"อ๊อฟ ชนะพล" ไม่ยึดติดต้องเป็น "พระเอกยืนหนึ่ง"


ให้คะแนน


แชร์

รับสะดวกใจคบสาวนอกวงการ เล็ง 2 ปีแต่ง “ลูกพีช”

บทอินทรีแดงอ๊อฟได้กลับมาเล่นเป็นคนดีอีกครั้ง

“จริงๆส่วนใหญ่เลย ผมรับบทเป็นตำรวจจะใส่เครื่องแบบ และยศตำแหน่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เรื่องอินทรีแดงนี่ก็จะรับบทตำรวจที่อายุเยอะขึ้น และตำแหน่งสูงขึ้น ที่ผ่านมาจะเป็นหมวด เป็นร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก แต่เรื่องนี้เป็นพันตรี เป็นสารวัตรเลย คือโตขึ้น และโชคดีที่เรื่องนี้เป็นหน่วยพิเศษที่เราได้ขอทางผู้บังคับบัญชาสร้างหน่วยขึ้นมาเพื่อจะปราบไป่หลง ก็เลยจะได้สวมชุดที่ดูเท่หน่อย สวมสูท ใส่ชุดเกราะบ้าง ดูคล่องแคล่วในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในมุมการถ่ายทำ มันก็เป็นอุปสรรคนิดนึง เพราะว่าใส่สูทบู๊มันร้อนมาก แต่จังหวะเรามาดูกันแล้วว่า ถ้ามีจังหวะที่ถอดสูทออกได้ เราก็พับแขนเสื้อเชิ้ตแล้วก็มาบู๊ มันแล้วแต่สถานการณ์”

วัยขนาดนี้บู๊หนักๆ อ๊อฟยังไหวอยู่นะ

“ยังไหวอยู่ครับ เพราะตอนนี้ทุกคนยกให้เราเป็นนักบู๊ไปแล้ว ทุกคนชอบเวลาผมบู๊ ชอบท่าทางเวลาผมบู๊ ชอบคิวบู๊เวลาผมเล่น ช่วงนี้ก็มีหลายเรื่องอยู่”

ไปฝึกปรือวิชามาจากไหนคะ

“จริงๆตั้งแต่เข้าวงการมา ผมเล่นละครเนี่ยต้องมีละครบู๊ปีละเรื่องอยู่แล้ว ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเราเป็นคนเล่นบู๊เก่ง จนมาเจอค่ายของพี่เวอร์ (โอริเวอร์ บีเวอร์) เรื่องแรกของเขาคือ เนตรนาคราช คนดูเริ่มชอบในการบู๊สไตล์หนัง เราเองก็ชอบ แล้วละครบู๊เราก็มาอีก คนก็ชอบอีก จนปีที่ผ่านมาถ่ายบู๊ทั้ง 2 เรื่องคือ พรายพิฆาต กับอินทรีแดง บทก็หนักขึ้นมาเรื่อยๆ คนก็เลยมองว่าเรากลายไปเป็นพระเอกนักบู๊”

เรียกว่าพอใจ แฮปปี้กับฉายานี้

“แฮปปี้ไหม ก็ถือว่าเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการบู๊ ผมว่าไม่ใช่ใครจะเล่นง่ายๆนะคิวบู๊ มันอยู่ที่คนจริงๆนะว่ามันดูแล้วแข็งแรงขนาดไหน คนที่ไม่เป็นเลยต่อให้ไปซ้อมมาขนาดไหนก็อาจจะไม่ได้ ที่ผ่านมาสำหรับผมคือประสบการณ์ล้วนๆ สร้างสะสมมาจนวันนี้ก็รู้สึกว่าโอเคนะ”

ฉากบู๊ฉากไหนที่เจ็บตัวหนักที่สุด

“ผมว่าเวลาที่วิ่งหลบระเบิด หลบเอฟเฟกต์ คือเอฟเฟกต์ของพี่เวอร์ ไม่ใช่นัดสองนัด แต่เป็นแถวเลย มาเป็นบุฟเฟต์ต้องอิ่มล่ะฉากนี้ รวมถึงปืนแอร์กันที่ตามยิงไล่หลังเป็นลูกไฟคือก็พลาดโดนกันเกือบทั้งหมด ต้องวิ่งหลบระเบิดอีกที เรียกว่าคอมโบเซต จัดเต็ม มันก็คือความยากของเราล่ะ ถ้าเราวิ่งจำคิวผิด ไม่ซิงก์กับคนกดก็เจ็บตัว ถ้าเราวิ่งช้าก็อาจจะเจ็บน้อยหน่อย”

