D Gerrard มองชีวิตชิลๆ แม้มีดราม่า เคลียร์ กวินท์ ยังไม่ลงตัว จบคดีค่อยพูด


ให้คะแนน


แชร์

เป็นนักร้องคลื่นลูกใหม่ที่โด่งดังในแวดวงเพลงไทยภายในเวลาไม่กี่ปี สำหรับ บิ๊ก อุกฤษ วิลลีย์บรอด ดอนกาเบรียล หรือ บิ๊ก ดี เจอร์ราร์ด (D Gerrard) ศิลปินค่าย Wayfer Records ในเครือวอร์นเนอร์ มิวสิค ด้วยความสามารถทั้งการร้องเพลง การแต่งเพลงที่น่าจับตามอง นอกจากจะมีผลงานเพลงดัง อาทิ Galaxy, ไม่เหมือนใคร, ไม่ใช่ฉัน, ภาพเบลอ ฯลฯ เขายังได้รับโอกาสดีๆ ร่วมงานกับศิลปินดังในวงการบันเทิงอยู่หลายครั้ง

แต่ชีวิตของเขากว่าจะเข้าสู่วงการเพลงก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อีกทั้งเจอมรสุมทั้งในเรื่องงานเพลงที่ตอนนี้ยังเคลียร์กับนักร้องดัง กวินท์ ดูวาล ไม่ลงตัว จนเรื่องไปถึงศาล ชีวิตส่วนตัวของเขาก็หนักหนาเช่นกัน เพราะคุณพ่อก็ป่วยหนักหลายโรค บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนเขามาพูดคุยทั้งชีวิตก่อนเข้าวงการ มาจนถึงวันที่เจอดราม่า รวมทั้งผลงานเพลงล่าสุด “รู้อยู่” เพลงเนื้อหาเศร้าๆ ยิ้มทั้งน้ำตาที่ได้แรงบันดาลใจจาก แจ็ค แฟนฉัน

ตกรอบ The Voice จนท้อ

เราถามบิ๊กถึงการเป็นศิลปิน บิ๊กเล่าให้ฟังว่า “ผมชอบเพลงตั้งแต่ประมาณ 10 ขวบครับ ตอนนั้นรู้สึกว่าผมอินกับมันมากเลย จริงๆ ก่อนอายุ 10 ขวบจะฟังเพลงป๊อปสากล จะฟังเพลง R&B ฝรั่ง แต่พออายุ 10 ขวบ ผมเริ่มฟังฮิปฮอปด้วย เลยสนใจว่าเพลงฮิปฮอปการเล่าเรื่องเป็นอีกแบบ เล่าเรื่องได้เยอะกว่า เวลาแร็ปใช้คำเยอะ ใช้การซอยคำค่อนข้างถี่กว่าเพลงแนวอื่นๆ ใส่ข้อมูลให้คนรับรู้เยอะขึ้น ส่วนการร้องมาตั้งแต่เด็กกว่านั้น ผมเรียนร้องเพลง เรียนร้องเพลงไทยเดิม เพลงคลาสสิก เรียนหลายแขนงมากครับ ร้องทุกแนวเลยครับ แต่แร็ปจะเริ่มตอนโตขึ้นมาหน่อย

ที่ได้เรียนร้องเพลงเพราะคุณแม่ชอบเวลาผมร้องเพลงครับ เขาคิดว่าเสียงผมเพราะเลยส่งผมไปเรียน ใจนึงเขาคิดว่าการเรียนดนตรีจะทำให้ผมใจเย็นครับ ตอนแรกคุณแม่ส่งผมไปเรียนกีตาร์ประมาณ 5-6 ขวบ แต่เรียนได้แป๊บเดียวเพราะเจ็บนิ้วเลยไม่ชอบ แล้วมาเล่นดนตรีอีกครั้งตอนประมาณ ป.4 เพราะต้องเรียนเกี่ยวกับเครื่องดนตรีพวกแซกโซโฟน ฟลุต เรียนเพื่อเตรียมเข้า ม.1 เพื่อจะแบ่งว่าจะเรียนสายไหน ผมเรียนดนตรีก็ต้องไปเรียนวงโยธวาทิตด้วย ซึ่งมีเครื่องเป่า ผมเลยต้องเรียนแซกโซโฟน ชอบแซกโซโฟนมากกว่ากีตาร์อีกครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมชอบเสียงของมัน แล้วก็เรียนร้องเพลงพร้อมกันในช่วงนี้ด้วย

