คนคลั่งรัก “อ๊อฟ ชนะพล” ปลื้มมาก “ฮาน่า” วาดรูปคู่มอบให้แทนใจ ลั่นยิ่งคบยิ่งมีความสุข


ให้คะแนน


แชร์

เล่าสิสรุปเรื่องนี้เป็นยอด สะอาดยิ่ง หรือมอมแมมกันแน่

“เรื่องนี้ต้องบอกว่าตัวละครเป็น 2 บุคลิก 2 คาแรกเตอร์ครับ สำหรับหุบพญาเสือถือเป็นละครอีกเรื่องที่ท้าทายความสามารถผมพอสมควร เป็นการพลิกบทบาทของผมอีกเรื่อง ที่นอกจากจะมีการบู๊แล้ว ยังมีคาแรกเตอร์ที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อนเลย คือต้องเป็นตัวละครแผน ที่มีร่างกายไม่สมประกอบ ค่อนข้างจะยากสำหรับผมพอสมควร แต่บทตัวละครนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจรับเล่นละครเรื่องนี้ เพราะมันท้าทายมากๆ วันนี้ถือว่าเราผ่านพ้นมาได้ด้วยดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นบทแผน หรือบทยอด รวมๆแล้วออกมาสมบูรณ์อย่างที่เราต้องการครับ”

บทบาทของแผนที่ว่ายากคือคิดว่าบทบาทส่วนไหนเหรอ

“แผนเป็นตัวละครที่ร่างกายไม่สมประกอบ ร่างกายเขาซีกหนึ่งใช้การไม่ได้ปกติ เส้นประสาทด้านหลังทำให้มือของเขาใช้การไม่ได้ ดวงตาข้างนั้นก็เหมือนจะหรี่ไป รวมถึงปากที่จะเบี้ยว เรียกว่าซีกซ้ายใช้การแทบ ไม่ได้เลย และตัวละครนี้ดราม่าเยอะ ตามบทเขาจะต้องสูญเสีย ดังนั้น ก่อนเล่นบทนี้ผมค่อนข้างทำการบ้านเยอะ เพราะไม่เคยเล่นมาก่อนเลย รวมถึงมีการพูดคุยกับพี่เอก (รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง) ผู้กำกับ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดว่าควรจะออกมาเป็นแบบไหน พี่เอกเป็นผู้เขียนบทประพันธ์ด้วย แกมีความตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากให้ตัวละครนี้ออกมาเป็นแบบไหน ซึ่งเราก็ตั้งใจทำให้ตัวละครนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดครับ”

ต้องเล่นเป็นคนไม่ปกติแบบนี้ ยากลำบากขนาดไหน ทั้งๆที่ชีวิตจริงของเราก็เป็นคนปกติ

“ยากครับ คือบางวันผมต้องเป็นตัวละครนี้ทั้งวันเลย ต้องเดินเป๋ๆ ทั้งวันมันทำให้เรารู้สึกว่าวันนั้นทุกอย่างผ่านไปยากมากๆ อย่างเวลาต้องวิ่งหนี คือวิ่งในสภาพนั้นมันเหนื่อย มันลำบากกับการแสดงมากๆ ทั้งวันผมจะต้องปากเบี้ยวทั้งวัน ตาหรี่ทั้งวัน คือพอกลางวันที่ได้พักเบรก ผมล้าไปหมดเลย หน้าผมก็ล้า ขาผมก็ล้า แขนก็ล้า เพราะเราต้องล็อกแขนอยู่ท่าเดียวเวลาถ่าย ผมคิดว่ามันยากสำหรับการแสดงครับ”

ระหว่างวันมีลืมตัวบ้างมั้ย

“มีครับ ผมบอกพี่เอกก่อนเลยตั้งแต่เริ่มถ่ายว่า ถ้าผมลืมปากเบี้ยวเนี่ย เตือนผมด้วยนะ บางทีมันลืมตัวคือพออินกับบทไปแล้วมันลืมตัว คือจะเบี้ยวแต่เบี้ยวไม่สุด หรืออย่างกับตา ตาไม่ได้หรี่ไปข้างหนึ่ง มันคือลืมตัว แต่จะเป็นแค่ช่วงแรกๆ”