เรื่องนี้ก็มีพลาดคางแตกเลย

“ครับ คางแตกคือโดนต่อย แล้วก็มีพลาดกระโดดหลบระเบิด คือพื้นก็เป็นปูนธรรมดาไม่ได้มีเบาะอะไรเลย”

มันจะช้ำในไปไหม

“คือทุกคนก็เจ็บตัวหมด ไหล่เจ็บ เข่าถลอก อะไรแบบนี้ ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื้อรังละ เอ็นไหล่ด้านหน้าอักเสบ เป็นมาประมาณ 4 เดือนแล้ว เกิดจากคิวบู๊อาจจะหักโหมเกินไป หมอสั่งให้พักแต่เราไม่ได้พัก ตอนนี้ก็ต้องรักษาต่อเนื่องกันไป มีทำกายภาพบำบัด แต่ก็เอกซเรย์มาแล้ว กระดูกไม่มีหินปูน ข้อกระดูกไม่มีข้อเสื่อม ตรวจเอ็นไม่ฉีก ไม่ขาด แต่เอ็นมีอาการอักเสบ”

วันที่ไปไหว้ที่ศาล มิตร ชัยบัญชา ได้ขอพรอะไรเป็นพิเศษไหม

“ก็ขอพรเรื่องละครนี่ละครับ หลายๆคนรู้อยู่แล้วว่า ปู่มิตร ชัยบัญชา เป็นฮีโร่หนึ่งเดียวในเมืองไทย คือถ้าพูดถึงอินทรีแดง ต้องปู่มิตรเท่านั้น พอเรารู้ว่าละครจะออนแอร์ ทางพี่เวอร์ได้จัดบวงสรวงอีกครั้ง ซึ่งวันที่เราไปตรงกับวันคล้ายวันเสียชีวิตของคุณมิตร ชัยบัญชา (8 ต.ค.2513) มันบังเอิญที่ตรงพอดี และผมก็รู้อีกว่า คุณมิตร เสียชีวิตในวันพฤหัสบดี ซึ่งจริงๆละครจะต้องออนแอร์แล้วในอีกวันนึง แต่ปรากฏว่าก็ขยับมาลงตอนแรกวันพฤหัสบดีพอดี มันคือความบังเอิญ แต่ถ้ามองในเรื่องความเชื่อ ก็แล้วแต่ เราทั้งนักแสดงหลายๆคน ไม่ว่าจะพี่เวอร์ อ๋อม แม็กกี้ โอ๊ต และตัวผม เรามีความตั้งใจเดียว ที่วันนั้นไป คือการขอขมา ในการถ่ายทำของเรา และขอพรขอให้ละครดังๆ ขอให้ดัง เทียบเท่ากับเวอร์ชันภาพยนตร์ของคุณมิตร ชัยบัญชา”

หลังๆ บทบาทเริ่มเปลี่ยนไป เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายบ้าง

“ผมไม่ยึดติดครับ ผมคือนักแสดง ส่วนคำว่าพระเอก มันติดตัวจนตายอยู่แล้ว ทุกคนก็ยังเห็นว่าผมเป็นพระเอก ยังเรียกว่าพระเอก ตอนนี้ล่ะคือเราจะเคาะคำว่าพระเอกออกจากตัวเราได้ขนาดไหน ตอนที่เราไปรับบทบาทอื่นๆ ซึ่งอันนี้ละ ที่ผมจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ยังไม่เลิกที่จะหา ความรู้ให้กับตัวเอง คือเราจะเป็นพระเอกหนึ่งก็ได้สองก็ได้ หรือจะไปรับบทตัวร้าย ตัวร้ายเนี่ยเราก็มองที่ความเหมาะสม อย่างที่ผมเล่นในสายโลหิต มันคือฟอร์มยักษ์ของช่อง 7HD มันคือพระเอก มาชนพระเอก มันคือ พอร์ช ศรัณย์ มาชนกับอ๊อฟ ชนะพล มันก็เลยดูมัน แล้วก็ลุ้น ก็คือไม่ได้ยึดติดหรอกครับ ว่าเราจะต้องเป็นพระเอกตัวหนึ่ง พระเอกตัวสอง ปัจจุบันนี้ผมก็เล่นได้หมด ผมมีความสุขที่จะได้เล่นในบทบาทในแต่ละเรื่อง”

