"ดูชีวิตผมเป็นตัวอย่าง" เข้ม หัสวีร์ เคยเกือบตายเพราะหันหลังให้ครอบครัว
ถ้าเอ่ยชื่อ เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล พระเอกหนุ่มหน้าคมที่หล่อแบบไทยๆ ซึ่งตอนนี้เป็นกลายเป็นพระเอกที่กำลังมาแรง มีผลงานละครออนแอร์ให้ได้ชมอย่างต่อเนื่อง กระแสและเรตติ้งดีตลอด และผลงานเรื่องล่าสุด เขยบ้านไร่สะใภ้ไฮโซ เข้มก็ได้โคจรกลับมาเจอกับคู่จิ้น มุกดา นรินทรักษ์ อีกครั้งหนึ่งซึ่งตอนนี้กำลังออนแอร์อยู่
แต่ถึงแม้จะฮอตมาแรงแค่ไหน เราก็ยังได้คิวทองของหนุ่มเข้มมาจนได้ และวันนี้เราพร้อมจะอัปเดตชีวิตของพระเอกคนนี้ให้แฟนๆ ได้รู้จักเข้มให้มากขึ้นไปอีก เพราะเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ในช่วงวัยรุ่นนั้นสุดจริงๆ ซึ่งเข้มก็เต็มใจเล่าให้เราฟังเพื่อเป็นประสบการณ์สอนเด็กวัยรุ่นอย่าได้ทำแบบที่เข้มเคยทำ

ผู้ชายรักครอบครัว
เป็นที่รู้กันว่า เข้ม หัสวีร์ นั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาเป็นอันดับ 1 ทุกอย่างในชีวิตตอนนี้พุ่งเป้าไปที่ครอบครัว แต่เพราะอะไรเข้มถึงให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขนาดนี้ พระเอกหนุ่มเล่าให้เราฟังถึงเรื่องนี้ว่า
“คือก่อนหน้านี้ผมเคยขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เพราะว่าเราเป็นเด็กเกเรช่วงนึง ก็จะหันหลังให้ครอบครัว เพราะเคยขาดความอบอุ่น เมื่อผมสามารถดูแลตัวเองได้ และความอบอุ่นของครอบครัวกลับมา ผมก็หันมาให้ความอบอุ่นกับครอบครัว
เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ผมจะทำคือทำให้ครอบครัวมีความสุขก่อน ก่อนจะให้คนรอบข้าง ถ้าคนในครอบครัวมีความสุขแล้ว ผมก็จะให้เพิ่มกับคนรอบข้าง พี่น้อง แฟนคลับ คนทำงานด้วย
ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เพราะเราโตขึ้นทุกวัน คนในครอบครัวก็แก่ขึ้นทุกวัน ผมไม่อยากใช้คำว่า รู้งี้ทำแบบนี้ดีกว่า ผมไม่อยากเสียใจกับคำว่า รู้งี้ ผมเลยทำให้ครบเลย จะได้ไม่พูดคำนี้ (ยิ้ม)”

ชีวิตเคยเกือบตาย
จากนั้น เข้ม หัสวีร์ เล่าถึงจุดพลิกของชีวิตให้เราฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงชีวิตหนึ่งของเขาก่อนที่จะได้เข้ามาเป็นพระเอกละครที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างทุกวันนี้
“ตอนอายุ 18 ปี เรียนจบ ปวช.เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ ได้งานเป็นช่างเชื่อมเหล็ก แล้วไม่มีเงินกินข้าว สำหรับผมตอนนั้นมันเคยเกือบตาย ผมไม่ได้กินข้าว 3 วัน ไม่ได้คุยกับครอบครัว และตอนนั้นมีศักดิ์ศรีว่าจะไม่ขอใคร และตั้งแต่วันที่ออกมาทำงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร
แล้วตอนนั้นสิ่งแรกที่นึกถึงคือหน้าของแม่ แล้วนึกถึงความสะดวกสบาย ความอบอุ่นในครอบครัวมันย้อนกลับมา อยู่บ้านมีข้าวกิน มีความอบอุ่นให้ แลกเปลี่ยนความคิด มีตาคอยถามสารทุกข์สุกดิบ การเรียนเป็นยังไง