เราดูต้นแบบหรือวิธีการจากไหน

“เท่าที่ยกตัวอย่างกันมา พี่เอกให้ผมดูตัวละคร ไอ้ค่อม ซึ่งผมทันได้ดูละครพื้นบ้านในยุคที่พี่เอกชัย (เอกชัย ศรีวิชัย) เล่น และอีกตัวละครคือชายน้อย จากละครบ้านทรายทอง ผมก็เอามารวมๆกัน แต่ไม่ได้เอารูปแบบมาทั้งหมด แต่เราดูเป็นไกด์ครับ”

พอเล่นบทแบบนี้ยิ่งทำให้เราเข้าอกเข้าใจคนที่มีร่างกายไม่ปกติมากขึ้นด้วย

“เข้าใจครับ เข้าใจมากๆเลย คือเขาจะนั่ง จะเดิน จะยืน จะกิน จะนอนมันลำบากมากๆ แค่เราใช่แขนข้างหนึ่งไม่ได้ จะกินต้องใช้มือเดียวหยิบเข้าปาก จะตักแกง คือสารพัด แล้วในเนื้อละครเราต้องทำทุกอย่าง เพราะตัวละครจะเป็นมาตั้งแต่เกิด คำว่าเป็นมาตั้งแต่เกิดคือเราต้องคล่องกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ดังนั้น เราต้องดูคล่องแคล่วด้วย การใช้มืออีกข้างก็ต้องเอาอีกข้างมาประคอง มันยาก”

กับลุคมอมแมมเป็นอย่างไรบ้าง

“ก็สมบุกสมบันมากครับ การดีไซน์อะไรออกมาคือตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าพี่เอกจะให้ผมใส่วิก คิดว่าจะแค่ปล่อยให้ดูมอซอ ปล่อยผมปกติไม่ต้องเซต แต่นี่ไม่ใช่ครับ ผมต้องใส่วิกดูเซอร์ๆแบบคนที่ไม่ได้ผ่านการสระผมมานาน แต่งหน้ามอม ทาตัวดำหน่อยเพราะตัวผมขาวเกินไป แล้วก็ใส่เสื้อม่อฮ่อม กางเกงม่อฮ่อม ช่วงแรกที่เราเปิดกล่องถ่ายทำ ปรากฏว่าเสื้อผ้า
มันดูใหม่เกินไป เขาก็เอาไปขยี้กับฝุ่นให้มันดูเก่าดูเละที่สุด ผมคือโอ้โห! แต่ก็เข้าใจได้นะเพราะตัวละครมันยากจน ดังนั้นต้องทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสาร”

ต้องดินคลุกฝุ่นเป็นอุปสรรคไหมคะ

“แรกๆเป็นครับ แต่หลังๆรู้สึกสนุกกับมันครับ รู้สึกว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้น บางทีจบฉากแล้วยังเดินขากะเผลก ปากเบี้ยวออกจากฉากเลยจริงๆ”

อะไรจะอินขนาดนั้น

“คือมันสนุกครับและก็ทำให้คนอื่นสนุกไปด้วย คนอื่นที่เข้าฉากกับเราเขาจะรู้สึกอินกับตัวละครแผนไปด้วย บางทีเขาก็มาล้อกัน”

ร่วมงานกับเกรซ-พัชร์สิตา ล่ะ เหมือนกับต้องรับบทเป็นป๋าดันไปด้วยหรือเปล่า

“กับเกรซ เราเคยร่วมงานกันมาแล้วนะครับ แต่ว่าในเรื่องนั้นสุดท้ายไม่ได้สมหวัง ไม่ได้จบแล้วคู่กัน ดังนั้น เรื่องนี้คือเรื่องแรกที่เล่นคู่กันก็ไม่มีอะไรน่ากังวลครับเพราะเราเคยผ่านงานกันมาแล้ว การทำงานกับเกรซเต็มที่ เพราะเขาต้องผ่านการบู๊ ซึ่งเรื่องนี้เป็นบู๊เต็มตัวของเขา เขาเองก็ได้โชว์ฝีไม้ลายมือของเขา เพราะพี่เอกก็ปล่อยคิวบู๊ให้พอสมควรเลย แล้วเกรซก็ทำออกมาได้ดี ไม่มีอุปสรรคอะไรเลย”

