ปู โลกเบี้ยว เปิดสถานะหัวใจ คบแฟนมา 22 ปี ไม่คิดแต่งงาน เผยแพ้ความดีผู้ชาย
ถึงจะไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตา นักแสดงอารมณ์ดี ปู โลกเบี้ยว ผ่านทางหน้าจอในช่วงหลัง เพราะส่วนใหญ่เจ้าตัวทำหน้าที่ดีเจรายการวิทยุคลื่น FM 95 ลูกทุ่งมหานคร เพื่อให้ความสุขกับแฟนๆมากกว่า แถมยังใจดีดูดวงให้ฟรีผ่านทางหน้าปัดด้วย แถมลีลาการจัดรายการยังมันส์สุดขั้วตามสไตล์ และเพื่อให้แฟนๆได้หายคิดถึง รายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 เชิญดีเจสาวมาอัพเดตเรื่องราวชีวิต พร้อมเปิดสถานะหัวใจ คบกับแฟนมา 22 ปี แต่ทำไมไม่ขอแต่งงาน
เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
ปู โลกเบี้ยว เผยว่า “ตอนแรกๆเลยนะ เรากลัวคนจะแยกสมบัติเรามากเลย เราคิดว่าสิ่งที่เราทำมาเราจะไม่ให้ใคร แต่ตอนนี้ปรากฏว่าประกันชีวิตชื่อเขาหมดเลย เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเหมือนเป็นการพิสูจน์ว่า เขามาช่วยดูแลครอบครัวเราได้ ดูแลแม่ ดูแลน้องเพราะว่าแม่ปูอายุ 86 แล้ว เป็นอัลไซเมอร์ คือเขาแก่มาก ส่วนน้องชายกินเหล้ามากจนกลายเป็นเส้นเลือดในสมองแตก เพราะฉะนั้นต้องมีคนคอยดูแลด้วยความงกของเราก็ไม่จ้างใคร ถ้าเราออกมาทำงาน เขาก็จะเป็นคนดูแลแม่กับน้องชายเรา”
“เขาก็ดูแลให้หมดทุกอย่างเรื่องรถ เรื่องอะไรต่างๆที่เราไม่รู้ เราก็จะแบ่งหน้าที่ถูบ้านกันใครถูวันไหน เชื่อไหมบ้านเขาเป็นพวกผู้ดี ผู้ดีจริงๆนามสกุลเขาคือ ผู้ดีมาก ถึงขนาดเคยให้พี่สะใภ้มาดูเขาแล้วไปฟ้องแม่เขาว่าเราใช้ลูกเขาเก็บขี้หมา เขาเป็นลูกคุณหนู แต่ปูไม่สน ทุกวันนี้แม่เขามีความรู้สึกว่าพอมาคบกันเราลูกเขาดีขึ้น ลูกเขาไม่เคยเก็บที่นอนเลยเขาก็เก็บที่นอน ทำอะไรก็เป็นระเบียบ”
“แต่ด้วยปูเป็นคนรักอิสระ วิธีเดียวที่เราจะอยู่กับคนที่เรารักได้ก็คือ เราจะต้องให้เวลาแก่กัน เช่น อย่ามาโทรจิกไม่ชอบ ถ้าไม่โทรโอเคอยู่กันได้ เขาก็รู้ว่าเราทำงานเขาจะไม่ยุ่งกับเรา เรารู้ว่าเขาทำงานเราจะไม่ยุ่งกับเขา ถ้าให้อิสระกับเรามันจะดี ถ้าไม่ให้อิสระ อย่างที่บอกคนเราเจอกันทุกวันๆ มันมีสิทธิ์ที่จะทะเลาะกัน ทุกวันนี้พี่ถึงแยกห้องนอนแยกห้องน้ำ แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าฉันมีบ้านอยู่แค่นี้มันก็เบียดกัน อาจจะใช้วิธีแบบช่วงไหนที่คุณมีความรู้สึกว่าจะต้องทะเลาะกัน คนหนึ่งก็นอนโซฟา คนหนึ่งก็นอนเตียงแล้วกัน มันช่วยได้ ถ้าเราทุกคนเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เราจะอยู่กันได้ดีแล้วมีความสุข”
เคยดูดวงให้แฟนไหมว่าจะนอกใจหรือเปล่า?