แต่ในวันนั้นเราไม่มี ไม่ได้หันหน้าหาครอบครัว ผมเอาตัวเองออกมา พอมันถึงจุดนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว ใกล้จะตายแล้วเลยโทรหาแม่หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมา 7 ปี ผมบอกแม่ไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้กินข้าวเลย
หลังจากที่คุยกับแม่ ผมรู้สึกวิ้ง สมองไม่ได้คิดอะไรเลย รู้แค่ว่าคงต้องตายแล้ว มันเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในร่ายกายเรา ไม่ได้กินข้าว มันโหยมากๆ ตอนนั้นแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว นอกจากภาพทุกอย่างที่มันย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกเรา
พอได้คุยกับแม่ แม่ถามให้แม่กลับไปมั้ย แม่บอกให้ไปขอข้าวเขากินก่อน เอาชีวิตตัวเองให้รอดในวันนี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะกลับเลย
ตอนนั้นตัวผมชามาก กำแพง ศักดิ์ศรีมันพังลง ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตัดสินใจโทรหาแม่นอกจากความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น มันมีแค่ 2 ทางที่จะเกิดขึ้นคือ ตายกับรอด เลยคิดว่าก่อนตายเลยโทรหาแม่ก่อน
เพราะผมพูดไม่ดี ทำไม่ดีกับแม่ในช่วงที่เราไม่ได้คุยกัน ก็คงเป็นความตายที่เลือกให้ผมได้คุยกับแม่ ซึ่งคนแรกที่รู้ว่าผมจะตายคือคนแรกที่ผมเลือกไม่คุยกับเขาในวันนั้นก็คือแม่ ผมเลยรักแม่มาก
หลังจากนั้นผมจึงตั้งใจว่า สิ่งที่เคยขาดพอได้กลับมาก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด พอได้เจอกันอีกครั้ง ผมสับสน ผมงงมาก ไม่เคยได้เจอ ไม่เคยได้คุย ไม่เคยคิดถึง
พอเจอกันผมก็ทำตัวไม่ถูก แต่ก็ก้มลงกราบและบอกขอโทษกับแม่ ร้องไห้พรั่งพรู จริงๆ ก็ร้องตั้งแต่ตอนที่คุยโทรศัพท์ครั้งแรกแล้ว
หลังจากนั้นเลยทำให้ผมรักแม่มาก แม่คือที่สุดในชีวิตผมแล้ว ผมเลยจะไม่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ถ้าทำผมจะโกรธตัวเองมาก ผมอยากจะเติมทุกวินาทีคืนให้แม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะคืนได้ ทำงานเสร็จผมจะรีบกลับบ้านไปหาแม่ ไปหอม ไปกอด ไปอ้อนแม่ก่อนนอน (ยิ้ม)”

ออกมาสู้ชีวิตหลังพ่อแม่แยกทาง
ส่วนเรื่องสาเหตุของความเป็นเด็กเกเรของ เข้ม หัสวีร์ นั้น เจ้าตัวเล่าให้เราฟังว่าเพราะอะไรถึงทำให้เข้มเลือกที่จะหันหลังให้ครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย และเลือกออกมาสู้ชีวิตด้วยตัวเอง
“ตอนนั้นผมออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ช่วงนั้นติดเพื่อนด้วย คบเพื่อนเกเร มีเรื่องต่อยตี การเรียนไม่ค่อยสนใจ เคยทำยายเป็นลมเมื่อเห็นผลการเรียน เพราะติด 0 ติด ร.
