อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม "วงการบันเทิงมันแย่" เคยซึมเศร้า วันนี้พร้อมแต่ง?


ให้คะแนน


แชร์

ประเดิมคำถามแรก แค่ถามว่าทำไมเราไม่เห็นผลงานอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮมเลยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

“ผมว่าทุกคนหายไปหมดแหละ ไม่มีคนทำงานเกือบ 2 ปี การออกกองยากมาก เลยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ออกกอง ก็ไม่มีหนังให้คนดูไง” เขาพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจ รวมถึงวิพากษ์การทำงานของรัฐบาลได้น่าสนใจ

“เขาสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ ทุกรัฐบาลทำพลาดได้ในช่วงโควิด-19 เพราะมันคือโรคอุบัติใหม่ แต่ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่า มันไม่ได้มีบทสนทนาว่า เราอยู่กับมันมาสองปีแล้ว เราจะเดินหน้าไปอย่างไร อะไรคือความจริง เพราะผมรู้สึกว่ามาตรการหลายอย่างไม่เป็นรูปธรรม มันควรจะช่วยให้คนรอดจากเหตุการณ์เหล่านี้ ซึ่งยอมรับว่าผลกระทบก็ยังมากระทบที่ผมด้วย ธุรกิจผมด้วย” 

39 ปี

อนันดา

พระเอกผู้ซึ่งเป็นตัวแทนฝั่งภาพยนตร์ไทยเล่าถึงช่วงวัย 39 ปี ได้อย่างมีสีสันและเข้าใจโลกมากทีเดียว เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ด้วยวัยที่ใกล้จะ 40 แต่กลับสนุกกับการโตขึ้น ทุกอย่างในชีวิตง่ายขึ้นเรื่อยๆ

“ที่สังเกตกับตัวเองคือ อยู่ดีๆ กลายเป็นคนเต้นได้ จากที่แต่ก่อนเวลาไปเที่ยวกลางคืน จะต้องพิงกำแพง สนุกได้ประมาณหนึ่ง เพราะผมห่วงสายตาของคนอื่น มันเครียด กูต้องเป็นอนันดาเท่ๆ แบบที่เขาคิดกัน

แต่พอมันโตขึ้น กูจะไปเก็บไว้ทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะแคร์ทำไมคนอื่นคิดยังไง เรามีหน้าที่ต่อตัวเรา ครอบครัวเรา คนรอบข้างเรา จะไปอะไรกับสายตาคนอื่น ทุกวันนี้เวลาไปเที่ยว กูนี่แหละเปิดฟลอร์ตัวนำเลย ไม่คีพลุคไม่เหี้ยไรเลย (หัวเราะและเต้นให้ดูด้วย)”

ประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงวัย 30 ปี เขาเคยกังวล เครียด กลัวงานจะเปลี่ยนไป บทจะเปลี่ยนไป คนจะจ้างทำงานอีกไหม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงก็มีแต่ตัวเราจะค่อยๆ ปรับตัวไปเองได้ 

อย่าเรียกผม 

อาร์ติสต์

เราแทบจะเห็นอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮมรับงานที่นอกเหนือจากภาพยนตร์และละครที่รับเพียง 8 เรื่องเท่านั้น ยิ่งออกรายการ ปรากฏตัวตามงานอีเวนต์ยิ่งแทบจะไม่เห็น คนจึงเรียกผู้ชายคนนี้ว่า อาร์ติสต์ อินดี้ ซึ่งพอเขาได้คำจำกัดความตัวเอง ก็มีอาการขึ้นมา  

“ผมได้ยินคำว่าอาร์ติสต์จะขนลุกนิดนึง มันไม่ใช่คำด่านะ แต่มันมีภาพในหัวแปลกๆ บางทีสิ่งที่ผมเคยพูด ความหมายของชีวิต ผมนั่งมองดูฝนที่ตกกระทบกับพื้น สวยจัง พอนึกถึงผมก็แบบ อ้วกดีไหมเนี่ย (ท่าทางมาเต็มมาก)

แต่เอาเป็นว่าตั้งแต่ผมเด็กๆ เป็นคนเงียบๆ ชอบทำอะไรคนเดียว เป็นคนคิดเยอะ คิดมากจนเป็นโรคนอนไม่หลับเลย เป็นตั้งแต่เด็กเลยนะ มันอาจจะเป็นที่เคมีในสมองผมด้วยนะที่ทำให้เป็นตั้งแต่เด็ก จนทุกวันนี้ไม่ว่าจะเครียดหรือไม่เครียด ก็ยังมีปัญหาเรื่องนอน ไม่ว่านอนยังไงก็ได้แค่ 5 ชั่วโมง”

