ไมค์ พิรัชต์ น้ำตาไหล เล่าปมในใจทำให้หมดแพสชั่น ไม่มีความสุขในชีวิต (คลิป)


ให้คะแนน


แชร์

2 หนุ่มดูโอ้ขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000 เจ้าของตำนานผมรากไทร กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล และ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล แท็กทีมกันมาเคลียร์ใจแบบหมดเปลือกในรายการ WOODY FM ไมค์เล่าทั้งน้ำตาเผยเหตุผลที่บินไปทำงานที่จีน เพราะโดนดูถูกเหยียดหยามจากคนในวงการ รู้สึกไม่มีที่ยืนในสังคม จนหมดแพสชั่น ชีวิตไม่มีความสุข อยากก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป และเผยความในใจต่อกันระหว่างพี่น้องที่ไม่เคยพูดกัน

ดีใจมากที่ 2 คนมานั่งรวมตัวกัน ทั้งคู่มาไกลมาก ชีวิตของพวกคุณผ่านอะไรกันมาเยอะจริงๆ บางทีก็ล้มบ้างลุกบ้างก็เป็นสีสันของชีวิต สุดท้ายมันก็ผ่านไป เป็นประสบการณ์สอนเรา และไมค์ได้ไปอยู่จีน เหตุผลที่ตัดสินไปคืออะไร?
ไมค์ : เอาจริงๆเลย ตอนนั้นดังจาก Full House แล้วก็มีคนมาตามอยู่หลายรอบเลยว่าไปจีนไหม ไปต่างประเทศไหม ผมก็ยังไม่ได้ไปครับ แล้วก็เกิดข่าวคราวต่างๆ เมื่อสมัยโน้นนานมาแล้ว คือหลังจากข่าวนั้นหลายๆ อย่างมันก็เปลี่ยนไป เวลาออกไปไหนสายตาคนที่มองเรา คือด้วยความที่ปกติผมก็เป็นคนที่ระแวงสายตาคนอยู่แล้ว อันนี้มันยิ่งทวีคูณเข้าไป ผมรู้สึกว่าสายตาคนที่มองผม คือความเหยียดหยาม ความดูถูก เวลาผมไปเดินห้างหรืออะไรแบบนี้หลังๆ ผมก็เลิกเดิน หรือแม้กระทั่งคนในวงการ ผมก็รู้สึกอย่างนั้น

รู้สึกว่าเวลาไปงานวันเกิดเพื่อน หรืองานที่มีคนในวงการเยอะๆ สายตาพวกเขาเวลามองผม คือพวกเขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้นะ แต่คือความระแวงความกังวลของผมมันคิดแบบนั้นไปแล้วว่าเขากำลังขยะแขยงเราอยู่ เขากำลังมองเราด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งผมไปงานงานหนึ่งแล้วผมรู้สึกได้เลยว่าคนล้อมเยอะมาก แต่ว่าไม่มีใครมาคุยกับผมเลย ทุกคนแค่เดินมาสวัสดีทักทายแล้วก็ไป เหมือนผมยืนอยู่กลางวงแล้วแบบไม่รู้ผมมาทำอะไรที่นี่

ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าเราไม่มีที่ยืนตรงนี้แล้ว ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เรา แล้วมันแบกรับความรู้สึกนี้อยู่เป็นปี เราก็ไม่ไหว แล้ววันหนึ่งที่มีคนมาบอกว่าไปจีน วันนั้นผมตัดสินใจไปเลย เพราะว่าถ้าผมยังอยู่ตรงนี้ต่อไปตายแน่ ไม่รอด ไม่ไหว แล้วพอผมไปจีนรู้สึกว่าไม่ได้มีใครมาสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นที่ไทย แล้วเขายินดีที่จะอ้าแขนต้อนรับเราแบบไม่มีอคติ ไม่มีกำแพง แล้วผมรู้สึกมีความสุขมากเลย รู้สึกว่าต่อให้งานมันจะยากกว่า ต้องไปนั่งท่องบท ต้องฝึกภาษาจีน เหนื่อยกว่าหลายเท่าแต่มันก็มีความสุขกว่านะ มากกว่าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกว่าทุกคนเหยียดหยามเรา