ผมไม่มีที่ปรึกษา ก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร มีพี่สาว พี่สาวก็มีครอบครัวก็ไม่อยากจะรบกวนพี่สาว พอพ่อกับแม่แยกทางกัน
พ่อก็หาย แม่ก็หาย และด้วยความคิดของผม ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้หาย เขาพยายามติดต่อผมตลอด แต่ผมเลือกที่จะไม่ติดต่อกับใครเลย
คือผมเคยมีครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ จนอายุ 10 ขวบ ตอนนั้นไฟในชีวิตสว่างมาก จนวันที่พ่อแม่แยกทางกันเหมือนไฟมันดับลง
ผมเลยออกไปหาเพื่อน เริ่มทำงาน รับจ้างทั่วไป รับจ้างขนฟาง เกี่ยวข้าว แข่งเรือรับจ้าง ได้ค่าจ้าง 150-200 ก็เยอะสำหรับผมในตอนนั้น
เอาจริงๆ ตอนนั้นผมรู้สึกเคว้ง คิดไปเองว่าไม่มีที่ปรึกษา ทั้งๆ ที่จริงผมมีที่ปรึกษา เพราะครอบครัวซัพพอร์ตผมนะ แต่ผมเองที่เลือกจะเกเรเอง ผมไม่อยากขอเงินใคร”

ดูชีวิตผมเป็นตัวอย่าง
แม้จะเป็นเรื่องราวในอดีตที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้กับ เข้ม หัสวีร์ ในวัยเด็ก แต่เมื่อเติบโตขึ้น ความเจ็บปวดนั้นกลับเป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผู้ชายคนนี้
จากเด็กเกเรหนีออกจากบ้าน แต่วันนี้เข้มกลับมามีครอบครัวที่อบอุ่นอีกครั้ง ซึ่งเข้มขอแชร์ประสบการณ์ชีวิตเรื่องนี้ให้เด็กๆ ได้ฟัง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาชีวิตเหมือนเขาว่า
“ผมอยากจะเป็นตัวอย่างให้เด็กๆ ในยุคสมัยนี้ คุณจะเดินหนีครอบครัว ลองดูชีวิตผมสิ่งที่คุณมีเป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆ ไม่สามารถที่จะหาได้จากที่ไหนแล้ว
ทั้งเรื่องของความอบอุ่น รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ที่สุด ความสุขที่มากที่สุดคุณจะหาได้ยากมากจากที่อื่น แต่มันจะมีที่ครอบครัวของเราเอง
ผมเลยอยากให้น้องๆ ได้รู้ เวลาผมมองไปที่บ้านที่อบอุ่น ได้นั่งกินข้าว ได้พูดคุยกัน ได้แลกเปลี่ยนกันในครอบครัว มันทำให้ผมคิดได้ว่า แม้ครอบครัวเราจะไม่ได้นั่งกินข้าวพ่อแม่ลูก เราก็ยังมีความสุขกับคนรอบข้างในครอบครัวเราได้
ผมไม่อยากให้เด็กๆ สมัยนี้ทะเลาะกับครอบครัว แม้จะมีปัญหามากแค่ไหน ขอแค่เดินไปบอกพ่อกับแม่ เขาพร้อมที่จะรับฟังเต็มร้อย ไม่อยากให้น้องๆ เกเรกับพ่อแม่นัก มันจะเสียเวลาชีวิต (ยิ้ม)”

ของขวัญให้ตายาย
เพราะครอบครัวคือสิ่งสำคัญของ เข้ม หัสวีร์ มาวันนี้ เข้มเลยขอทำทุกอย่างให้กับครอบครัว ซึ่งเขาก็ทำมันได้อย่างดีและเต็มที่ทุกๆ อย่าง ซึ่งเข้มเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขว่า
