จุ๋ย วรัทยา "พุฒโชคดีที่มีจุ๋ย" น้ำตา ดราม่าพุฒ จุ๋ย ‘รอวันที่ลูกจะมา’


ให้คะแนน


แชร์

พูดจากใจว่าตอนแรกนึกว่าจะเป็นบทสนทนาที่สนุกเม้าท์กันตามประสาดารา แต่เมื่อฟังจนจบกลับพบหลายประโยคที่สร้างพลังบวกให้ชีวิต 

มากกว่าแต่งงาน

เขาคือความสุข

“การที่แต่งงานกับพุฒ (พุฒิชัย เกษตรสิน) เหมือนเราถูกลอตเตอรี่” จุ๋ยเล่าชีวิตการแต่งงานกับสามีด้วยรอยยิ้ม เธอบอกว่า เธอโชคดีที่เจอคู่ชีวิตที่น่ารัก เขารักครอบครัว ไม่มีความเห็นแก่ตัว เข้าใจซึ่งกันและกัน แม้มันจะเป็นเรื่องเบสิก แต่ก็เป็นพื้นฐานความรักที่สำคัญ

“คนที่มองว่าพุฒน่ารัก จุ๋ยโชคดีจังที่ได้พุฒเป็นสามี จุ๋ยไม่เถียงเลยเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ทุกคนก็ควรพูดว่าพุฒก็โชคดีที่ได้จุ๋ยด้วยนะ เพราะจุ๋ยรักและดูแลเขาครบวงจรเท่าที่จะทำได้ ทั้งงานบ้าน งานนอกงานใน อะไรที่จุ๋ยทำให้พุฒได้ จุ๋ยทำทุกอย่าง ก็แค่บัญชามา ดีดนิ้วมานิดเดียว ก็คือทำให้ได้เลย”

ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา 3 ปีกว่า ทั้งคู่แทบไม่เคยทะเลาะกัน ถ้าเริ่มมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจก็จะรีบเคลียร์ให้จบภายใน 15 นาที

“เพราะเราตั้งมั่นกันในชีวิตแต่งงาน หรือชีวิตคู่ ตั้งแต่แรกเลยว่า เราจะไม่เสียเวลาในการทะเลาะกัน แค่เราทำงานหาเงินก็เหนื่อยแล้ว ดังนั้นเรื่องความรักมันควรเป็นเรื่องของการซัพพอร์ตกันมากกว่า การอยู่ร่วมกัน อะไรที่ทำแล้วไม่มีความสุข ทำลายช่วงเวลาดีๆ เราแค่ใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นมาปรับความเข้าใจ เพื่อให้เราเข้าใจกันมากขึ้นดีกว่า”

น้ำตา ซึมเศร้า
แม่รอหนูมาเกิดนะ

“เราอยากมีลูกกันมากค่ะ” จุ๋ยเล่าเป้าหมายชีวิตคู่ให้เราฟังตั้งแต่เริ่มสัมภาษณ์กัน

“ตอนที่เราตกลงใจแต่งงานกัน หลายคนทัดทานเพราะพุฒเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียง แต่เราก็อยากแต่งงานเลย เพราะเราอยากมีลูกเร็วๆ เราทั้งคู่ชอบเด็ก แต่มันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เท่านั้นเอง ใช้เวลามา 3 ปีแล้ว

วันนั้นช็อกมากค่ะ เพราะคิดว่าตัวเองมีลูกง่าย ไม่เคยมีปัญหาด้านนี้ ก่อนแต่งงานก็ตรวจแล้ว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่พอตกลงปลงใจว่าจะมีลูก มันไม่มี เพราะร่างกายเราผิดปกติขึ้นฉับพลัน ค่าดัชนีที่บ่งบอกว่าเราสามารถมีลูกได้ มันต่ำมากๆ เหมือนคนที่ไม่สามารถมีลูกได้แล้ว เราก็เสียใจมาก

