สาบานให้ตายห่X “กุ้งพลอย” ลั่นไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ “ศรราม”  


ให้คะแนน


แชร์

สาบานให้ตายห่X “กุ้งพลอย” ลั่นไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ “ศรราม” หมดเยื่อใย ไม่อยากมีดราม่า

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เมื่อ หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ ประกาศผ่านไอจีว่า โทรศัพท์มีปัญหา ให้ติดต่อผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นอดีตภรรยาไปขอซิมใหม่เบอร์ที่ตนใช้งานอยู่ โดยไม่แจ้งให้ทราบ

ล่าสุด ‘กุ้งพลอย’ กนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ อดีตภรรยา หนุ่ม ศรราม มาร่วมงาน ‘ครบรอบ 2 ปี TOPONE 2nd Anniversary ที่ TOPONE club bangkok’ ได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

กุ้งพลอย เล่าว่า “คือว่ามือถือหายจริงๆ แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ไปที่สถานีตำรวจ เขาก็ถามว่าเบอร์อะไร เราก็บอกเขาไปว่าเบอร์หนึ่ง แต่ส่วนเบอร์ที่เหลือจำไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช้แค่เบอร์เดียว เสร็จแล้วก็ไปทำบัตรประชาชนเพื่อจะขอซิม พอไปที่ทรูฯ เขาก็ถามว่าพี่เอากี่เบอร์ เราเลยบอกว่าเอาทั้งหมดเลยที่มีอยู่ ก็ไม่ได้คิดไงค่ะ ว่าเบอร์ที่เราซื้อแล้วก็ใช่เนี่ย หนึ่งเบอร์เป็นเบอร์ที่ให้พี่หนุ่มใช้ เพราะมันนานมากแล้ว 4-5 ปีแล้ว”

“แต่เจตนาคือพอเอาซิมกลับมาบ้านเสียบมือถือ ก็มีคนหนึ่งโทร.เข้ามา คือพี่หนึ่งเป็นน้องพี่หนุ่ม เราก็ถามว่าหนึ่งไหน เขาเลยบอกว่าพี่หนึ่งหนุ่ม เราเลยถามว่าหนุ่มไหน ก็คืองง พอพี่หนึ่งเขาบอกว่านี่คือเบอร์พี่หนุ่มนะ เราก็เลยเก็ต ก็บอกโอเคพี่หนึ่งขับรถมาเอาไหม ที่สุขุมวิท 31 หรือจะให้หนูขับรถเอาไปให้เลย แล้วเราก็ขับรถไปเลยค่ะ แล้วซิมก็ถอดออกจากเครื่องไม่ได้ใช้ ใช้เวลาจากสุขุมวิท 31 ไปถึงลาดพร้าววันนั้นประมาณชั่วโมงกว่าค่ะ แล้วช่วงที่ขับไป ไม่ได้เห็นนะคะว่าพี่หนุ่มเขาโพสต์อะไร เพราะยังไม่ได้เข้าอะไรสักอย่าง”

“พอเอาไปให้เสร็จปุ๊ป วันเสาร์จะต้องได้เจอลูกตอน 9.30 น. แต่ในระหว่างคืนนั้นก็คิดแล้วว่า ถ้าวันนั้นอ่ะ เบอร์นี้มันเป็นชื่อเรา แล้วหนูไม่ได้ใช้ หนูก็ควรจะเซฟตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าวันนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราเลิกกันแล้ว แต่ถ้าพี่ๆ เอาเบอร์ของพี่ๆ แล้วเป็นชื่อของคนอื่นใช้อ่ะ แล้วพี่ๆ จะกลัวไหมคะ ก็เหมือนที่หนูต้องกลัว แต่หนูมีความรู้สึกว่าหนูไม่ได้กลัวเขา ไม่ได้รู้สึกว่าเขาไม่ปลอดภัยในชีวิต แต่ก็โอเค ในเมื่อพี่เขาใช้มาเนาะ เราก็เพิ่งรู้ว่าอันนี้เป็นชื่อของเรา เราก็เข้าไปหาว่ามันจะมีวิธีมอบโอนซิมยังไงบ้าง โดยที่เรากับเขาไม่ต้องไปที่เดียวกัน ทำยังไงก็ได้ให้เขาสะดวกที่สุดค่ะ ก็เลยแคปข้อความมูลไว้ “