“ผมได้ทำให้แม่เกือบครบทุกอย่างแล้ว ผมซัพพอร์ตตายาย อยากได้อะไรผมให้หมด อยากได้รถ ผมซื้อให้ อยากได้ใบปริญญา ผมก็เรียนจบให้แล้ว เพิ่งจบเลย ครบทุกอย่าง ตายายมีความสุข แม่ผมก็มีความสุข มันก็ยิ่งบวกกันเข้าไป อยากได้อะไรขอแค่บอก
คือความฝันตามีไม่กี่อย่าง เมื่อก่อนตาเป็นคนประหยัดมากๆ เวลาเห็นคนขี่จักรยานผ่านหน้า เขาก็จะมองคนมีรถแล้วบอกตัวเองว่าสักวันเขาก็คงมี ก็ให้กำลังใจตัวเอง
วันนี้ผมก็ซื้อให้แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว และอีกอย่างคือใบปริญญา ตาไม่สามารถจะส่งลูกตัวเองเรียนจบได้ แต่สามารถส่งหลานทุกคนเรียนได้ ผมก็เลยตั้งใจทำให้ฝันของตาสำเร็จ คือการได้รับปริญญาของหลาน
ตอนที่บอกตาว่าเรียนจบแล้ว แกบอกว่าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว (ยิ้ม) ขึ้นมาครึ่งของสวรรค์แล้ว คุณยายก็หอมก็กอดตลอด
นอกจากนี้แพลนของผมก็คือจะเก็บเงินส่วนนึงไปทำธุรกิจให้ครอบครัวได้ดูแล อยากทำคาเฟ่ ร้านอาหารให้พี่สาวทำที่ จ.บึงกาฬ บ้านเกิด สร้างบ้านสักหลังให้ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกัน ถ้าสถานการณ์อะไรดีขึ้น 2 ปีก็น่าจะเสร็จ เพราะตอนนี้เริ่มแล้ว
ส่วนอีกความฝันคืออยากจะพาตายายไปเที่ยวต่างประเทศ อยากพาตายายไปเห็นหิมะสักครั้งนึง อยากพาไปสวิตฯ แต่คงไกลไปสำหรับตายาย ไปแค่ญี่ปุ่นก่อนครับ (ยิ้ม)
ส่วนกับแม่ จริงๆ ทุกวันนี้แม่ไม่อยากได้อะไรแล้ว ขอแค่สุขภาพผมดีก็พอ เพราะผมทำงานหนักทุกวัน สิ่งที่เขาห่วงคือสุขภาพของผม”

ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เป็นพระเอกช่อง 7
เพราะ เข้ม หัสวีร์ เคยผ่านเรื่องราวชีวิตวัยเด็กมาค่อนข้างโหด เราถามเข้มว่า เคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะได้มาเป็นพระเอกของช่อง 7 ซึ่งหนุ่มเข้มหัวเราะและตอบคำถามเรื่องนี้ของเราว่า
“มันห่างไกลมากกับการได้มาทำงานในวงการบันเทิง ผมไม่เคยคิดมาก่อน คือผมเรียนสายอาชีวะมา แล้วเป็นคนซ่อมรถ แต่งรถ ไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ถนัดพูด เพิ่งจะมาพูดเก่ง ชีวิตมันดูเหมือนคนละทางเลย ผมไม่เคยคิดเลย เพราะสมัยเด็กทีวีก็ไม่ได้ดูเพราะตาไม่ให้ดู
ตอนที่ถูกทาบทามเข้าวงการพอได้คุยกับแม่ ผมแค่มีความคิดว่าอยากจะทำงานที่สามารถหาเงินมาดูแลครอบครัวได้
ช่วงที่ผมเข้ามาตอนนั้น เป็นช่วงแฟชั่นโชว์ยังบูมๆ อยู่ มีเดินแบบทุกอาทิตย์ รับเงิน 3-4 พันบาท แล้วเป็นงานที่ง่ายสำหรับผม เดินๆ จบ ไม่ต้องพูด