พี่อยากจะบอกคุณว่าไม่จริง ไม่ได้มีคนทั้งวงการมาเหยียดหยามคุณ แต่จริงที่ว่าช่วงที่เป็นข่าวก็มีคนพูดถึงเยอะ แต่ทุกคนก็รอคอยว่าไมค์จะยังไงต่อ แล้วตอนนั้นพี่ก็เป็นห่วงมาก?
ไมค์ : มันโดดเดี่ยวพี่ มันตัวคนเดียวจริงๆ ถ้าให้นึกย้อนในความรู้สึกตอนนั้นจะอยู่ต่อไปทำไม ไม่รู้จะไปทางไหน (น้ำตาคลอ) ไปทางไหนก็ตันไปหมดเลย

วันที่ดาร์กที่สุดเหตุการณ์เป็นยังไง?
ไมค์ : พูดได้ไหม ก็คือกดดันมากจนก็อยู่นอกระเบียงแล้ว (น้ำตาคลอ) รู้สึกเหมือนมันไม่มีทางออกเลย

กอล์ฟรู้เรื่องนี้ไหม?
กอล์ฟ : รู้ครับ

ดีใจมากที่คุณนั่งอยู่ตรงนี้ วันนี้เราแค่สะท้อนกลับไป มันผ่านไปแล้ว ขอโทษที่พูดถึงมันแต่พี่คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายคน ที่เจอทางตันและหาทางออกไม่ได้?
ไมค์ : คือการที่เราเกิดเป็นผู้ชาย คุณเป็นผู้ชายคุณจะอ่อนแอไม่ได้ ต้องเข้มแข็งจะมาร้องไห้อะไร แต่แค่อยากจะบอกว่าคนที่เขาไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา เขาไม่มีทางเข้าใจเลยว่าเรื่องที่เราต้องเจอต่างๆ คือเรื่องที่ทุกคนเห็นในสื่อมันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่ผมเจอ เท่าที่ออกสื่อได้

มันยังมีอีกมากมายที่อยู่ใต้น้ำที่เราพูดไม่ได้ วันนั้นผมก็พยายามทำตัวเข้มแข็งนะ แต่ ณ ปัจจุบันผมจะบอกว่าจริงๆ พอเราเริ่มรู้ตัว ในวันนั้นเราไม่ได้อ่อนแอเลย เราเข้มแข็งที่สุดแล้วด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่เรื่องที่เราเจอมันอาจจะแปลกเยอะไปจนเราดูเหมือนคนอ่อนแอ หรืออาจจะเป็นทางอาการป่วยทางเคมีหรืออะไรสักอย่างที่มันเป็นความเศร้ามากๆ จนมันควบคุมไม่ได้

กอล์ฟ : เป็นเพราะว่าไมค์เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดด้วยครับ ไม่บอกว่ารู้สึกอะไร เป็นคนที่เก็บอยู่คนเดียว เราทั้ง 2 คนอยู่วงการนี้ตั้งแต่เด็ก มันจะเจอข่าวโน้นข่าวนี้ อย่างกอล์ฟเองก็จะเจอข่าวเรื่องแฟน บางทีเราก็รู้สึกว่าทำไมต้องมาเจอแบบนี้ ต้องออกมานั่งพูดในเรื่องอะไรแบบนี้แล้วต้องให้สังคมเข้าใจ ในยุคนั้นอาจจะไม่เหมือนในยุคนี้ที่อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันหลายมุมมอง แต่ตอนนั้นมันอาจจะมีแค่มุมมองเดียว สื่อว่าไปทางไหนคนอ่านผิวเผินก็จะตีความไปแบบนั้นเลย คนหมู่มากก็จะคิดแบบนั้น

ทำให้เรารู้สึกว่าไม่แฟร์ มันมีบางอย่างที่อยากให้เข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น อย่างกอล์ฟก็มีช่วงชีวิตที่ดาวน์เหมือนกัน ที่หายไปช่วงหนึ่งหลังจากที่แยกกอล์ฟไมค์ แต่โชคดีที่กอล์ฟกับไมค์ต่างกันนิดหนึ่งที่ กอล์ฟจะมีความ Alert สนุกสนาน เฮฮา เอาพลังบวกตรงนั้นกับสิ่งที่เราอยากจะทำความฝันให้เราออกมาจากจุดๆ นั้นได้ เพราะเชื่อว่าถ้าเรามีสกิลทักษะ เราจะไม่หายไปจากวงการบันเทิง เราจะสามารถอยู่ได้ด้วยศักยภาพของเรา