พิธีกรถามว่าเป็นโรคซึมเศร้าไหม อนันดาตอบทันทีว่า ช่วงวัยรุ่นเคยเป็น ช่วงที่ยังใช้พลังงานในการทำกิจกรรมสูงๆ ทำทุกอย่างในชีวิตเต็มที่ เต็มที่กับทุกเรื่อง แต่ก็นอนไม่หลับ แบกทุกข์ เครียด เป็นวัฏจักรชีวิตที่แย่มาก

“ผมจำได้ว่านอนไม่หลับประมาณ 1 เดือน คือร่างกายมันหลับแต่เรารู้สึกว่านอนไม่หลับ เรารู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ง่ายที่สุดในโลก ทำไมกูทำไม่ได้วะ เห็นคนอื่นหลับอยู่ กูอยากจะร้องไห้ ไอ้เหี้ยมึงทำได้ไง”

จนสุดท้ายต้องพึ่งจิตแพทย์เพื่อรักษาอย่างจริงจัง จนเข้าใจว่า โรคซึมเศร้าและโรคนอนไม่หลับ มันคือคนละโรคกัน เริ่มเข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นมีปัจจัยส่วนหนึ่งจากอาการนอนไม่หลับ แต่โรคซึมเศร้าก็เป็นอยู่ของมันไป การรักษาก็ต้องคลายปมชีวิตไปทีละปม การนอนไม่หลับกับความเครียดความทุกข์คือคนละประเด็น และทุกวันนี้เขารักษาอาการโรคซึมเศร้าหายแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับก็ยังมีอยู่บ้าง 

วงการบันเทิง
มันเ-ี้ย

ช่วงอาการนอนไม่หลับ คิดมาก คิดวนไปวนมา มีผลต่ออารมณ์ ความคิดและทัศนคติของอนันดาพอสมควร เขาเล่าถึงช่วงเวลานั้นกับการทำงานว่า 

“ตอนถ่ายภาพยนตร์ทุกอย่างมันตึงเครียดอยู่แล้ว แต่พอเราเสร็จงาน เราควรจะจบความรู้สึกเหล่านั้น แต่สำหรับผมมันติดตัวไปตลอด ความรู้สึกที่ทุกอย่างต้องมีความหมาย มันเลยลามไปโดนคนอื่นบ้าง

วงการนี้มันเหี้ย แม่งไม่มีความรู้กัน สักแต่จะทำ ไอ้__

ผมคิดแค่ว่า ทำไปแล้วไม่มีความหมาย ทำไปทำไมวะ ดูตัวเองกันบ้างไหม ทำอะไรไปให้คนดู”

เขายอมรับในความก้าวร้าวของตัวเองในช่วงเวลานั้น แต่วันนี้มองกลับไป เขาก็รู้ตัวเองว่า ไม่สามารถตัดสินงานคนอื่น

“ผมรู้จักเขาหรอ รู้หรอเขาคิดอะไรระหว่างที่ทำงาน มองตัวเองกลับไปก็อายนะ ว่าเราไปรู้ดีอะไร (แค่นหัวเราะ) มันไม่ได้มาจากความก้าวร้าวหรือมองโลกแง่ร้าย เราแค่อยากทำอะไรให้ดีที่สุด อยากเปลี่ยนทุกคน อยากเปลี่ยนวงการภาพยนตร์ อยากให้ทุกคนพัฒนาทัศนะเป็นแบบนี้ ตามผมซึ่งเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ แต่มันไม่ใช่เรื่องของเราไง”

อนันดาเล่นภาพยนตร์มาแล้ว 35 เรื่อง ย่อมพูดได้ว่าเขาคือตัวแทนนักแสดงฝั่งจอเงินคนหนึ่งของไทย มุมมองวิวัฒนาการของภาพยนตร์ไทย ที่ใครมองว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง พระเอกคนนี้กลับมองว่า 

“อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยดีขึ้น สิ่งแย่ๆ มีอยู่ทุกที่ แต่มันไม่สำคัญแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปชี้นิ้วใส่งานคนอื่นแล้วด่าเขา มองหาสิ่งดีๆ แล้วชื่นชมกับมัน ขอคำแนะนำจากเขา แชร์ความรู้กันเพื่อพัฒนาตัวเอง เขามองว่าคุณภาพของภาพยนตร์ไทยมันดีขึ้นเรื่อยๆ แต่แน่นอนมันก็มีบ้างที่ฉาบฉวยหน่อย แต่ก็มีค่าในแบบของมัน แต่สิ่งใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ”