จากนั้นเริ่มได้รับโอกาสมาเรื่อยๆ มาเล่นเอ็มวี โฆษณาบ้าง ผมไม่เคยคิดว่าจะได้มาเป็นพระเอกละคร มันไกลตัวผมมาก
เมื่อก่อนผมฟันหลอ มีแก้ม อ้วน มันค่อนข้างที่จะไกลตัวผมจริงๆ สำเนียงการพูดอีก พูดแล้วโดนล้อ ยิ่งทำให้ผมไม่อยากคุยกับใครเลย
พอพูดไม่ชัด มีตำหนิ งานในวงการยิ่งไกลตัว แต่พอเริ่มมีโอกาสได้ทำ และผมชอบเรียนรู้และเป็นคนมุทะลุมาก ถ้าอยากรู้อะไรต้องไปให้สุดก็ลองดูทำงานในวงการสักตั้งนึง ผิดถูกลองดู ลุยไป 1 ชีวิตเกิดมาครั้งนึงต้องรู้ให้หมดตอนนี้ก็สนุกและเพลินดีนะพอทำงานมา แฮปปี้มากครับ (ยิ้ม)”

การแข่งขันสูง โดนเปรียบเทียบ
และเมื่อเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ต้องยอมรับว่า การทำงานในวงการนี้มีการแข่งขันที่สูงไม่น้อย และนอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกันอีก ซึ่งเข้มก็เคยโดนเรื่องการเปรียบเทียบมาแล้ว ทั้งในเรื่องหน้าตาที่เหมือนพระเอกรุ่นพี่หลายคน ซึ่งเรื่องนี้เข้มตอบว่า
“ผมไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ และเป็นคนปล่อยวางไม่เอามาใส่ตัว ใครจะเปรียบเทียบก็เรื่องของเขา เรารู้ตัวเองดีที่สุด ใครจะชอบหรือไม่ชอบ
ผมก็จะบอกทุกคนว่า รู้จักผมดีพอหรือยัง ผมไม่บังคับให้คนมาชอบ แต่ผมรู้ว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวจะรักผมมาก ก็เป็นตัวของตัวเอง ซื่อๆ แบบนี้ แค่คนรอบข้างโอเคกับการทำงานของผมก็พอแล้ว
และผมไม่เคยอิจฉาคนอื่น นินทาคนอื่นเลย มีอะไรจะพูดตรงๆ และผมไม่แบ่งชนชั้น ทุกคนคือคนทำงานด้วยกัน เราคือทีมเดียวกัน ผมสนิทตั้งแต่ผู้จัดจนถึงทีมงาน จะไม่มีอีโก้กับใคร ผมชอบบรรยากาศสนุกสนาน เก๊กหน้าผมเหนื่อยครับ”

หนุ่มติสต์ยังไม่พร้อมมีความรัก
เป็นหนุ่มหล่อที่ไม่ค่อยมีเรื่องสาวๆ เท่าไร งานนี้เราเลยถามตรงๆ ถึงความรักของ เข้ม หัสวีร์ ในวันนี้ มีเข้ามาบ้างแล้วหรือยัง ซึ่งเราได้คำตอบที่ทำให้ต้องหัวเราะเพราะเข้มอธิบายได้เห็นภาพมากๆ ว่า
“เรื่องความรักผมก็ยังสงสัยกับตัวเองเหมือนกัน ถามว่ามีเข้ามามั้ย มันก็มีเข้ามาเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะมีใคร ยังห่วงครอบครัว ห่วงในเรื่องของการทำงานของตัวเอง จนทำให้ผมไม่รู้สึกอินกับความรักในช่วงนี้
แต่ถ้ามีคนเข้ามาซัพพอร์ตจิตใจได้ก็คงจะดี ด้วยความที่เป็นมีโลกส่วนตัวสูง เขาอาจจะไม่เข้าใจในส่วนที่เราเป็น บางเวลาที่ผมเหนื่อยมากๆ ก็อาจจะไม่ได้เทคแคร์ หรือว่าคุยกับเขาได้ ก็เลยยังไม่มี