บิ๊กเผยว่าถ้าฟังเพลงของเขาจริงๆ จะมีความต่างในเรื่องการร้องหรือเทคนิคดนตรี เพราะได้เอาสิ่งที่เรียนมาหลายแขนงเอามาประยุกต์ใส่ในเพลงที่ทำด้วย อย่างการแร็ปทุกเพลงจะสังเกตได้ว่าไม่ได้แร็ปทั้งเพลง แต่จะมีร้องด้วย เพราะชอบร้องเหมือนกัน เป็นการผสมผสานหลายแบบ

จากนั้นบิ๊กเล่าต่อว่าเขาชอบการประกวดอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ประกวดเวที The Voice ประมาณ 6-7 รอบ แต่ไม่ผ่านสักรอบ ไม่ได้แม้กระทั่งออกทีวีหรือถูกพูดถึง อย่างมากก็แค่ได้เข้าไปสัมภาษณ์นิดหน่อยแต่ก็ไม่เข้ารอบ ถามว่าท้อมั้ย บิ๊กบอกว่า “ผมท้อจนผมจะเลิกแล้ว คือเดอะวอยซ์เราไปเพราะอยากพิสูจน์ตัวเองให้คนเห็นว่าผมร้องเพลงได้นะ แล้วเสียงผมก็น่าฟังนะ เพราะแม่ผมชอบไล่ไปร้องให้คนอื่นฟัง เขาบอกว่าเขาฟังผมร้องจนเบื่อแล้ว เขาเลยไล่ให้ผมไปประกวด แต่พอผมไปประกวดก็ไม่เคยได้ มันแพ้ มันเหนื่อยครับ มันเลยไม่อยากไปแข่งแล้ว”

ใบเบิกทางสู่ศิลปิน

ถึงแม้จะท้อจนแทบถอดใจ แต่เมื่อเห็นการประกวดรายการ “The X Factor” ทางช่องเวิร์คพอยท์ บิ๊กจึงตัดสินใจไปประกวดอีกครั้ง ซึ่งเขาเล่าว่า “พอมันมีรายการนี้ก็เลยลองดูอีกครั้ง บวกกับผมเห็นยายชอบดูรายการช่องเวิร์คพอยท์ แล้ว X Factor ก็อยู่ช่องนี้พอดี เลยอยากลองดู เผื่อจะไปโผล่ตรงนั้นให้ยายเห็นบ้างครับ กะเซอร์ไพรส์ยาย วันที่ไปออดิชันตอนนั้นผมไม่หวังแล้วครับ แค่ผมไปโชว์ให้เห็นว่าผมมีสกิลแบบนี้นะ ชอบก็ดี ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ)

แต่สุดท้ายดันได้เข้ารอบครับ ตอนที่เราหวังเราไม่ได้ พอตอนที่เราหมดหวังแล้ว แค่มาเล่นให้ดูเฉยๆ ดันได้ อันที่จริงผมไม่หวัง แต่ผมจะกดดันตัวเองในสถานการณ์ตรงนั้นด้วย ชอบไม่ชอบไม่รู้แหละ ไม่ได้คาดหวัง แต่กดดันตัวเองเพราะไม่อยากเล่นผิดต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก และครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่ต่างจากครั้งอื่น เพราะครั้งนี้ผมเอาเพลงที่เขียนเองไปร้อง คือเพลง “ไม่เหมือนใคร” ไม่รู้ว่ามีส่วนหรือเปล่า แต่ก่อนหน้านี้ไปเดอะวอยซ์ผมร้องเพลงคนอื่นหมดเลย พอเราได้เข้ารายการ คุณยายดีใจ (ยิ้ม) เขาปลื้มน่ะ ผมชอบที่ตาของยายเป็นประกาย (หัวเราะ)

ซึ่งในรายการนั้นก็เป็นการแข่งขันร้องเพลงและคัดกันไปเรื่อยๆ ผมผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 คนสุดท้าย แต่หลังจากนั้นก็ไม่เข้ารอบ ตอนตกรอบผมโหวงมากเลยอะ มันเหมือนตอนเลิกกับแฟน มันโหวงจนไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ คือชีวิตเหมือนกำลังมีอะไรเกิดขึ้น จากทุกวันที่เราเล่นกีตาร์ในห้องไม่มีใครสนใจ แต่อยู่ๆ มาออกรายการแล้วมีคนอยากฟัง แล้วเราก็เข้ารอบมาเรื่อยๆ โห…ชีวิตกำลังมีสีสันเลย สักพักนึงตู้ม…ตกรอบ

ก็คิดว่าแล้วผมจะทำอะไรต่อ ผมร้องไห้หนักเลยนะครับตอนนั้น มันเหมือนว่าจบแล้ว ต้องไปหางานอื่นทำแล้วอย่างที่บ้านผมคาดหวัง ไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักแล้ว ไม่ได้ร้องเพลง ต้องดูธุรกิจที่บ้าน ก็เศร้ามากครับ แต่โชคดีที่ยังมีเพลงที่เราเขียนไว้อยู่แล้วปล่อยออกไป ก็มีค่ายเพลงที่เขาสนใจอยากจะร่วมงาน ก็มีประมาณ 2-3 ค่ายครับ”