เพราะว่ามันเหมือนผิดแผนที่เราแต่งงานเพราะอยากมีตัวน้อยๆ ซึ่งมันทำให้จุ๋ยเสียใจกับเรื่องนี้นาน ใช้เวลาในการดึงสติตัวเองหลายวัน ปกติจุ๋ยเป็นคนเข้มแข็งมาก ปล่อยอะไรได้ง่ายๆ ไม่ค่อยจมความทุกข์เยอะ แต่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่คาดหวังมาก แล้ววันหนึ่งร่างกายมันเปลี่ยนไปโดยไม่ทันตั้งตัว”

จุ๋ยยอมรับตรงๆ ว่ามันคือช่วงลำบากของชีวิต แค่คิดขึ้นมาน้ำตาก็ไหล นอนก็ไม่ค่อยหลับ อาจจะเป็นภาวะซึมเศร้าชั่วคราว ภาวะวิตกกังวล แต่ใช้เวลาเยียวยาประมาณ 3 วัน ก็เริ่มที่จะกลับมาเป็นปกติ จากกำลังใจคนรอบข้างและสามี 

“พูดได้เต็มปากและเต็มหัวใจค่ะว่า วันนี้ไม่มีลูกก็ได้ แต่อยากมีมากกว่า”

“ตลอด 20 ปีในวงการบันเทิงของจุ๋ย ก็ไม่ได้มีข่าวอะไรที่ไม่ดีนะคะ มีช่วงหนึ่งที่เจอกระแสที่คบกับพุฒนั่นแหละ เหมือนคนที่ไม่ชอบให้คู่เรารักกัน อยากให้ไปอยู่กับคนอื่นที่เหมาะสมกันมากกว่า แต่อันนั้นจุ๋ยมองว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดีสำหรับชีวิตเลยนะ มองย้อนกลับไปมันคือเรื่องที่ดีนะ

มันเหมือนเป็นพลังที่ทำให้ความรักของเรายิ่งชัดเจน แล้วยิ่งพอเราผ่านจุดนั้นมาได้ มันยิ่งมีความสุข เราจับมือผ่านมันมาจริงๆ เราไม่เคยทิ้งกันระหว่างทาง พุฒรู้สึกว่าจุ๋ยไม่ใช่คนแบบนั้น ในสิ่งที่ข่าวเขียน หรือสิ่งที่คนอื่นพูด

คือนักข่าวไม่ได้ทำร้ายจุ๋ยนะ แต่นักข่าวพยายามเอาเรื่องที่มันไม่ดี เรื่องที่มันเป็นกระแสดราม่า เอามายำและย้ำเพื่อดึงดูดคนให้มาอ่านข่าว ซึ่งจุ๋ยไม่ได้ว่าอะไรนักข่าว มันเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ถามว่าดีไหม ไม่ดี แทนที่จะสนใจเรื่องผลงาน ความดี แต่ให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านั้นมากกว่า แต่ว่ามันทำอะไรไม่ได้ มันคือกลไกสังคม

ส่วนคนที่ไม่รักเรา เขาจะเหนื่อยกว่าคนที่รักเรามากๆ เพราะวันหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริง เอาความเกลียดมาว่าคนคนหนึ่ง ซึ่งคนนั้นไม่ได้เดือดร้อนอะไร ใช้ชีวิตอย่างแฮปปี้มีความสุข ก็จะเหนื่อยและแพ้ภัยตัวเอง ส่วนคนที่รักเรา จุ๋ยมองเห็นว่าเขาอยู่เคียงข้างเราจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ยิ่งเห็นคุณค่าของคนกลุ่มนี้

และจุ๋ยก็ได้เห็นผู้ชายคนนึงปกป้องผู้หญิงคนนึง และไม่เชื่ออะไรเลยกับข่าวเหล่านั้น แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นพูด และไม่ได้แคร์ด้วยว่าตัวเองจะดังแค่ไหน เลือกที่จะแต่งงาน เหตุการณ์พวกนี้มันยิ่งตอกย้ำสร้างความมั่นใจให้เรารู้สึกว่าเราเลือกคนไม่ผิด