“เคย ผู้หญิงทั่วไปจะมีเซนส์เรื่องพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่บังเอิญเราดูดวงเป็น แล้วเรารู้ว่าจังหวะชีวิตตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้ แล้วตัวเราพฤติกรรมเราเอง เราไม่ได้ตอบสนองเขาเต็มที่ นั่นแปลว่า 3 เหตุผลและที่แน่นอน พี่ก็ลองฮัลโหลเลย “ฮัลโหลอยู่กับใครอะ ขอคุยกับคนข้างๆหน่อยสิ” เขาก็เงียบ แล้วเขาก็ให้คุยกับคนข้างๆ พี่ก็บอกว่า “หนูมีปัญหาเรื่องความรักหรอ?” เขาก็ถามรู้ได้ยังไงคะ “เออ พี่ฉลาด” แล้วก็ถามวันเดือนปีเกิดเขา เขาก็มีปัญหาเรื่องแฟนจริงๆ แล้วเราก็ไม่พูดอะไร เพราะแค่นี้ทั้งคู่เขาก็จะต้องรู้สึกและเกรงเราแล้ว เขาก็จะไม่ไปทำอีก ถูกปะ แค่นั้นเอง เราไม่ใช่ แกมาแย่งผัวฉันหรอ ไม่”
โทรไปดูดวงให้เขาด้วย?
“โทร แล้วเราก็แก้ให้เขาด้วย พอหลังๆเราก็บอกว่าไม่ดูดวงเขาแล้วดีกว่าเพราะความทุกข์มันมาอยู่ที่ตัวเรา”
พี่ปูดูดวงจากอะไร?
“พี่ดูจากวันเดือนปีเกิด เพราะว่าวันเดือนปีเกิด มันบ่งบอกถึงนิสัยของคน แต่ว่ามันจะมีว่านิสัยลึกๆจะเป็นยังไงด้วยนะ พี่ก็จะคอยเปิดปฏิทิน คอยดูว่าคนนี้เป็นยังไง แล้วก็มีจังหวะชีวิตของคน ว่าจังหวะชีวิตของคนมันถึงตรงไหนแล้ว เช่น เขามาปรึกษาว่าเขาอยากจะลงทุน เราก็ดูจังหวะชีวิตเขาว่าน่าจะเสียเงินมากกว่าจะได้เงิน เราก็ไม่ไปค้านเขานะ ไม่ได้บอกว่าอย่านะ เพราะว่าใจเขาเนี่ยคิดจะไปลงทุนอยู่แล้ว เราก็บอกว่าทำแบบเล็กๆก่อน ทำน้อยๆหน่อย เมื่อขาดทุนมันก็จะได้ขาดทุนน้อย เนื่องจากเราดูแล้วว่านิสัยของเขาเนี่ยเป็นคนที่ไม่ฟังใคร ถ้าจะขาดทุนก็ขาดทุนด้วยมือตัวเองคนอื่นอย่ามาบอก เพราะฉะนั้นแบบนี้เราก็ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าคนๆนี้เราจะต้องพูดยังไงอะไรแบบนี้”
คนที่เขาอยากให้เราดูดวงให้ พอดูเสร็จ เขาไม่เหมาะกับอันนี้แน่เลย แต่ถ้าจะพูดหักหาญน้ำใจเขาก็ดูทำร้ายเกินไป?