ไมค์ : ผมก็อิจฉาเขานะ ลองพยายามแล้วที่จะเป็นแบบที่เขาเป็นอยู่ แต่ว่ามันไม่เป็นตัวของตัวเอง

แต่ละคนไม่เหมือนกัน?
ไมค์ : เพราะผมพยายามแล้วมันเหนื่อย แบบบางคนเจอผมรู้สึกว่าผมเข้าหายาก แต่จริงๆ ไม่ใช่ คือผมแค่เหนื่อยที่จะแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือสีหน้าการแสดง หน้าตาอะไรต่างๆ เฉยๆ คือทำได้แบบว่า Alert ได้ แต่คือผมก็เป็นแบบนี้นิ่งๆ แต่ก็ Nice นะ แต่คนเวลาเจอทำไมนิ่งจังเลย เขาก็จะมีความประทับใจที่ไม่ค่อยดี ดูกวนตีนหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่จริงๆ ไม่ใช่ บอกทุกคนไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่ ไม่ได้เก๊ก ไม่ได้อะไรด้วย แค่เหนื่อยที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าเราจะพยายามพูดอะไรไป เราคิดว่าถ้าเป็นเรา มีคนมาทำแบบนี้ให้เราจะแฮปปี้มาก แต่พอเราไปทำให้คนอื่นกลายเป็นว่าเขาบอกว่าทำไมเห็นแก่ตัว คิดเรื่องตัวเอง คือเราคิดทุกอย่างเป็นตรรกะหมดเลย ถ้าทำแบบนี้ได้ผลลัพธ์แบบนี้ ทำแบบนี้คือดีอย่างนี้ๆ เพราะอะไร จะมีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา แต่พอบางทีพูดไปเขาไม่รับเขาไม่ฟัง เราก็หยุดเลย แล้วพอเป็นแบบนี้เรื่อยๆ เหมือนเป็นบทเรียนที่ซ้ำๆ สุดท้ายเราก็เลยเลือกไม่พูดกับใครเลย เพราะมีความคาดหวังว่าถ้าเราพูดไปคนนี้เขาไม่เข้าใจหรอก ก็ยิ่งกลายเป็น Introvert เรื่อยๆ จนไม่อยากที่จะเปิดออกมากเกินไป

วันนั้นที่ไมค์ตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเอง มีสติอะไรที่เข้ามาเตือน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คน แล้วกอล์ฟได้ซัพพอร์ตเขายังไงบ้าง?
ไมค์ : เอาจริงๆ นะพี่ตอนนั้น ขาผมออกไปแล้วครึ่งก้าว ถอยกลับเข้ามาแล้วก็ไปหาที่นั่งตรงลานจอดรถนั่งอยู่นานมาก แต่ไม่คิดอะไรเลย มันเบลอ ทุกครั้งก็จะเป็นประมาณนี้ บางทีหนักหน่อยก็จะมีภาวะหายใจเร็วเกินไป มือเกร็ง หน้าชา ลิ้นชา แต่พอมันผ่านมาได้ ผมรู้สึกว่าอายุ 30 คือจุดเปลี่ยน ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเพราะอะไร อายุ ดวงดาว โหราศาสตร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ รู้สึกได้ทันทีเลยว่าจิตใจเราแข็งแกร่งขึ้น มันเข้มแข็งขึ้นจนโอเคถ้าเรากลับไปพูดถึงมันยังมีความเศร้าอยู่ ความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้หายไปเลยนะ แต่เราเลือกที่จะไม่ไปต่อต้านมัน

ผมแค่เปลี่ยน Mindset นิดเดียวเลย ว่าเราจะอยู่ร่วมกันยังไง เราจะเข้ากันได้ยังไง ความรู้สึกกับตัวเราจะอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ได้ยังไง ผมก็เลยเพิ่มเข้ามาคำหนึ่งก็คือไม่ต้องไปแคร์อะไรมาก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดแล้วมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเราผ่านใกล้เส้นความตายมาแล้ว ทุกเรื่องคือเรื่องเล็กหมด ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ อีกอย่างหนึ่งถ้าเราไม่อยู่ จากโลกนี้ไปแล้วไงต่อ เราก็เป็นได้แค่ความทรงจำ สุดท้ายก็เจ็บปวดคนเดียวอยู่ดีไม่มีความหมาย ก็เลยตัดสินใจที่จะไปต่อแล้วพุ่งชนทุกอย่าง ตอนนั้นก็เลยไปจีนแล้วพุ่งชนทุกอย่าง