เคยหลงระเริง

บิ๊กเผยว่าเซ็นสัญญากับค่าย Wayfer Records ในเครือวอร์นเนอร์ มิวสิค 5 ปี เมื่อถามถึงสาเหตุที่เลือกมาอยู่ที่นี่ บิ๊กบอกว่า “ที่มาเลือกอยู่ค่ายวอร์นเนอร์ฯ เพราะว่าเป็นค่ายแรกที่ติดต่อเข้ามา ตอนนั้นผมคิดว่าเขาใจดีเนอะ เหมือนเป็นคนแรกที่เข้ามาหาผม เห็นว่าผมมีความสามารถ เพราะผมเป็นคนค่อนข้างชอบดูถูกตัวเองเสมอ คิดว่าคนไม่เห็นค่าผม เวลาใครเห็นค่าเราก่อนจะรู้สึกดีจังเลย บวกกับอีกอย่างนึงคือวอร์นเนอร์เป็นค่ายที่ค่อนข้างโกลบอล ถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นศิลปินที่ไปในระดับสากลได้ นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมเลือกเซ็นสัญญากับวอร์นเนอร์ครับ”

หลังจากเซ็นสัญญาได้ไม่นาน บิ๊กก็ปล่อยผลงานเพลง “Galaxy” ทันที และกลายเป็นเพลงดังทะลุ 200 ล้านวิวในยูทูบ ซึ่งเขาเล่าว่า “มันเป็นช่วงหลังจากแข่งเสร็จ ผมออกมาปุ๊บ เจอค่ายนี้ก็เซ็นสัญญาแล้วปล่อยเพลง Galaxy ทันที ตอนนี้ก็ 216 ล้านวิวแล้ว ก็ดีใจครับ มันเหมือนเราทำตัวไม่ถูกด้วย ไม่รู้จะรับมือกับสิ่งที่เข้ามายังไง คนเริ่มจำได้ ไปเดินแล้วเจอคนทัก ก็รู้สึกว่าโห…เรามีตัวตนซะทีนะ (หัวเราะ)”

เมื่อถามว่ามีหลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่เข้ามาบ้างมั้ย บิ๊กยอมรับว่ามี “ผมก็เป็นเด็กคนนึงที่เข้ามาในวงการและไม่ได้รู้อะไรมากมายว่าเราจะอยู่ตรงนี้ให้มันถูกที่ถูกทาง ให้ควรค่ากับที่เราอยู่ตรงนี้ยังไง ก็มีหลงระเริงบ้างกับสิ่งที่มันเป็น แสงสีที่เข้ามา แนวคิดตรรกะเริ่มไม่ใช่คนที่เราเป็น มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเออ…เราต้องกลับมามองตัวเองใหม่ เราเป็นตัวเองที่ดีขึ้นได้ ผมเลยเริ่มกลับมาคิดแล้วก็เอาใหม่

ผมปีนภูเขาลูกนี้ใหม่แล้วกัน เพราะผมปีนแล้วตกลงมาจนเกือบจะตายแล้ว แต่เราต้องปรับปรุง พยายามพัฒนาตัวเองให้เห็นว่าคนที่ไม่ยอมแพ้และพยายามอยู่เสมอ ยังไงก็ยังอยู่รอดได้ครับ ผมอยากทำให้คนเห็นตรงนี้ครับ ผมเลยเปลี่ยนตัวเอง อย่างน้อยให้คนเห็นว่าผมทำสิ่งที่มีค่า และตัวผมเองก็ได้เลือกทำมันแล้วครับ”

ถามว่าคนรอบข้างเตือนบ้างมั้ย นักร้องหนุ่มตอบว่า “โห…ผมเชื่อนะว่าคนที่ถ้าได้มาเจออะไรแบบนี้ หลายๆ คนจะเตือนแล้วนะ แต่บางครั้งเขาไม่กล้าเตือนเราเพราะกลัวว่าเราเป็นคนมีอีโก้ จะไม่ฟังเขาหรือเปล่า คิดว่าสอนหรือพูดอะไรไปจะกลายเป็นเรารำคาญเขาครับ แต่ผมจะเป็นคนอีกแบบนึง ผมเป็นคนที่ชอบรับฟังความคิดเห็น สิ่งที่เขาติเตียนมาเพื่อพัฒนาปรับปรุงตัวเอง