คิดจะขยับมาทำงานเบื้องหลัง งานกำกับกับเขาบ้างไหม

“ก็คิดแหละ เพราะสมัยนี้รุ่นพี่เราผันตัวมาเป็นผู้กำกับบ้าง ผู้จัดบ้าง แต่ตอนนี้เราได้แค่คิดเพราะเรายังสนุกกับการเล่นละครอยู่ เรารับภาระแค่หนึ่งตัวละคร แต่ผู้กำกับ ผู้จัดคือทั้งกอง มันก็เลยรู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม แต่ถ้าว่าบั้นปลายหรืออนาคตคิดไหม คิดครับ เพราะเราอยู่กับตรงนี้ เราโตมากับตรงนี้ เราอยู่มาตั้งแต่อายุ 19 จนปัจจุบัน เราไม่รู้ว่าเราจะหยุดตอนไหนเพราะเรายังมีความสุขอยู่กับการทำงาน”

ถือว่าเป็นคนโชคดีนะ มีงานต่อเนื่อง นี่มีเล่นของ สายมูหรือเปล่า

“จริงๆเราเป็นคนขอพรทุกที่อยู่แล้ว จะขอตลอดขอให้ได้กลับมาเล่นบทดีๆ ขอให้ได้ถ่ายทำละคร ขอให้ได้ความเห็นใจ ได้ความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ ผู้จัด คือก็ทำบุญมาเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะกุศลผลบุญที่ผมได้ทำมาด้วย”

>> อ่านเรื่องย่อนิยายทุกเรื่อง คลิกที่นี่ <<

ไม่ค่อยได้เห็นอ๊อฟไปเที่ยวไกลๆ

“ไม่ค่อยครับ ถ้าไปคือกลับบ้าน กลับใต้ แค่นั้น”

คนอื่นๆเขาแว้บไปต่างประเทศ

“ผมเบื่อครับ เบื่อเดินทาง ถ้าไปคือไปในประเทศ จะไปทำบุญ กับคุณแม่กับครอบครัวแบบนี้ ไปหนึ่งคืน สองคืนก็กลับแล้ว”

เป็นคนไปไหนไม่นาน

“คือเราเดินทางทุกวัน ออกกองนี่คือต่างจังหวัดตลอด แต่เราถือว่าเป็นการเดินทาง จะใกล้จะไกลเราถือว่าเป็นการเดินทาง แล้วเดินทางทุกวัน ทุกวันนี้ใช้ชีวิตในรถมากกว่าที่บ้านอีก”

กับแฟนคบกันมาก็นาน คุณแม่เริ่มถามเรื่องแต่งงานบ้างหรือยัง

“ก็มีพูดคุยกันบ้างแล้วครับ ผมตั้งใจไว้ว่าอีก 2 ปี”

กับลูกพีชคบกันมากี่ปีแล้ว

“8 ปีจะเข้า 9 ปีแล้วครับ ก็มีการพูดคุยแล้ว คุณแม่ผมเองก็โอเค คือถ้ามันถึงเวลาก็โอเค แต่ต้องไป พูดคุยกับทางผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิงก่อน ด้วยมารยาทของเราที่จะต้องทำให้เรียบร้อย ตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะไปพูดคุยกับเขาว่าจะยังไงอะไรแบบนี้ ปีหน้าคือจะไปขอ แล้วอีกปีแต่ง ประมาณปี 64 คืออีก 2 ปี”

ทำไมถึงต้องวางไว้อีก 2 ปี เพราะจริงๆคบกันมาก็ 8–9 ปีแล้ว

“ด้วยน้องเขาด้วย และตัวผมด้วย เอาตรงๆคือเก็บตังค์ก่อน ผมก็สร้างอะไรเยอะไงครับ อย่างซื้อบ้านให้คุณแม่อยู่ คือผมขยับขยายไปเรื่อยๆ ซื้อบ้าน ซื้ออะไรอยู่ตลอด”