จะได้เห็นความเป็นพระเอกนักบู๊ปีละเรื่องเนอะ

“ส่วนมากก็จะบู๊ปีละเรื่องครับ ผมก็ทำงานเต็มที่กับทุกบทบาทที่ได้รับมา ทุกเรื่องส่วนใหญ่ก็จะได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ สำหรับผู้ใหญ่ที่ให้คำชมมา และแฟนคลับ แฟนละครให้คำชมมา ผมรู้สึกมีกำลังใจครับ ไม่ว่าจะเป็นละครบู๊หรือไม่บู๊ คือทุกเรื่องผมตั้งใจทำ ตั้งใจทำการบ้าน ตั้งใจเพาะคาแรกเตอร์ที่ได้รับออกมา ตั้งใจเป็นตัวละครตามคาแรกเตอร์ตามบทประพันธ์ที่เขาเขียนมาให้ได้มากที่สุด ผมรู้สึกแฮปปี้มากกับงานที่ผมทำในวันนี้ และไม่ว่าจะเป็นบู๊หรือไม่บู๊ผมก็ตั้งใจเต็มที่กับมัน บู๊ผมก็เล่นเอง ไม่บู๊ผมก็เล่นเอง ผมพยายามให้เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ทำได้ทุกอย่างในแต่ละผลงานที่ออกมา”

อ๊อฟยึดตำแหน่งพระเอกนักบู๊ไว้ได้เหนียวแน่นมากๆ

“จริงๆ ต้องบอกว่า อย่างละครสายโลหิตเนี่ยเป็นการไว้ใจจริงๆ ทั้งผู้ใหญ่ทางค่ายและทางช่อง เขาให้ผมพิจารณานะว่าโอเคไหม คือผมเองก็เข้าใจว่าบทนี้มันร้ายนะ มันร้ายมากๆ มันยากนะ แต่ถ้าวันนั้นผมปฏิเสธไป ผมพลาดมาก จะเสียดายมาก แต่พอผมเล่นไปแล้ว ผมได้กำลังใจตั้งแต่ผมรับเล่น ทั้งจากผู้ใหญ่ทางช่อง ผู้ใหญ่ทางค่ายพี่หลุยส์ (สยาม สังวริบุตร) เข้ามาประกบเองแบบนี้ครับ ผมสู้ตาย และเรื่องนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดีมากๆได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ อย่างเรื่องนี้ หุบพญาเสือก็เช่นกันครับ ผมได้กำลังใจจากพี่เอก ผู้กำกับ บอกว่าเอาโว้ย สู้โว้ย คือพี่เขาให้กำลังใจที่ดีมากๆ แบบ เอาหน่อยนะ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

อัปเดตความรักบ้าง เห็นเพิ่งโพสต์ว่าน้องจ๋าวาดรูปคู่มาให้ ที่มามายังไงคะ

“เขาก็คงอยากทำอะไรเป็นสิ่งพิเศษให้กับเรา”

โอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่า

“ไม่ได้มีนะครับ คือเขาก็แค่อยากทำอะไรให้เรา เขาก็เลยวาดรูป ระบายสีให้ เป็นรูปคู่ ผมมาเห็นในจังหวะที่เขาเริ่มระบาย เริ่มแต่งสีแล้ว ก็เห็นความพยายามของเขาที่ทำจนเสร็จสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ได้เห็นความตั้งใจของเขาที่อยากทำให้เรา ก็เป็นอีกมุมของเขานะที่ผมได้เห็น คือมุมศิลปะซึ่งเขาก็มีด้วยเหรอ มันก็แปลกดีนะครับ ทำให้ได้รู้ว่าคนที่จะตั้งใจทำอะไรให้เราจริงๆ อย่างการวาดรูป ระบายสีเนี่ย คือมันใช้เวลานะ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเสร็จเลย แบบการซื้อแล้วให้กัน แต่มันเป็นสิ่งที่มีค่าอีกสิ่งหนึ่งสำหรับผม มันมีคุณค่าทางใจที่ผมรู้สึกว่ามันดีมากๆ”