แต่เขาไม่ได้มองแบบนั้นไง เขามองว่าถ้าไปพูดเยอะเดี๋ยวรำคาญ ถ้ากับคนอื่นอาจจะใช่ แต่ผมไม่ใช่ แต่พอเขามองแบบนั้นก็เลยไม่ได้เกิดการพูดคุยกัน เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครมาสอนหรือบอกผมเท่าไร ผมเลยคิดตัดสินใจ ปรับปรุงพัฒนาตัวเองด้วยตัวเองครับ พอเราปรับปรุงตัว เขาก็บอกว่าในที่สุดก็คิดได้สักทีนะว่าต้องทำยังไง ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นยังไงครับ”

แม้จะอยู่ในวงการเพลงมาไม่กี่ปี แต่ก็ได้มีโอกาสไปร่วมงานกับศิลปินดังๆ หลายคน บิ๊กบอกว่ารู้สึกขอบคุณที่พี่ๆ ในวงการให้เกียรติ เห็นเรามีความสามารถและอยากมาร่วมงานกับเรา รู้สึกเป็นเกียรติมาก “เราเป็นคนทำเพลงคนนึง ก็อยากให้คนได้เห็นเรา พอพี่ๆ ในวงการที่ทำเพลงก่อนหน้าเรา บางคนเป็นตำนานด้วยซ้ำมาพาเราไปฟีต รู้สึกยินดีครับ ยิ่งกว่าตอนไปแข่ง X Factor แล้วคนรู้จัก เพราะผมรู้สึกว่าผมถูกยอมรับในหมู่นักดนตรีด้วยกัน มันรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ครับ”

ดราม่าที่เข้ามา

บิ๊กเป็นอีกหนึ่งคนที่เจอดราม่าหนักมาก่อนหน้านี้เช่นกัน ถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีข่าวออกมาค่อนข้างเยอะ บิ๊กตอบว่า “ผมว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันออกมาเพื่อบอกให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าผมไม่ได้เจออะไรแบบนี้ ผมก็อาจจะยังเป็นคนที่แย่ ผมว่าคนเราควรเจออะไรถึงเรียนรู้ได้จริงๆ ผมมีน้องคนนึงเป็นคนหัวรั้นมาก บางทีเขาก็เดินในเส้นทางที่ผมเคยเดิน แล้วผมรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่เขาไม่ได้ฟัง ซึ่งบทเรียนอะไรแบบนี้มันสำคัญกับชีวิต การเจอเรื่องใหญ่ๆ สัก 2-3 เรื่องในชีวิต ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะครับ ควรต้องเจอบ้างจะได้รู้สึก (ยิ้ม)”

ส่วนดราม่าเรื่องเพลงกับ กวินท์ ดูวาล ที่เป็นประเด็นก่อนหน้านี้ จนถึงวันนี้เคลียร์กันแล้วรึยัง บิ๊กตอบทันที “ยังครับ ยังไม่เรียบร้อยครับ แต่ผมมีการดำเนินการของผมเรียบร้อยแล้ว จริงๆ ผมอยากจะให้ทางคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาให้มันเป็นผลออกมาเรียบร้อยก่อนว่าเป็นอย่างไร ผมถึงอยากออกมาชี้แจงกับทุกคน ไม่อยากพูดว่าตอนนี้ถึงขั้นนี้แล้ว ผมอยากบอกว่าสรุปแล้วเป็นแบบนี้แล้วจบมากกว่า

เพราะที่เราพูดในวันนี้ อนาคตมันอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามันยังไม่ถึงบทสรุป ข่าวมันยังมีการเปลี่ยนแปลงได้ ข้อมูลอาจบิดเบือนได้ ผมเลยคิดว่ารอให้คนกลางออกมาตัดสินว่าเรื่องเป็นอย่างไร แล้วเอาตรงนั้นมาสรุปน่าจะดีกว่าครับ ถามว่ากังวลมั้ย ผมไม่เครียดนะครับ เพราะผมคิดว่าทุกอย่างทำหน้าที่ของมัน มีศาลแล้วได้ใช้บ้าง ให้เขาเป็นตัวแทนความยุติธรรมบ้าง ก็อยากจะรู้ว่าเป็นยังไง เหมือนเราเจอเรื่องร้ายจนชินแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบไหนก็ตาม มันกระทบกับเรา ผมก็คิดว่าถ้าเราซีเรียส มันจะทำให้บั่นทอนสุขภาพเรา ถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นมา เราก็แค่ตั้งสติและรู้ว่าต้องแก้ไขมันยังไง แบบนั้นดีกว่า”

ถามว่าเรื่องนี้ให้อะไรกับเราบ้าง นักร้องหนุ่มตอบว่า “ก็ทำให้แกร่งขึ้นครับ การเป็นมนุษย์ต้องมีบาดแผลบ้าง ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ผมคิดว่าตัวผมเองเติบโตขึ้นนะครับ ทั้งความคิดทั้งร่างกาย ผมรู้ว่าผมจะต้องควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับความคิดที่เราต้องเจอที่มันถาโถมเข้ามา ปัญหาที่เราเจอเราจะต้องดีลกับมันยังไง วิธีคิดต่างๆ ที่ต้องคิดกับมัน