“แล้วพอตอนเช้าพี่หนึ่งก็มาปรึกษาหนูเรื่องนี้ แต่หนูเตรียมไว้แล้ว ก็บอกโอเคได้เลย ก็ส่งใบให้เขา ว่าไปปริ้นท์ใบนี้มานะ เอาบัตรประชาชนไปด้วย เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูจะเซ็นให้หมดเลย พี่ก็เอาให้พี่หนุ่มไปยื่นที่เคาน์เตอร์ ทำซิมใหม่ได้เป็นชื่อเขาเลย เราทั้งสองฝ่ายจะได้สบายใจซึ่งกันและกัน ก็ให้ไปตอน 9.30 น. แล้วก็เล่นกับวีจิถึง 14.00 น. เพิ่งจะมารู้ว่าพี่เขาโพสต์แบบนั้น ตอนประมาณ 17.00 น. แต่ช่วงไทม์ไลน์ที่พี่หนุ่มโพสต์ ก็คือช่วง 11.00 น. จากที่หนูเซ็นให้ 10.30 น. แต่เขายังไม่ได้ไปทำธุรกรรม”

พี่น้องเขายังไม่ได้คุยกันเหรอ?
“ไม่ๆ เราคิดว่าตอนพี่เราเซ็นเอกสารให้แล้ว พี่เขาน่าจะโทร.หาพี่หนุ่ม รายงานว่าเราเซ็นให้แล้ว คือเราเพิ่งมาเห็นข่าวตอน 17.00 น. ก็เลยไล่ไทม์ไลน์กลับไปว่าอ๋อ ตอนที่เราเซ็นให้เขาแล้ว เขาถึงโพสต์แบบนั้น ซึ่งต้องบอกว่าข้อ 1, 2, 3 ได้อ่านหมดเลย มีความรู้สึกว่าข้อที่ 1 ก็ไม่ใช่แล้ว ตอนบอกกับตำรวจ เราก็จำได้แค่เบอร์เดียว คือเบอร์ของเรา ที่เราใช้ ไม่ได้คิดอะไรเลย ถ้าดูเจตนาอะ เราไม่ได้มีเจตนาร้าย”

สิ่งที่เขาโพสต์มา มีข้อไหนที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่อีก?
“วันนั้นที่ไลฟ์ขอแค่อธิบาย ไม่ได้จะมาซัดกันไปซัดกันมา มันควรจะจบตรงนี้แล้ว เรื่องระหว่างครอบครัวมันน่าจะต้องจบแล้ว แต่ถ้าเราไม่มาอธิบายเราจะรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นเชลยของสังคม ชื่อเสียงเรามันน้อย แล้วเรามีชนักติดหลัง ไม่ว่าเราจะทำอะไรผิดหรือถูก ถ้าเราเงียบหายไปโดยไม่อธิบาย เราจะกลายเป็นเชลยของสังคม ซึ่งเราอธิบายไปแล้ว ข้อที่ 1 เราไปแจ้งความจริงๆ แล้วเราจำเบอร์ตัวเองได้ 1 เบอร์ ส่วนที่เหลือจำไม่ได้ ก็เลยต้องขอใหม่หมด”

คนมองว่าเรายังมีเยื่อใย?
“เอาอย่างนี้นะคะ ไม่มีใครอยากสร้างเรื่องให้คนมาเหยียบเรา แล้ว 2 ปีที่ผ่านมา เรารู้สึกเหมือนเป็นตราบาป เป็นเชลยของสังคม เพราะเรายังไม่ทำอะไรผิดเลย เราผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่จะเป็นคนดีเลยเหรอคะ”

ทุกวันนี้การได้เจอลูกก็มีความสุขแล้ว?
“การเจอลูกเนี่ยมันก็ยากอยู่แล้วค่ะ เพราะฉะนั้นชีวิตของกุ้งพลอย มันต้องพยายามอดทน แล้วเวลาดราม่าสภาพจิตใจมันไม่ใช่แค่มีเรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเจอลูกที่ผ่านมา เราก็ต้องพยายามให้กำลังใจตัวเอง ว่าโอเค เจอลูกแค่นี้ก็พอแล้ว ก็ดีแล้ว จากอาทิตย์ละวัน กลายเป็นเดือนละ 2 บางครั้งเดือนละ 2 ก็ไม่ได้ มันก็จะมีเรื่องโน้นเรื่องนั้น มาโดยเป็นอุบัติเหตุเข้ามาตลอด อย่าคิดว่าจงใจเลย”