ผมเป็นคนสร้าง

บาดแผลความรัก

“ในความพยายามของเราที่จะทำทุกอย่างให้มีความหมาย จนมันกลายเป็นอีโก้มองตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง และในเรื่องชีวิตรัก เมื่อเราเห็นความรักคือสิ่งที่สำคัญกว่า ซึ่งการคบกันกับใครสักคน ความสัมพันธ์มันคือแบ่งปัน โลกของสองคนที่แบ่งปันกัน แต่ช่วงนั้นโลกของผมมันครอบงำทุกอย่างไปหมด เราก็ไม่ได้รู้ตัวจนเราเริ่มโตขึ้น

พอผมรู้ตัวเลยได้รู้ว่า ผมทำคุณเจ็บขนาดนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่า คุณคิดเรื่องอนาคตของเราไกลขนาดนี้ ผมไม่เคยคิดเลยถึงโลกของเรา ผมมีแต่โลกของกู พอนึกได้ผมรู้แล้วว่ามันไม่แฟร์สำหรับอีกคน มันเลยสอนให้ผมทุกวันนี้ต้องมีสติกับชีวิตรักมากขึ้น พื้นที่นี้เป็นของเราทั้งคู่ แชร์ทุกอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ว่าใครมีค่ามากกว่าใคร”

แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เมื่อเขาได้เล่ามันอีกครั้ง น้ำเสียงและสีหน้าก็ยังเศร้าและรู้สึกผิด

อนันดากลัวการแต่งงาน?

อนันดาเคยให้สัมภาษณ์เมื่อหลายปีก่อนว่าไม่เชื่อเรื่องแต่งงาน แต่มาทุกวันนี้เขาเริ่มมีทัศนคติการใช้ชีวิตคู่และจุดเริ่มต้นชีวิตคู่เปลี่ยนไป

“ผมแค่มองว่า การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ย้อนเวลากลับไปช่วงวัยรุ่น ไม่แคร์เลย การแต่งงานคือความไร้สาระ แต่งไปแล้วก็จะเลิกกัน เพราะโลกของผมในตอนนั้น คนรอบตัวไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ พ่อแม่ผมเลิกกัน เพื่อนผม 99% ครอบครัวก็เลิกกัน มันเลยอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม จะแต่งงานไปทำไม มันทำร้ายจิตใจกัน ช่วงนั้นเลยมีมุมมองแย่ๆ กับคำว่า แต่งงาน

แต่พอโตขึ้น มันก็เป็นอีกปมที่ผมเห็นอีกมุม การแต่งงานมันคือความสุขของเราสองคน มันคือการฉลองความรักของเราสองคน ซึ่งก็เป็นงานที่เราทำให้สองครอบครัวมีความสุขด้วย แต่นี่เป็นมุมมองของผมนะ ยังมีอีกคนที่ต้องร่วมตัดสินใจด้วย”

แม้อนันดาจะมีแผนจะฉลองความรัก แต่อาจไม่ใช่เร็วๆ นี้ หรือเป็นเรื่องที่กำหนดระยะเวลา เพราะเขาและแฟนสาวยังมีเรื่องที่ต้องทำ ทั้งเรื่องงาน บ้าน และอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ 

พูดถึง แฟน
ณัฐ ณิชชา

เราให้ผู้ชายคนนี้เล่าถึงแฟน ณัฐ-ณิชชา ธนาลงกรณ์ ตกหลุมรักได้อย่างไร อนันดาใช้เวลาคิดสักครู่ก่อนตอบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า 

“ณัฐ เขาเป็นคนมีสปิริตที่ใหญ่มาก เป็นคนที่เต็มที่กับทุกอย่าง ไม่เคยเจอคนที่พร้อมให้ใจกับทุกคนได้ขนาดนี้ เขาเป็นคนที่มีคนเดียวจริงๆ”

สิ่งหนึ่งที่เรารู้ว่าบทสัมภาษณ์นี้ เราไม่สามารถมองคนที่ภาพลักษณ์ที่เราเห็นตามหน้าสื่อได้ถ้าไม่ลองสัมผัสตัวตนแท้จริง วันนี้เราได้คุยกับเขา ได้ล้วงลึกชีวิตเขา ทำให้เรารู้แล้วว่า อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ถึงมีงานไม่ขาดสาย เพราะเขาจริงจังกับทุกบทบาท มีอีโมชั่นกับทุกเรื่องราวในชีวิต และชอบที่มองตัวเองย้อนกลับไปในอดีต นำมาสอนตัวเองให้ดีขึ้นในอนาคต. 

ผู้เขียน : Bouquet Talk 

กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ชมคลิปฉบับเต็ม

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/2258242
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/2258242