อย่างปรัชญาอันนึงที่ผมเจอแล้วลองเอามาใช้ดู ถ้าเรามองปัญหาเป็นปัญหา มันจะกลายเป็นปัญหาครับ ก็เลยลองมองปัญหาให้ไม่เป็นปัญหา จะได้ไม่มีปัญหาครับ เราจะได้สนุกไปกับมัน ผมแค่คิดว่าโอเค อย่างน้อยถ้าคิดถึงแบบ worst case มันไม่ถึงกับตาย โอเคไม่เครียดขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าเราประเมินมาแล้วว่าเรื่องนี้ตายแน่นอน อนาคตไม่รอดแน่นอน แบบนั้นถึงค่อยคิดว่าเอายังไงดี ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วชีวิตมันไม่มีอะไรที่มันจะทำให้เราตายได้หรอกครับ นอกจากตัวเราทำตัวเองครับ”

ดูแลพ่อป่วยหนัก

อีกหนึ่งมรสุมชีวิตของบิ๊กที่ต้องเจอคือคุณพ่อป่วยหนัก ต้องคอยดูแลใกล้ชิด บิ๊กเผยถึงอาการคุณพ่อว่าตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ยังทรงตัว แต่ต้องไปหาคุณหมอทุกอาทิตย์ 2-3 วันต้องไปทีนึงเพราะต้องไปฟอกไต เป็นเรื่องที่ทำเป็นประจำ “เราก็จะอยู่กับเขา เพราะว่าคนที่แก่แล้วมีโรคต้องการการเอาใจใส่ อยู่คุยกับเขาให้มากที่สุดครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ การใช้เวลาอยู่กับเขากับสภาพจิตใจที่ทั้งป่วยทั้งแก่ ไม่มีแรงเหมือนแต่ก่อน มันเลยสำคัญครับ

คือคุณพ่อเป็นโรคไตระยะสุดท้าย โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน ตับแข็งด้วยครับ ตาบอดข้างหนึ่ง ถามว่าให้กำลังใจยังไงบ้าง ผมก็จะคุยกับแก ทำให้แกรู้สึกว่าไม่ได้ป่วยขนาดนั้น นั่นคือวิธีให้กำลังใจของผมครับ เหมือนตัวพ่อผมเองเขาก็อยากให้คนทรีตเขาในแบบที่เขาไม่ได้ป่วย สิ่งที่ทำได้คือคุยกับเขา ใจเย็นกับเขามากกว่าเดิม เขาตอบเราไม่ค่อยได้เหมือนเดิม หูเขาไม่ค่อยได้ยิน แต่เราก็คุยกับเขาเหมือนเป็นคนปกติครับ เขาแค่พูดช้ากว่าเดิม เขาแค่คิดและจำอะไรไม่ค่อยได้ เราก็ต้องใจเย็นขึ้น”

บิ๊กบอกว่าที่บ้านมีธุรกิจจิวเวลรี่ คุณแม่จะดูแลเรื่องร้าน ส่วนตัวเองถ้าไม่ได้มีธุระเรื่องงานก็จะอยู่กับคุณพ่อ จะพยายามคุยกับพ่อให้เยอะที่สุด “ทุกวันนี้พอคุณพ่ออาการดีขึ้น ก็จะใจชื้นขึ้นที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ อาการยังไม่ย่ำแย่เหมือนที่เขาเคยเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดพะงาบให้เห็นอีก วันนั้นก็คงเศร้าเหมือนเดิม คือมันเหมือนสามารถที่จะดีดได้ครับ มันเสถียรก็จริง แต่สามารถดิ่งได้เสมอถ้ามีอะไรกระทบ ล่าสุดเขาชอบเดินเอง เหมือนมันเซๆ เดินไม่ค่อยได้ แล้วเขาก็ล้ม ผมเองก็เครียดเหมือนกันครับ ตอนนี้ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด”

จากเหตุการณ์นี้ทำให้บิ๊กเริ่มเห็นความสำคัญในการให้เวลากับคนในครอบครัวให้มากขึ้น “ผมรู้สึกว่ามันสำคัญมากเลยในการที่เราจะให้เวลากับคนที่เรารักครับ เมื่อก่อนผมติดเพื่อนครับ ตอนนี้เพื่อนติดครับ (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกัน กลายเป็นมีอะไรเพื่อนๆ จะมาหาที่บ้าน ฟีลเหมือนเพื่อนก็รู้ว่าเราคงยุ่ง แต่อยากจะเจอ ก็จะแวะมาหาที่บ้านครับ ตอนแรกผมมองข้ามเพราะเหมือนอยู่ใกล้ตัวมากเกินไป จนเราเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญ เราเด็กด้วย เราเลยอยากออกไปดูโลกมากกว่า พอตอนนี้ผมกลับคิดว่านี่แหละ ตรงหน้าเราใกล้ๆ สำคัญมากนะ”