ตอนน้องเอามาให้น้องได้มีคำพูดว่าอย่างไรบ้าง

“เขาก็บอกว่าเขาตั้งใจทำให้ ตั้งแต่ส่งรูปมาให้ดูแล้วว่าเขาอยากทำให้ เป็นชิ้นเดียวในโลก มันเกิดจากงานฝีมือเขา เป็นความตั้งใจของเขาจริงๆก็เลยรู้สึกว่ามันคงสำคัญที่สุดแล้ว ในการที่จะให้สิ่งสิ่งหนึ่งมันเป็นชิ้นเดียวในโลกที่ต้องใช้ความตั้งใจ มันเป็นภาพที่ต้องใช้เวลาจริงๆ”

อ๊อฟคิดจะวาดรูปคู่อีกสักรูป แล้วแลกคืนให้น้องไหม

“ผมว่า ผมไปในทิศทางนั้นลำบากมากครับ ผมให้อย่างอื่นง่ายกว่า”

แล้วรูปนี้เอาไปวางจุดไหน มุมไหนของบ้าน

“ตอนนี้ยังวางอยู่ในมุมมุมหนึ่งอยู่เลยครับ คือยังไม่มีที่เหมาะสมกับการวางภาพ เพราะรูปก็ขนาดพอสมควรไม่ได้ใหญ่มาก แต่หาที่วางยากอยู่”

นึกว่าจะวางไว้ ในห้องนอน

“ตอนนี้ก็อยู่ในห้องนอนครับ แต่ยังวางในจุดที่ไม่เหมาะสมอยู่ ยังหาที่ลงไม่ได้ พยายามดูอยู่ว่า ของพิเศษชิ้นนี้ควรจะอยู่ในจุดที่พิเศษสำหรับเราจุดไหน (ไม่ก็อยู่ในห้องไลฟ์ขายของเลย) ห้องไลฟ์มีรูปของเขาอยู่แล้ว ซึ่งแฟนละครเขาทำมาให้ตอนที่เราเล่นด้วยกัน และโห…มันเยอะมากครับ แต่ว่ารูปแบบนี้มันก็ควรจะอยู่ในจุดที่พิเศษสำหรับสิ่งพิเศษที่เขาให้ผมมา”

คนแซวว่าคู่เราเป็นคู่คลั่งรัก รู้สึกอย่างไร

“ก็ขอบคุณแล้วกันครับที่ทุกคนยินดีกับเราทั้งสองคนที่ไม่ได้ปิดกั้นในทิศทางที่แบบว่า คบทำไม อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ทุกคนมองแล้วเป็นสีชมพูไปด้วยกันกับเรา มองแล้วมีความสุขไปกับเราด้วย ถ้าพูดว่าคลั่งรักไหม ก็ไม่ได้ปฏิเสธครับ เพราะว่าทุกอย่างมันสวยงาม มันมีความสุข มันมีกำลังใจ มีแรงที่จะผลักดันในเรื่องอื่นต่อไป ซึ่งทุกวันนี้มันดีมากๆ เขาก็ทำงานหนัก ผมก็ทำงานหนัก มันอยู่ในจุดที่ทำให้หายเหนื่อยทั้งคู่”