อยากจะขอบคุณที่มีวันนั้น ทำให้เราเติบโตขึ้น จิตใจเข้มแข็งขึ้น ทำให้เห็นถึงความรักที่ชัดเจนของคนรอบข้าง สามี แฟนคลับ คนที่คอยปกป้องเรา และทำให้เห็นสัจธรรมอะไรบางอย่าง ขอบคุณที่เป็นแรงผลักดัน ให้เราเจอเรื่องยากให้ชีวิตบ้าง ที่ทำให้เราแข็งแกร่ง ทำให้เราไม่ลืมตัว ไม่เหลิง มองอะไรรอบด้านมากยิ่งขึ้น”

ละครไทยไม่พัฒนา

เพราะ?

คงไม่ผิดถ้าจะยกคำวิพากษ์วิจารณ์ละครไทยว่ามันล้าหลัง ถึงสนุก แต่ไม่ประเทืองปัญญา แล้วในมุมมองนักแสดงที่อยู่ในวงการบันเทิงมา 2 ทศวรรษ ได้แสดงความเห็นส่วนตัวได้เฉียบคม และเห็นทางธรรมทีเดียว

“อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ อย่าดราม่าจุ๋ยนะ คือจุ๋ยมองว่าเราขาดบุคลากรสำคัญในบางสาขาอาชีพ ก็คือคนเขียนบท สาเหตุที่ขาด เพราะเราให้เม็ดเงินเขาไม่พอ เขาจะอยู่อย่างไรในเมื่อต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อซีรีส์เรื่องหนึ่ง แต่ได้ค่าตอบแทนไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ทั้งเดือน เขาคิดเรตราคากันเป็นตอนค่ะ ซึ่งไม่สามารถจะบอกเป็นตัวเงินได้

ในความคิดของจุ๋ย ถ้าอยากให้ใครสักคนลงลึก หรือทุ่มเทในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ค่าตอบแทนมันต้องมากพอ ส่วนเรื่องโปรดักชัน เราฝีมือสู้เขาได้ขนาดชาวจีนยังชอบละครไทยเลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องด้วยค่ะ ว่ามันครองใจชาวจีนได้ไหม ก็มีบางเรื่องที่มันไปได้ จุ๋ยเชื่อว่าเรามีฝีมือทัดเทียมต่างประเทศได้ แต่ว่าเราขาดการสนับสนุน สำคัญเลยคือภาครัฐบาล และทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่เรื่องเม็ดเงินอย่างเดียว เราหมายถึงการอำนวยความสะดวกอะไรบางอย่างด้วย เช่น ขั้นตอนการขออนุญาตถ่ายทำ

การทำละครมันมีความเกี่ยวข้องกันกับการท่องเที่ยว เช่น ถ้าละครจุ๋ยต้องไปถ่ายในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จุ๋ยก็อยากทำให้ที่ตรงนั้นดูน่าไปน่าเที่ยว แต่สถานที่บางแห่งก็ยากที่จะขออนุญาตเพื่อเข้าไปถ่ายทำ แม้จะเป็นการช่วยโปรโมตสถานที่ไปในตัว”

นักแสดงคนสวยยังพูดถึงแฟชั่นละครไทย ปัจจุบันที่ยังคงเน้นการรีเมคนิยายเรื่องเดิมๆ บางเรื่องไม่ถึง 10 ปี ก็นำกลับมาสร้างใหม่อีกแล้ว 

“บ้านเราชอบทำละครรีเมค จุ๋ยเป็นคนหนึ่งนะไม่อยากเล่นละครรีเมคเลย แต่ก็ต้องได้เล่น มันโอเคนะถ้าเอาเรื่องต่างประเทศมารีเมคบ้านเรา มันก็อาจจะแปลกใหม่ แต่ถ้าบ้านเรา เอามารีเมคกัน 5 รอบ 6 รอบ มันไม่แปลกใหม่แล้ว”.

ผู้เขียน : Bouquet Talk

กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/2359617
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/2359617