บทบาทนักแสดง

อีกหนึ่งผลงานในวงการบันเทิงที่ทำให้หลายคนชื่นชอบ D Gerrard คือการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ 4 Kings โดยรับบทยาท เด็กบ้าน ถามว่ามีที่มาที่ไปยังไง บิ๊กเล่าว่า “ผมไปเจอในเฟซบุ๊กครับ เหมือนผมเลื่อนฟีดแล้วเจอโพสต์ประกาศหานักแสดง 4 Kings เห็นแล้วผมอยากแสดง ผมอยากเป็นนักแสดงมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาส แต่พอมาจับทางร้องเพลงได้ก็เลยมาร้องเพลงก่อน

ตอนนั้นก็ไปแคสต์รอบเดียวเลยครับ เหมือนเขาหาแคสต์ครบทุกตัวละครแล้ว เขาก็เลยประกาศเพื่อหาคนเล่นบทนี้ ผมเลยส่งรูปผมไป แล้วมีพี่คนนึงอยู่ในกองชื่อพี่อาร์เขาเห็นแล้วรู้จักเพลงผม เลยคิดว่าเออ…ลองให้เรามาแคสต์ดูมั้ยเผื่อเล่นได้ วันที่ไปแคสต์ก็ไม่มั่นใจ มันต่างจากการร้องเพลงเยอะเลยครับ คือเราไม่เคยทำแบบนี้ให้คนดู แต่การร้องเพลงเราทำบ่อยแล้ว เรื่องการแสดงผมฝึกด้วยตัวเอง ผมอยู่ในห้องคนเดียว อยู่กับกระจก พอต้องไปแคสต์ให้คนอื่นดูก็ตื่นเต้นและประหม่ากว่าการขึ้นไปร้องเพลงครับ พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจครับ เพราะอยากรู้ว่าการเป็นนักแสดงเป็นยังไง”

บิ๊กบอกว่าการเป็นนักแสดงยากกว่าการร้องเพลง เพราะตัวเองชินกับการร้องเพลงมานาน อยู่กับมันมาเยอะกว่า แต่การแสดงเป็นอะไรที่ผิวเผิน แต่ก็อยากลองดู คราวนี้สิ่งที่ต้องโฟกัสคือการแสดงยังไงให้ไม่เหมือนแสดง “นักแสดงเก่งๆ จะบอกว่าแสดงหนังให้ดีคือต้องทำให้เหมือนไม่แสดง เป็นธรรมชาติ คนถึงจะเชื่อ ต้องหาสไตล์ตัวเองออกมา อย่างเพลงผมจะมีสไตล์ที่ผมหาจนเจอแล้ว ชัดเจนในตัวเองในเรื่องเพลงอยู่แล้ว แต่ความยากของการแสดงคือสกิล ส่วนความยากในการร้องการเป็นศิลปินคือบาลานซ์ครับ”

การแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต บิ๊กบอกว่าไม่ได้คาดหวัง แค่คิดว่าแสดงเต็มที่แล้ว ขอให้คนได้เห็นและให้เขาบอกดีกว่า ส่วนกระแสตอบรับที่ดี รายได้ทะลุ 100 ล้านบาท บิ๊กบอกว่า “ผมตื่นเต้นจนหายตื่นเต้นเลยครับ เพราะคนอื่นตื่นเต้นแทนผมไปหมดแล้ว (หัวเราะ) ถามว่าหลังจากเล่นหนังเรื่องนี้แล้วชอบการแสดงมั้ย ชอบมากครับ เหมือนได้ปลดปล่อย ส่วนงานเพลงก็ชอบ ชอบทั้งคู่ ก็ยังจะทำต่อไปทั้งคู่เลยครับ”

จากกระแสตอบรับที่ดีของภาพยนตร์ 4 Kings บิ๊กบอกว่ามีงานแสดงติดต่อเข้ามาอีก 2-3 เรื่อง “ตอนนี้ไปแคสต์ไว้เรื่องนึง กำลังรอผลอยู่ มีอีก 2 เรื่องได้เล่นแล้วครับ เดี๋ยวต้องรอติดตาม ก็มี 4 Kings ภาค 2 นี่แหละครับ อีกเรื่องนึงยังบอกไม่ได้ครับ ถามว่าบาลานซ์การทำงานเพลงกับงานแสดงยากมั้ย ตอนแรกยากครับ แต่ตอนนี้ไม่ยากครับเพราะรู้แล้วว่าต้องบาลานซ์ยังไง เราก็ต้องเช็กคิวให้ละเอียด การถ่ายหนังจะมีช่วงที่เราต้องเว้นว่างจากการทัวร์ ต้องดูช่วงเดือนดีๆ ครับ ผมก็จะหยุดเรื่องเพลงไปแป๊บนึง ช่วงไม่ได้ถ่ายหนังเราก็จะทำเพลงครับ”

