“ฌอห์ณ” พิสูจน์ตัวเองงานเบื้องหลัง ซึ้ง “เพชร” เชื่อมั่น ปลุกให้สู้ เจอแล้วคนที่ใช่
งานนี้ ฌอห์ณ เผยระหว่างทางของการทำงานโปรเจกต์นี้ มีครบทุกรสทั้งความลำบากและความสุข แต่มีคนสำคัญอย่างแฟนสาว เพชร–ภิพัชรา แก้วจินดา ที่คบกันมา 2 ปีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ

ฌอห์ณ เล่าว่า “ผมคิดมาตลอดว่าผมชอบงานเบื้องหลัง วันนึงถ้าเรามีโอกาสเราอยากเล่าเรื่องคนอื่น เล่าสิ่งดีๆของคนอื่น เพราะคนเหล่านี้ไม่ค่อยมีพื้นที่ เลยรู้สึกว่าเรามีภาพในหัวนะ The Journal List ก็คือการที่เราทำให้เส้นทางที่เราจะไป มันเจอลิสต์ที่เราได้เรียนรู้กับชีวิตเราด้วย เล่าเรื่องราวของ 6 เส้นทาง 6 บุคคล ทั้ง ลุงยุ้ย-อารมย์ นิลซา, ประวัติ วะโฮรัมย์, ครูนิด, อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์, อาจารย์พรรณพิมล ปันคำ, โน้ต-วัชรบูล ลี้สุวรรณ, พี่เสือ-มนัส สีเสือ และพี่มีนา แซ่หว้า แต่ละคนต่างก็มีความเชื่อและความศรัทธาในสิ่งที่ตนทำอย่างมุ่งมั่น มีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ และไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อผู้อื่นและสังคม ผมรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจ โชคดีที่ผมยังอยู่ในวงการเป็นกระบอกเสียงที่สามารถใช้พื้นที่ตัวเองได้ไม่มากก็น้อยเลยอยากทำ และอยากดูศักยภาพของเรา เราอยู่เบื้องหน้าแล้วเราจะทำเบื้องหลังได้มั้ยจะเป็นงานที่ดีได้มั้ย เลยอยากทำเป็นอีกหนึ่งวิชาชีพ ช่วงก่อนโควิด-19 ที่ได้มาเจอคุณเพชร แฟนผม เค้าทำให้ผมได้ค้นพบศักยภาพด้านนี้ว่าเฮ้ยพี่ฌอห์ณเป็นคนมีภาพในหัวที่เล่าได้ ลองเปลี่ยนมุมมองให้มันเป็นประโยชน์ต่อทีมงานและต่อสังคมดูมั้ย ผมรู้สึกว่าสารตั้งต้นมันมีคนไว้ใจเชื่อใจและผลักดันเรา เลยเริ่มพูดกับคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจในทีมว่าถ้ามีโปรเจกต์แบบนี้อยากทำมั้ย ถ้าทำเรื่องราวของคนอื่น หรือเล่าเรื่องประเด็นของสังคม เลยเกิดการรวมทีมเฉพาะกิจ ใช้เวลาเกือบ 2 ปี โชคดีมาเจอสิงห์คอร์เปอเรชั่นสนับสนุน โชคดีที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเราครับ กับทีมงานทุกคนมีใจมีจิตอาสาเอาใจมาช่วยกันจริงๆมากกว่าหวังผลกำไรจริงๆ เพราะต้องไปนอนที่บ้าน อาบน้ำกินข้าวบ้านพวกเค้า ได้เรียนรู้ได้เห็นคนจริงๆเป็นมุมที่ผมเชื่อว่านักแสดงหลายๆคนไม่ได้มีโอกาสสัมผัสตรงนี้ และเรารู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าของงานมากๆและต้องใช้สกิลในหลายๆด้าน วางโครง เขียนสคริปต์ โทร.ติดต่อคนเหล่านั้น แต่ข้อดีอย่างที่บอกคือ ผมภูมิใจที่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มามันมีคุณค่ามาก อย่างน้อยคนดูจะมากน้อยแค่ไหน เราดีใจที่คนดูแล้วพูดว่าคนเหล่านั้นน่ารักจัง ขอบคุณทีมงานที่ทำเรื่องแบบนี้ มันก็เป็นกำลังใจและเป็นบทพิสูจน์ ในวันที่คุณโตขึ้นจะเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าผมจะเป็นผู้นำที่ดีผมต้องรู้จักความลำบาก รู้จักการแก้ปัญหา”
อะไรที่ทุกคน ในทั้ง 6 คนในแต่ละตอนมีเหมือนกันและเราอยากส่งต่อ?
“ทุกคนล้วนเป็นคนที่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่ทุกคนล้วนเป็นคนที่ผิดพลาดมาแล้วลุกขึ้นสู้อย่างมีความสุข ไม่ได้บอกว่าประสบความสำเร็จแต่เค้าลุกขึ้นสู้ ผมว่ามันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตคุณหรอก แต่มันอาจจะเกิดคำถามในตัวคุณว่า เราได้ครึ่งของเค้ารึเปล่า เคยพยายามแบบเค้าหรือคิดถึงความสุขที่มีอยู่รึเปล่า ชีวิตมันมีแค่นั้น เช่น ตัวผมเองถ้าเราก็ได้กลับมาถามตัวเองว่า ทุกวันนี้ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนว่าเราดังเท่าเมื่อก่อนมั้ย มันก็จะเจอแต่ความทุกข์”