ยังเจอยากอยู่หรือปัจจุบันนี้?
“ตารางเจอวีจิ 1เดือน 2ครั้ง แล้วก็แต่ทุกเดือนมันไม่ได้เจอ 2 ครั้ง เฉลี่ยแล้วมันไม่ได้เจอแบบนั้นทุกเดือนที่ผ่านมา เข้าใจไหมว่าเดือนละ 2 ครั้ง ก็น้อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาเกิดดราม่าก็เลือกที่จะเงียบ ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น กลัวที่จะมีอะไรเกิดขึ้น บางทีก็ก้มหน้ายอมรับเพราะกลัวที่จะไม่ได้เจอลูก แต่ว่าผ่านมา 2 ปีแล้ว รู้สึกว่าบางเรื่องต้องพูดบ้างและ ที่พูดนี่ไม่ได้ทำร้ายใคร แค่อธิบายเราต้องปกป้องตัวเองแล้ว ไม่ว่าเวลาที่พี่เขาโพสต์มาเช่นทุกครั้งที่พี่เขาโพสต์ก็ดึงเราเข้าไป แล้วเราก็จะมีส่วนทำให้คนคิดแบบนั้น”

เหตุการณ์เรื่องเบอร์โทรศัพท์ อาจจะทำให้ไม่ได้เจอลูกไหม?
“ไม่ได้คิดแบบนั้น คนเราจะดูว่าดีหรือชั่วอยากให้ดูจากเจตนา ถ้าสมมติเปิดเบอร์อย่างตั้งใจ หรือจงใจทำไมไม่เอาเบอร์นี้ใช้หลายๆ วัน หลายๆชั่วโมง หรือ ยังไง นี่ก็แก้ไขให้เลย หรืออาจจะทำตามศูนย์บริการที่แนะนำว่าระงับเลยไหมคะ เพราะเราไม่ได้ผิด”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือแค่ 2 วันใช่ไหม?
“ไม่ใช่ 2 วันนะ ซิมนี้ถูกส่งให้พี่หนุ่มภายใน 2 ชั่วโมงด้วยซ้ำ หลังจากไปขอซิมมา ขับรถกลับบ้าน เอาซิมใส่เครื่อง ใส่ปุ๊บมีคนโทรเข้ามา ก็ถอดซิมออก ก็ขับรถเอาไปให้เลย ที่ป้อมยาม”

คือถ้ายกหูโทรหากันก็จะไม่ดราม่า?
“ก็ไม่เห็นโพสต์ของเขา คือมีความรู้สึกว่าโดนอะไรแบบนี้มาเยอะแล้วก็ชิน และรู้สึกว่าเข้าใจพี่เขานะ”

“แต่อันนี้ต้องออกมาพูดบ้าง มาอธิบายบ้างไม่อย่างนั้น จะรู้สึกว่าเป็นเชลยสังคม เวลาพี่เขาโพสต์อะไรมาหนูไม่มีแฟนคลับ แต่หนูมีชนักติดหลัง ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมามีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว แล้วใครเห็น 2 ปีนี้หนูมีไหมคะ แสดงว่าหนูพยายามแก้ไข ใจเย็น เคลียร์ อย่ามองเป็นมุมอื่นเลย ตามเจตนาผิดไหม ที่เปิดเบอร์มาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร เพราะฉันหนูผิดอะไร ตรงไหน”

ขออนุญาตถามในฝั่งพี่หนุ่มอาจจะเกิดความไม่ไว้วางใจ?
“คนเราสามารถไม่ไว้ใจได้ มีสิทธิ์ที่จะคิด นั่นคือเรื่องของบุคคล”

จำไม่ได้เลยหรือว่ามีกี่เบอร์
“จำไม่ได้เลย ให้สาบานให้ตายห่าเลยก็ได้ หนูไม่พูดโกหก”

แล้ววันนั้นเราได้ทำกี่ซิม?
“ 3 เลยค่ะ”

รู้สึกน้อยใจไหมทำไมชาวเน็ตบางคนยังไม่มูฟออนจากเรื่องเมื่อ 2 ปีที่แล้ว?
“คือหนูเข้าใจสังคม หนูเข้าใจประชาชนค่ะ เข้าใจพี่ๆนักข่าว จะบอกว่าตอนแรกหนูไม่เข้าใจวงการบันเทิง หนูเพิ่งเข้ามาแล้วพอเพิ่งเข้ามามันกลายเป็นว่าอันนี้ก็ดราม่า จากคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ปกติ พอวันหนึ่งมาแต่งงานกับซุปตาร์หรืออะไรแบบนี้มันกลายเป็นชีวิตมีแต่เรื่องดราม่า ตอนแรกไม่เข้าใจ หลังๆ 2 ปีนี้เริ่มทำความเข้าใจ เราก็เข้าใจสำหรับคนคอมเมนต์หรือด่าเราจะมองว่าไม่ดี แต่ขอแค่ให้ดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีใครมาชี้เป้า จะทำอะไรถ้าชี้เป้ากลายเป็นว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย กลายเป็นว่าเราผิดไปแล้ว”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7291282
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7291282