เพลงใหม่ล่าสุด

บิ๊กเผยถึงเพลงใหม่ล่าสุด “รู้อยู่” ที่ได้แรงบันดาลใจจาก แจ็ค แฟนฉัน โดยบอกว่า “ตอนนั้นเราได้เจอกับพี่แจ็ค พี่แจ็คทักทายเราเพราะเขาเคยฟังเพลงเราและชื่นชอบ ก็เลยคุยกันแล้วเขาบอกให้ผมลองเขียนเพลงเกี่ยวกับ Loser ดูบ้าง ผมก็เลยเอากลับมานั่งคิดและ relate กับเรื่องที่ตัวเองเคยเจอ เลยออกมาเป็นเพลงนี้ ก็เป็นความรักที่หลายคนปรารถนา เราก็อยากจะมีความรักที่ดีเหมือนคนอื่น เราชื่นชอบผู้หญิงคนนึงแต่ไม่สมหวัง เมื่อก่อนเราก็เคยดาวน์กับความรักที่เจอ เพราะเราไม่ใช่แบบที่เขาต้องการ ไม่ว่าพยายามแค่ไหน

ส่วนดนตรีที่ไม่เศร้าเกินไปเป็นความตั้งใจครับ ถ้าเล่าเพลงนี้เศร้าเกินไปมันจะดูจริงจัง ผมอยากให้เพลงนี้ยังดูมีความสนุกเหมือนคนยิ้มทั้งน้ำตา แต่ผมไม่อยากให้เป็นฟีลลิ่งร้องไห้ อยากให้สนุกไปกับความเศร้าที่เราเจอ พอทำดนตรีแบบนี้ก็ได้ความครึกครื้นขึ้นมา พอใส่เนื้อเพลงที่มีความเศร้า มันเลยได้อารมณ์ที่คอนทราสต์ แต่ยังให้อารมณ์ที่เราต้องการได้เลยโอเคครับ ก็เป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้ อยากทำอะไรใหม่ๆ ดูครับ มองในแง่ของเพลงมีความวาไรตี้ แต่ในอนาคตผมอาจทำให้มันเป็นเพลงซึ้งๆ เพราะๆ ให้เข้ากับเนื้อร้องที่มันเศร้า เป็นอีกเวอร์ชันอาจจะได้อิมแพ็กอีกแบบกับคนฟัง ตอนนี้ก็คิดไว้ ก็คิดว่าน่าสนใจครับ”

ในส่วนมิวสิกวิดีโอที่ไปชวนเพื่อนๆ นักแสดงจากภาพยนตร์ “4 Kings” ทั้ง เป้ อารักษ์, จ๋าย ไททศมิตร, ทู สิราษฎร์ และ ภูมิ รังษีธนานนท์ บิ๊กเล่าให้ฟังว่า “ตอนที่ถ่ายหนังด้วยกันเราสนิทกันหมด ผมก็เลยคิดว่าน่าจะมีแก๊งเพื่อนแก๊งพี่มาอยู่ในเอ็มวีบ้าง เขาก็โอเค เราเป็นพี่น้องกันก็ช่วยกัน เนื้อหาเอ็มวีก็เป็นคอนเซปต์ที่เราวางไว้กับคุณบัว ไดเร็กเตอร์เอ็มวี ผมคิดว่าภาพลักษณ์คนที่มองนักแสดง 4 Kings ว่าเป็นผู้ชายเซอร์ๆ ดูน่ากลัว เราก็อยากทำภาพให้ดูน่ารักบ้าง เพราะจริงๆ เราอาจไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่เห็น อยากให้มองเหมือนเป็นโลกที่ 4 Kings ไม่ตีกันก็ได้ครับ (หัวเราะ)