มันพานมาถึงแคปชันในอินสตาแกรมกลายเป็นคนมุ้งมิ้งไปเลย

“ปกติผมจะเรียกกันว่าน้องจ๋า เขาจะเรียกผมว่าพี่จ๋า แฟนคลับก็จะแซวกันเยอะหน่อย บางทีก็จะมีแฮชแท็กคลั่งรักมาแซวๆกัน ผมก็ยังพูดคำเดิมครับว่าขอบคุณทุกคนที่เข้าใจในเรื่องความรักของเราทั้ง 2 คน คือมันดูสวยงามจริงๆคือมันดูแล้วไม่มีอะไรไม่ดี เราไปในทิศทางที่ถูกต้องทุกอย่าง ให้เกียรติกันในทุกเรื่อง ส่งเสริมกันในเรื่องของงาน และเข้าใจกันในเรื่องของการใช้ชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย”

เหมือนเติมเต็มให้กันและกัน

“ใช่ครับ และทำให้รอบข้างเข้าใจเรามากขึ้นด้วย คนรอบข้าง ผู้ใหญ่ แฟนคลับ เข้าใจและส่งเสริมให้เราไปในทิศทางในเรื่องอื่นๆได้อีก”

มองในเรื่องอนาคตร่วมกันแล้วหรือยัง

“ต้องพูดแบบนี้ครับว่า ก่อนหน้านี้ในเรื่องความรัก เราตั้งเป้าหมายไป แต่มันดันไม่สมหวังมีข้อผิดพลาด เป็นจุดผิดพลาดที่เป็นการเข้าใจกัน จนกระทั่งเรามาเจอครั้งใหม่ เราอยากให้เวลาเป็นตัวตัดสินไปเลยในจุดนี้ คือไม่ระบุแล้ว ให้เวลาเป็นการตัดสิน ระหว่างเรา 2 คนที่จะเป็นเมื่อไหร่ จะแต่งงานเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้คำว่าเลิกไม่มีแน่นอน มีแต่ไปต่อๆ มันก็เลยใช้คำว่าใช้
เวลาเป็นตัวตัดสินดีกว่า ไม่อยากมาวางกฎเกณฑ์ว่าจะเมื่อไหร่ เพราะถ้ามันล้มขึ้นมามันจะผิดหวังนะ คำว่าล้มของผมไม่ใช่ว่าจะเลิกกันนะครับ คือแบบถ้าวางไว้ 2 ปี แล้วถ้าตอนนั้นไม่ได้แต่ง มันจะผิดหวังเอานะว่า ทำไมล่ะๆ ดังนั้น ให้เวลาเป็นตัวตัดสินเลยดีกว่า”

อ๊อฟไม่อยากกลับไปจุดเดิมแบบที่เคยตั้งธงว่ากี่ปีจะแต่งใช่มั้ย

“ใช่ครับ ปล่อยให้เวลาเป็นตัวนำพาไปดีกว่าครับ”

โปรเจกต์หรือเป้าหมายที่อ๊อฟวางเอาไว้

“ตอนนี้ผมก็ยังเล่นละครอยู่ ก็ยังรักในการเล่นละครอยู่ และก็อยากสร้างสรรค์ผลงานดีๆให้กับคุณผู้ชมได้ชมต่อไป บางจุดเราก็มีแบบมองงานเบื้องหลังไว้บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส และวาระว่าเราจะได้ทำในจุดไหน อีกสเต็ปหนึ่งคือการทำค้าขายออนไลน์ให้บูมขึ้น ให้โตขึ้นกว่าเดิม ว่าเราจะไปในทิศทางไหนให้เราทำยอดเพิ่มขึ้นได้อีก เพราะทุกอย่างมันผ่านการลงทุนมาแล้วครับ ในเมื่อเราจริงจังแล้ว เราก็อยากให้มันเติบโตขึ้นไปอีก ถ้าพูดถึงเรื่องการแสดงของผม ผมถือว่าผมประสบความสำเร็จไปแล้ว วันนี้คือการที่ผมได้อยู่ในจุดที่ผมรักต่อไป อยู่ในวงการที่ผมรักต่อไป ส่วนอย่างอื่นคือการผลักดันให้มันโตขึ้นไปเรื่อยๆครับ”.

เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยาน

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2368516
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2368516