บ้านหลังนี้จะเป็นเรือนหอด้วยไหม

“ไม่ครับ คือไม่อยากให้มองว่าเป็นเรือนหอขนาดนั้น คือให้น้องมาอยู่ด้วยกันนั่นล่ะ ตอนนี้ผมอยู่กับแม่สองคน แต่แต่งแล้วก็จะให้มาอยู่ด้วยกัน แต่อยู่แบบถาวรก็อาจจะลำบาก เพราะว่าด้วยงานด้วย ทุกวันนี้ก็ไปๆมาๆ มาอยู่ด้วยกันบ้าง ไม่อยู่ด้วยกันบ้าง คืองานเขาอยู่สมุทรปราการ ค่อนข้างไกล”

ตอนนี้แฟนอ๊อฟเค้าทำงานอะไร

“เป็นเซลส์ครับ ขายพวกซอฟต์แวร์ มีธุรกิจร้านเสริมสวย 2 ร้าน มีบริษัทขายครีม ก็จะวุ่นวายอยู่”

มีแต่คนชมว่าหน้าตาดี เป็นนางเอกได้เลย

“อย่าเลยครับ เหนื่อย คือถ้าผมจะเลือกนางเอกผมเลือกไปแล้ว ผมมองสาวนอกวงการ”

ในวงการเลยไม่มอง

“จริงๆก็มองครับ แต่ดวงมันมาทางนี้ ในจังหวะนั้นผมอาจจะคิดว่า คนในวงการสายเดียวกันอาจจะมีความเป็นห่วงเรามาก บางทีอาจจะหึงเวลาเข้าฉากนี้ เวลาทำงาน มันมีแหละเล็กๆน้อยๆ”

แต่น้องไม่เป็นเหรอ

“ไม่ครับ คือก่อนที่จะคบกัน เราได้คุยกันแล้วว่านี่คืองาน เราไม่เคยมีปัญหาเรื่องงานเลย กลายเป็นเรื่องสนุกซะอีก เวลามีฉากเลิฟซีนเขาจะมาแซวแบบ ทำไมเล่นเลิฟซีนอันนี้แล้วดูอ่อน ดูอะไรไป คือกลายเป็นเรื่องแซวขำๆไป”

อะไรที่ทำให้เราคบกันได้ยาวนานขนาดนี้

“ผมว่าความเข้าใจ บางช่วงเป็นระยะห่างด้วย คนห่างกันทำให้คิดถึงกัน อยู่ใกล้กันมากเดี๋ยวก็มีปากเสียงกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน แค่เรื่องกินข้าวว่าจะกินอะไร คนนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวก็ทะเลาะกันแล้ว แต่นี่คือต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง พอเหนื่อยปุ๊บ ก็จะถามหากัน ก็จะเป็นห่วงกัน ระยะห่างกันความเข้าใจมากขึ้น”

พอใจกับชีวิตในทุกด้าน พอใจในชื่อเสียง พอใจในความสำเร็จ

“ผมว่าชีวิตผมช่วงนี้คือโอเคเลยนะ ในเรื่องวงการบันเทิงถ้าพูดถึงการทำงาน ปีแรกที่ผมเล่นละคร ผมเคยบอกกับตัวเองว่า 10 ปี ถ้าเราอยู่ได้ถึง 10 ปี นี่คือการอยู่และประสบความสำเร็จ ผมประสบความสำเร็จแล้ว เพราะว่าอยู่มากกว่าแล้ว ตอนนี้ก็ 13 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นความตั้งใจเราได้ผ่านมาแล้ว เราไม่ไปยึดติดกับตรงนั้นแล้ว ทุกวันนี้เราอยู่อย่างมีความสุข มีงานละครทำ มีบทดีๆให้เล่น มีชีวิตรักที่ดี มีงานเข้ามาอยู่ตลอด มีเพื่อนดีๆ มันโอเค มันคือความสุขของผม”.

ทีมข่าวบันเทิง

ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ – ข่าวบันเทิง
ขอขอบคุณ : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ – ข่าวบันเทิง