ด้วยความติสต์ของตัวเอง ผมเป็นคนติสต์มาก ถ้าออกมาข้างนอกผมจะสนุกสนาน แต่พอกลับบ้าน ผมก็จะเงียบๆ ไม่พูดเกือบเดือน นั่งๆ นอนๆ ทำนู้นทำนี่ ยิ่งโตขึ้น ก็จะมองในเรื่องของความพอดีในการใช้ชีวิต จะไม่ได้หลุดโลกเหมือนก่อน
ถ้าเจอคนที่ถูกใจจะเข้าไปหามั้ย ถ้าให้จีบก็จีบเป็นแต่ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับเรา ถ้าไม่บอกเขาก็ไม่รู้ แต่ถ้าบอกแล้วเขามีแฟนเราก็จะผิดหวังครับ ผมกลัวตัวเองผิดหวัง”
เราเลยถามตรงๆ ว่าตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่จะต้องเป็นแบบไหน งานนี้พระเอกหนุ่มรีบอธิบายสเปกของผู้หญิงที่จะเข้ามาให้ได้ฟังว่า
“ขอเป็นคนที่สบายๆ เป็นคนที่เข้าใจเรา เข้าใจว่าช่วงนี้เราต้องการเขา และเราก็ต้องเข้าใจในช่วงเวลาที่เขาต้องการเราพยายามให้มันบาลานซ์กัน ถึงจะเป็นคนคนเดียวกันได้ ปรับจูนกันไปเรื่อยๆ
ถ้าเข้ากับผมได้ก็เข้ากับแม่ได้ เพราะผมกับแม่นิสัยเหมือนกัน ผมไม่ได้ปิด ก็เข้ามาได้ ถ้าคุณรับได้ เพราะการทำงานของเรามันทำให้อารมณ์ค่อนข้างสวิงไปตามการทำงาน
ถ้าเลิกงานมาเจอคนงอแงใส่ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน (หัวเราะ) ขอแค่เข้าใจกับการทำงานและเข้าใจครอบครัวผมก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นคนนอกหรือในวงการไม่จำเป็น ตอนนี้ใช้ชีวิตโสดๆ กันไปก่อน”

เขยบ้านไร่สะใภ้ไฮโซ
และตอนนี้ เข้ม หัสวีร์ กำลังมีผลงานละครเรื่องล่าสุดอย่าง เขยบ้านไร่สะใภ้ไฮโซ ที่กำลังออกอากาศเรียกเรตติ้งจากแฟนๆ ละครอยู่นั้น ซึ่งเป็นการกลับมาประกบคู่กับ มุกดา นรินทร์รักษ์ คู่จิ้นของหนุ่มเข้ม ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าถึงกระแสของละคร และการทำงานให้ได้ฟังว่า
“กระแสหลังจากละครออนแอร์ไปก็ถือว่า เรตติ้งก็เป็นที่น่าพึงพอใจ ก็ดีใจถือเป็นกำลังใจให้กับการทำงานของเราในครั้งต่อๆ ไป
สำหรับการมาร่วมงานกับมุกในครั้งนี้ เราไม่ได้ห่างหายกันไปนาน หลังจากโซ่เวรีจบเราก็ยังทำงานด้วยกันมาตลอด เจอกันอยู่บ่อยๆ เรื่อยๆ
และละครเรื่องนี้บอกเลยว่าผมไม่กดดันครับ สิ่งที่แฟนละครคาดหวังคงเป็นความจิ้น แต่ส่วนตัวเข้ม มองว่าเป็นความโชคดีเพราะเราเคยร่วมงานกันมาก่อน ไม่ต้องปรับหรือเริ่มต้นใหม่ ค่อนข้างทำงานกันได้ง่าย
ซึ่งในละครแฟนๆ ก็จะได้เห็นฉากจิ้นๆ ฉากฟินๆ อยู่แล้ว ความสัมพันธ์ค่อยๆ เริ่ม จะได้เห็นฉากพวกนี้ในช่วงหลังๆ ค่อยๆ มาทีละนิด แฟนๆ ค่อยๆ จิกหมอนขาดไปเรื่อยๆ ครับ