ตอนที่ถ่ายทำนี่โห…ผมบอกเลยที่ดูในเอ็มวีคือคัดอันที่ดีๆ มาแล้ว (หัวเราะ) ตอนถ่ายจริงคือฮามาก บรรยากาศกองถ่ายแต่ละคนคือทุกซีนมีแต่มุกตลก มันโจ๊กมากครับ ทุกคนเป็นธรรมชาติเวลาอยู่ด้วยกัน เราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เคมีลงตัว ส่วนแฟนๆ หลังเห็นเอ็มวีก็ชอบนะครับ เพลงนี้ได้จังหวะที่สนุกด้วย ทำให้ดูแล้วคลายเครียด ชอบหนังอยู่แล้ว พอมาเห็นนักแสดงที่ชอบอยู่ในเอ็มวี เขาก็รู้สึกอินไปกับมัน ผมชอบเวลาทุกคนคอมเมนต์ชมคนนั้นคนนี้ บางคนก็แซวว่าพี่ดาญาติดีกับยาทแล้วเหรอ (หัวเราะ) ส่วนเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มาเล่นก็สนุกกันครับ ตอนมาก็ชิลๆ เหมือนมาแฮงเอาต์ แต่เสร็จปุ๊บก็เหนื่อยเพราะเราใช้เอนเนอร์จี้ในการฮา (ยิ้ม)”

มองชีวิตให้ชิลๆ

จากชีวิตที่ผ่านมาที่ต้องเจออะไรต่างๆ มากมาย ถามว่ามองชีวิตตัวเองยังไง บิ๊กตอบว่า “ผมว่าผมโชคดีที่ได้เจอเรื่องต่างๆ แล้วยังผ่านมันมาได้ สิ่งที่ทำให้ผ่านจากเรื่องแย่ๆ ต่างๆ ในชีวิตมาได้คือการมองเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นเรื่องสนุก เหมือนเมื่อก่อนถ้าผมโดนด่า ผมจะรู้สึกว่าด่าผมทำไม

แต่ทุกวันนี้ถ้าด่าก็คือสนุกจัง ชอบๆ ด่าอีกๆ เอาอีกๆ (ยิ้ม) สมมตินะครับถ้าเราต้องเจอความเครียดบางอย่างในชีวิต เราจะรู้สึกเศร้าจัง แต่ผมจะกลายเป็นว่าเฮ้ย มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เรามีอะไรให้คิด ผมจะคิดว่าผมเหมือนเล่นเกมอะไรสักอย่างและต้องผ่านด่านให้ได้

ส่วนนิยามชีวิตของ D Gerrard คือชิลครับ (หัวเราะ) คือชิลแต่ไม่ชิล แต่ถ้าคนถาม ผมจะตอบว่าชิล (ยิ้ม) เหมือนเราโต้คลื่นอยู่ จริงๆ มันไม่ชิลหรอก มันน่ากลัว แต่เราต้องโต้คลื่นแบบชิลๆ เท่ๆ Keep Cool ไว้ก่อน (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราก็มาหาวิธีครับ มาแก้ปัญหาเหล่านั้นกัน เพราะผมเชื่อว่าคนเก่งจะไม่มีทางแพ้ เราจะสู้ต่อจนเราชนะได้ในวันนึงครับผม”

บิ๊กฝากขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามและให้กำลังใจ พร้อมทั้งบอกว่า “ผมอยากให้ทุกคนที่ฟังผมอยู่ให้คิดว่าเรากำลังต่อสู่ไปด้วยกันครับ ตอนนี้ทุกคนกำลังประสบปัญหาต่างๆ ในชีวิต ผมคิดว่าสิ่งสำคัญอย่างนึงเลยนะครับที่สังคมเราหรือผมเองต้องมีมากขึ้นคือความใจกว้าง เราควรใจกว้างกับความรู้สึกคนที่เข้ามา ผมเข้าใจหลายๆ คนที่เขามาด่าหรืออะไรก็แล้วแต่ เขามีความเครียดสะสม

ผมเข้าใจจุดนั้น ผมเลยรู้สึกว่าผมใจกว้างที่จะเป็นส่วนนึงที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ถ้าเขาด่าผมแล้วรู้สึกดีขึ้นผมก็โอเค (หัวเราะ) อยากให้ทุกคนใจกว้าง ใจเย็นกันมากขึ้น บางทีผมขับรถไปก็เห็นการขับรถที่น่ากลัว ผมเชื่อว่ามันจะดีขึ้นได้ถ้าเราใจกว้าง แต่ถ้าเราคนใจแคบ ก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวเอง สังคมก็จะพังทลายครับ

ส่วนแฟนๆ ที่ติดตาม อยากให้รอติดตามผมต่อไป สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า D Gerrard เป็นใครก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าที่ไหนที่มี D Gerrard ไปในงานนั้นๆ จะเป็นงานที่ดีแน่นอน ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ สามารถติดตามผมได้ที่ยูทูบ DGerrard Official หรือทางเฟซบุ๊กแฟนเพจได้เลยครับ ส่วนผลงานภาพยนตร์สามารถติดตามได้ผ่านสื่อต่างๆ ครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Warner Music Thailand
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2341961
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2341961