ตอนนั้นคุณเป็นกำลังใจให้กับเขาขนาดไหน?
กอล์ฟ : เขาไม่ค่อยได้คุยความรู้สึกตรงนี้ให้ฟังเลย กอล์ฟมาได้ยินตอนทีหลังว่ามีเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่หลังๆ ก็พยายามถามเขานะ แต่เหมือนไมค์เขาไม่ค่อยเปิด เขาจะไม่ค่อยพูดเรื่องความรู้สึก

ไมค์ : พ่อแม่ก็ไม่ได้คุยครับ คือเรื่องราวมันเยอะเหลือเกิน แล้วเราไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงยังไง แต่รู้เป็นภาพรวมในหัวว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังเจออยู่ ผมคิดว่าความรู้สึกพวกนี้ถ้าพูดไปมันไม่เกิดประโยชน์ก็เลยไม่พูด สุดท้ายแล้วเราต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวเอง ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่เราเจอเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี หลังจากนั้นผมก็ได้คำตอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีหรือดี แล้วคุณจะรู้เองในอนาคต

ตอนนี้ผมก็กำลังหาอยู่ คือปีนี้เป็นช่วงเวลาของการหาเลยว่าทำยังผมจะออกจากความรู้สึกเหล่านี้ได้ ทุกวันนี้ยังหาไม่เจอ ยังไม่รู้คำตอบ ผมพยายามทำในสมัยก่อนทำแล้วมีความสุข แต่ตอนนี้ทำแล้วไม่มีความสุข แม้กระทั่งจะกินข้าวอะไรที่เคยกินแล้วอร่อยมันก็ไม่อร่อย เรื่องที่เคยทำแล้วมีความสุขที่สุดเราทำแล้วรู้สึกเฉยๆ จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่ายังไงนะ แต่ก็ดั้นด้นทำมันต่อไปเพราะต้องการหาคำตอบว่ามันพลาดตรงไหน หรือว่าความสุขเราไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แล้วมันไปอยู่ตรงไหน เราต้องการอะไรกันแน่ เหมือนคนหลงทาง

นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมปีนี้ผมยอมกลับมาทำคอนเสิร์ตกอล์ฟไมค์ จริงๆ ผมกลัวมากเลยนะ ผวาเลยกับการที่จะกลับมาทำงานที่นี่ ด้วยเรื่องราวสมัยก่อน ต่อให้มันเคลียร์ไปแล้ว ด้วยความที่มันยังเป็นดราม่าอยู่ในใจ มันไม่มีทางหาย ผมก็เลยเอาคอนเสิร์ตกอล์ฟไมค์มาเป็นจุดหนึ่งที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองกลับมา ต้องการที่จะก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านี้ ผมต้องการระเบิดมันออกไปบนเวทีนี้ ให้ผมกลับมามีความสุข มีแพสชั่นอีกครั้ง

รู้สึกดีใจไหมไหมที่มีพี่น้องเป็นคนนี้?
ไมค์ : แน่นอนครับ อยากจะบอกว่าเขินเลยเนี้ย

กอล์ฟ : ปกติไม่ค่อยได้พูดกัน พูดกันน้อยมาก เรื่องความรู้สึก

ไมค์ : ขอบคุณมากที่อยู่ตรงนี้ แล้วก็อยู่ตลอด เวลาปกติเราอาจจะไม่ค่อยได้คุยกันหรืออะไร แต่ว่าเวลาที่เรามีปัญหาหรืออะไร กอล์ฟก็อยู่มาตลอดตั้งแต่ต้น

กอล์ฟ : คือจริงๆ ก็คือรักน้อง (ร้องไห้) อยากให้พูดกับพี่บ้าง

ไมค์ : ช่วงนี้มันไม่มีอะไร แล้วก็นึกไม่ออกว่าต้องพูดอะไร แค่จะบอกว่าตอนนี้ดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คือเข้มแข็งแล้ว

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2729472
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2729472