แปลว่าตัวเรามีช่วงหันไปมองถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปในวงการ?
“ใช่ๆ ถ้าจะบอกว่าไม่ทุกข์เลยก็ไม่ใช่ มันก็มีช่วงโควิด-19 มา งานมันก็งงๆ เราทำงานทุกวัน แสดงละครมา 17 ปี แล้วไม่เข้าใจคำว่า Work From Home แต่วันนึงต้องมาถือแฟ้ม เดินที่ตึก นั่งรอว่าผู้ใหญ่จะลงมากี่โมง เรามีโอกาสพรีเซนต์แค่ 10 นาที และถูกปัดตก แล้วก็ลองใหม่ โดยมีทีมงานรอว่าเราจะได้ทำกันมั้ย แฟนผมมาส่งผมที่ตึกนะ เค้าก็พูดว่าไม่ต้องอาย เรามาขายงาน เราไม่ได้มาขอเงิน ถ้าพี่ฌอห์ณก้าวขานี้ไปได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างบนโลกนี้พี่ฌอห์ณก็ทำได้ แต่ถ้าพี่ฌอห์ณยึดติด วันนึงพี่ฌอห์ณก็จะสอนลูกตัวเองไม่ได้ อย่าอายที่จะทำในสิ่งที่ถูก แต่อายในสิ่งที่ผิด เมื่อมันเสร็จออกมาพี่ฌอห์ณได้ตอบตัวเองว่าเราหาเงินด้วยตัวเองได้ ใช้มันสมองและแรงกาย ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่มีคนมาเสนอว่าอยากทำอันนั้นอันนี้มั้ย ชีวิตต้องฝึกไว้ ต้องผ่านจุดนั้น วันนึงเป็นพ่อคนจะได้สอนลูกได้ว่าลูกต้องรู้จักรอ รู้จักความผิดพลาด ผิดหวัง แล้วมันก็เปลี่ยนโลกผมเลย”
เรียกว่าเพชรมีส่วนสำคัญมากๆกับการเปลี่ยนความคิดเรา?
“เค้าเป็นคนที่เชื่อมั่นผมในวันที่ผมไม่มั่นใจในตัวเอง ผมรู้สึกว่าในเมื่อเรามีคนข้างกายที่ดี เราต้องไม่ยอมแพ้ วันที่ผมไปขายงานรอบที่ 9 แล้วผมได้งาน ผมกลับขึ้นรถแล้วน้ำตาปริ่มเลยว่าเราได้แล้ว พอโทร.บอกเพชรเค้าก็ร้องไห้ด้วยกัน คือเค้าไม่ได้อยู่ในวันที่ฌอห์ณเป็นสามีแห่งชาติ เค้าไม่รู้จักผม เค้าอยู่กับฌอห์ณในช่วงโควิด-19 เพราะเค้าเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส ผมเลยให้เกียรติเค้ามากๆเพราะผมคงไม่มีโอกาสได้เจอคนที่ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นขนาดนี้และที่สำคัญคือเค้าบอกให้ผมสู้ ในการถ่ายทำเราขนน้ำไปเอง แฟนผมก็ช่วยวิ่งไปซื้อข้าวกล่อง ผมก็บอกว่าเพชรจำวันนี้ไว้นะ วันนึงที่เราไปถึงตรงนั้น วันเริ่มต้นแบบนี้มันมีความหมายมาก มันไม่นานหรอกพี่กำลังพยายามอยู่ ผมเลยรู้สึกว่า The Journal List ให้อะไรผมมาก”

ทำให้เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นกว่าเดิมอีกมั้ย?
“โตขึ้น อาจจะด้วยปัจจัยต่อสิ่งแวดล้อม โชคดีที่มีน้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ที่ดี ผมไม่ได้เป็นคนคลั่งรักนะแต่มันสำคัญจริงๆ ก่อนหน้านี้อาจจะไม่มีใครเข้าใจที่ผมเป็นจริงๆ เค้ามากระทุ้งเราว่าไม่เป็นไร ถ้ามันพลาดก็ยืนอยู่ด้วยกัน ถ้ามีน้อยก็ไม่เป็นไร มีมากก็กำไรชีวิต การที่ลุกออกไปทำอะไรนั่นล่ะความสำเร็จก้าวแรก ถ้าบอกว่าผมโตขึ้นอาจจะด้วยแรงผลักดันจากเค้า สิ่งที่เค้าถูกปลูกฝังมาแต่เด็กทำให้ผมมีความคิดเผื่อแผ่ คิดบวก ตรงไป ตรงมา มีเป้าที่ชัดเจน”
มีเรื่องทะเลาะกันบ้างมั้ย?
“เล็กๆน้อยๆเช่นทำงานหนัก เวลาที่ใช้ร่วมกันมันน้อย เราก็แก้ปัญหาด้วยการซัพพอร์ตกัน ช่วยงานเค้า”
คุยเรื่องอนาคตแล้วหรือยัง?
“ก็บอกเค้านะ ผมว่าตัวเค้าพร้อมเหลือตัวผม แต่ผมก็พูดชัดเจนว่าไม่นานแต่ไม่อยากมากำหนดเวลาให้เค้านั่งรอ ก็เป็นไปตามสเต็ปแต่เค้าก็เห็นแล้วว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”
เวลาคนบอกว่า ฌอห์ณคลั่งรัก เรารู้สึกยังไง?
“ผมว่านิยามคลั่งรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมแค่รู้สึกว่าเค้าอยู่ในส่วนหนึ่งของเราเสมอ เหมือนคนในครอบครัว และผมมองเรื่องการให้เกียรติกัน”.
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/novel/news/2479370
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/novel/news/2479370