู้จักความสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนดูแล้วอาจจะทำให้คิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ พวกเราอยากให้เพลงนี้ได้ไปอยู่ในชีวิตของพวกเค้า ที่ฟังเพลงจบแล้วอาจจะเหมือนได้ระบายอะไรบางอย่างออกมา เผื่อทำให้เค้ามีพลังในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งครับ”
การร่วมงานกับอ๊อฟ บิ๊กแอส ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ บอยบอกว่า “การทำงานกับพี่อ๊อฟยอดเยี่ยมมากๆ พี่อ๊อฟช่วยเพิ่มมิติเพราะจะมีบางอย่างที่พี่อ๊อฟมองเห็นแต่วงมองไม่เห็นหรือนึกไม่ถึงทั้งเรื่องการบันทึกเสียง ซาวนด์ เป็นโปรดิวเซอร์ที่เข้ามาช่วยติดอาวุธ เพิ่มมิติให้กับตัวเพลงได้ยอดเยี่ยมมากๆ ครับ พี่อ๊อฟใจดีแล้วก็มองเห็นวงในฐานะนักดนตรีเข้าใจวงมากๆ เลยครับ” ในการทำเพลงใหม่ อัลบั้มชุดใหม่ ถามว่าตื่นเต้นเหมือนอัลบั้มที่ผ่านมาหรือไม่ บอยยอมรับว่าตื่นเต้น นั่งดูยอดวิวตลอดเลย ตอนนี้ก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นยุคสมัย ตื่นเต้นคาดหวังอยากให้เพลงดัง ส่วนยอดวิวที่พุ่งสูงหลักล้านก็รู้สึกดีใจ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้
16 ปีวงการเพลง
เมื่อถามถึงแพลนต่อๆ ไปของ LOMOSONIC ปิติบอกว่า “ก็ยังอยากทำงานเพลงต่อไปเรื่อยๆ คิดว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำไปได้ตลอดครับ” ป้อมแซว “อยากอยู่ต่ออีกสัก 160 ปี” ทำเอาทุกคนหัวเราะลั่น เมื่อถามว่าแล้ว 16 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง บอยบอกว่า “ผมเข้าใจว่าคงเห็นภาพความลำบาก ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกติของการทำเพลง ผมว่า 16 ปียาวนานเหมือนกันนะ เหมือนแก่ (ยิ้ม) จริงๆ เราควรประสบความสำเร็จมากกว่านี้นะ ถ้าเป็นยุคที่อุตสาหกรรมดนตรีมันเฟื่องฟู
แต่มันก็สะท้อนกลับมาว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในฐานะวงดนตรีวงนึงที่สร้างงานเอง เหมือนอย่างที่พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) เคยบอกพี่โป่ง หินเหล็กไฟ ว่า มันไม่มีทางตายแน่นอนถ้าเราสร้างงานเองได้ ตั้งแต่ยุคนั้นที่ไม่มียูทูบ พี่เต๋อพูดคำนี้เอาไว้ ซึ่งผมว่ามันใช้ได้ดี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่วงดนตรีหรอก 16 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้นับเรื่องเวลา ผมนับเรื่องหน้าที่ดีกว่า หน้าที่ของวงดนตรีวงนึงที่สร้างงานมา ก็ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยในส่วนของเราที่เราทำออกมา ในส่วนที่ทำออกไปแล้ว คนฟังเป็นคนตัดสินครับ”

เมื่อถามถึงความประทับใจในกันและกัน ทั้งวงหัวเราะเขินเลยทีเดียว บอยบอกว่า “ไม่รู้สิ ผมอยู่กับที่บ้าน ผมไม่ค่อยบอกรักที่บ้าน แต่ตอนนี้อยู่กับเพื่อนมากกว่าที่บ้าน ถามว่าเป็นยังไง ก็ดีครับ (หัวเราะ)” ออตโต้เสริม “เหมือนเราไปทำงานด้วยกันและมีวันหยุดร่วมกันตลอดเวลา” บอยพูดต่อ “มันเหมือนเราไม่เคยขี้เกียจที่จะไปทำงานด้วยกัน ตื่นแล้วรีบย้ายที่ ไปอยู่ด้วยกันตลอด ได้ไปต่างประเทศ ก็โชคดีมาก เป็นอาชีพที่รู้สึกว่าเฟรช อันนี้ก็หยิบยกคำพูดคนอื่นมาอีกแล้ว พี่ต้าร์ พาราด็อกซ์ บอกว่าเพลงร็อกทำให้เราเป็นวัยรุ่นตลอดเวลา (ยิ้ม) เป็นชีวิตที่สนุกดีครับ”
สุดท้ายเราให้ทุกคนฝากถึงแฟนๆ ซึ่งทุกคนพร้อมใจยกมือไหว้ ด้านบอยฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมานานกว่า 16 ปีว่า “ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามและเข้าใจพวกเรามาตลอด ตอนนี้เราเข้าใจมากเลยว่าช่วงโควิดคอนเสิร์ตที่ดีมันขาดคนดูไม่ได้ ศิลปินต่อให้ดีขนาดไหน แต่ถ้าขาดแฟนเพลงก็ไม่สมบูรณ์แบบครับ ส่วนแฟนเพลงที่บอกว่าฟังแล้วชอบชุดแรกมากกว่าก็เลยไม่ฟัง ก็อยากให้กลับมาฟังนะครับ ขอร้องครับ ลองฟังดู” ออตโต้เสริม “ขอบคุณแฟนเพลงที่เข้าใจเรา เราก็เข้าใจแฟนเพลงนะ บางคนบอกว่ามีหน้าที่การงานที่อาจทำให้ไม่ได้ตามวงแล้ว ผมเข้าใจ และขอบคุณสำหรับการติดตามผลงานครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : GMM Grammy
กราฟิก : Chonticha Pinijrob
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2257382
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2257382