และสิ่งที่ผมคาดหวังคือคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้มีรอยยิ้มในช่วงสถานการณ์แบบนี้ อยากจะให้ละครเขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ ทำให้คนดูผ่อนคลายมากกว่าไปคาดหวังในเรื่องของเรตติ้งหรือว่ากระแสต่างๆ แค่ทุกคนดูเรื่องนี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ
ส่วนความยากของละคร มันจะมีฉากนึงที่ผมต้องพูดภาษาอังกฤษยาวมาก ประมาณ 1 หน้า และผมค่อนข้างเครียดกับเรื่องนี้มาก เพราะในเรื่องเขาต้องเรียนจบนอก พวกสำเนียงมันก็ต้องเป๊ะ ในวันที่ถ่าย โชคดีของผมมาก คนที่เล่นด้วยเป็นครูสอนภาษา เขาก็จะแนะนำให้
และตอนถ่ายผมขอให้มีแค่ผมขอให้ทีมงานออกไปก่อน เพราะมันจะได้ลดความเกร็งของผมไปด้วย ผมตั้งใจกับซีนนี้มาก เพราะต้องการใส่รายละเอียดของตัวละครที่เป็นนักเรียนนอก
ส่วนอีกความยากก็เป็นฉากที่ต้องสู้กับแม่ยาย มีหลายฉากอยู่เหมือนกันที่มันเล่นยากอยู่ เวลาเข้าฉากกับพี่ต่อง สาวิตรี แกกลัวไก่ ผมก็ขี้แกล้ง ก็โดนผมแกล้งบ่อย ผมอุ้มไก่เข้าฉากเลย
เวลาเข้าฉากกับพี่ต่องผมไม่เกร็งหรือกังวล เพราะผมค่อนข้างทำการบ้านหนัก ไม่อยากให้คนอื่นมาเสียเวลากับเรา เข้าฉากปุ๊บผมก็จะเล่นให้เต็มที่กับการทำงาน
ในจอตีกัน แต่นอกจอผมกับพี่ต่องรักกันมากครับ พี่ต่องจะคอยพูดคุย เป็นห่วงทุกคน นอกจอสนิทกัน พอเข้าฉากก็ยิ่งเล่นได้เต็มที่เลย
ส่วนคาแรกเตอร์ในเรื่องนี้จะเป็นคอเมดี้ สบายๆ ถึงกับเล่นเป็นตัวเองเพราะตัวผมกับตัวละครแตกต่างกันมาก ผมต้องทำการบ้านหนักมากๆ ถ้าในด้านทะเล้น สนุกสนาน อาจจะใช่
แต่ถ้าตัวละครเขาจะเป็นคนที่ไฟต์กับความถูกต้อง ยิ่งกับแม่ยายที่มักจะดูถูก เขาก็จะสู้เต็มที่ ก็จะมีความแก้เผ็ดแม่ยายเก่ง แบบถึงพริกขิงถึงขิง สู้กับแม่ยายเป็นส่วนใหญ่
ยังไงก็อยากฝากละคร เขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ ด้วยนะครับ นอกจากความสนุกสนานของละครแล้ว ยังมีการสอดแทรกในเรื่องของความถูกต้อง ความเท่าเทียม และความเป็นชีวิตจริงๆ ของคน มีหลายๆ ฉากที่ใกล้ตัวของเรามาก เหมือนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ในละครจริงๆ เลย
ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา
กราฟิก : Varanya Phae-araya, Chonticha Pinijrob




ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2336746
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2336746