“ใช่ๆ พี่อยากจะให้กำลังใจคนมากกว่า เพราะพี่มีความรู้สึกว่า การให้กำลังใจคน สำหรับคนที่ชอบมาดูดวง เราให้คำปรึกษาเขา เหมือนเราให้เลือด สมมติเราให้กำลังใจอั๋น อั๋นมีครอบครัว อั๋นมีพลังในการไปเลี้ยงครอบครัว ลูกเขาเป็นคนที่สำคัญต่อประเทศชาติ แต่ถ้าเราไม่ให้กำลังใจคนนี้ ครอบครัวเขาอาจจะล้มไปเลยก็ได้ พี่มีความรู้สึกว่าเราต้องให้กำลังใจมากกว่าจะไปหักหาญ เราต้องดูให้ดีๆ ไม่ใช่อยู่ๆก็อยากจะไปเตือนเขา พี่เลยต้องดูลักษณะนิสัยของคนคนนั้น แล้วพี่ก็ไม่รับดูดวงใครด้วย เพราะเนื่องจากพี่มีความรู้สึกว่า ถ้าไปเอาเงินเขามา เขาเสียเงินมาแล้วเขาจะต้องดูเยอะ ดูพ่อตาแม่ยาย ผัวลูกเต้าเยอะไปหมดเลย แลวพี่จะรู้สึกว่าพี่จะเสียความเป็นส่วนตัวพี่ แต่ถ้าใครอยากให้พี่ดู เขาก็มาถาม หรือพี่ถามจะถามอะไรไหม ขนาดเราโทรศัพท์ไปคอลเซ็นเตอร์หรืออะไรก็ตาม เขาก็จะบอกก่อนว่า “คุณยุวดี เรืองฉายหรือเปล่า?” เราก็บอกใช่ เขาก็เงียบ เราก็ถามว่า อยากจะถามอะไรพี่ไหม คือหนูเนี่ยอาจจะพูดอะไรไม่ได้เพราะว่ามันมีการอัดเสียง เขาก็จะบอกวันเดือนปีเกิดมา เราก็พูดๆไป ขอบคุณนะคะอะไรแบบนี้”
ถ้ารับดูดวงแบบรายคนจะรวยมาก แต่เราทำเป็นวิทยุแล้วดูฟรี?
“คืองี้ ตอนแรกๆเลยนะ พี่เรียนใหม่ อาจารย์คนแรกบอกว่าเราต้องมีค่าครูให้ค่าครู พี่ก็เก็บ โหว…ดูแบบว่าเยอะมาก คนนึงเป็นชั่วโมงสองชั่วโมงอะไรงี้ไม่ไหวมั้ง พอเรียนไปเรื่อยๆมีอาจารย์คนหนึ่ง เขาอยู่ในวงการแล้วก็ไปบวชแล้วก็กลับมาเป็นคนสอน ท่านก็บอกว่า “ไอ้ปูเอ๊ย ถ้าเราดูให้เขาได้ฟรีๆโดยไม่เก็บเงิน แต่เรามีเงินในการเลี้ยงตัวเองจากอาชีพอื่น ทำให้เขาเถอะนะ” เราก็บอก ทำไมล่ะ เพราะคนที่เขามาหาเราแปลว่าเขาทุกข์ เราให้กำลังใจ เราให้อะไรเขาอย่างเนี่ย เหมือนที่บอกพอคนนี้มีกำลังใจเขาก็ทำให้ครอบครัวเขาดี ครอบครัวเขามีสมาชิกหลายคน เท่ากับเราช่วยได้ไม่รู้กี่สิบชีวิต ส่งต่อพลังบวก อันนี้จะดีกว่า จนกว่าเราไม่มีปัญญาในการหาเงินที่อื่นแล้ว ค่อยมาเก็บเงินกับเรื่องของการดูดวง พี่ก็เลยถ้ามีอีเวนท์ก็เก็บกับอีเวนท์ เพราะอีเวนท์จ่ายตังค์เยอะหน่อย แล้วก็ไม่ได้ดูมาก อยากจะบอกเลยนะ คนที่มาดูดวงเนี่ยเขาจะจำแค่สิ่งดีๆ สิ่งไม่ดีคือจำแป๊บเดียวเขาจะไม่จำ สมมติเราบอก เดี๋ยวอีกสัก 3 ปี 5 ปี 6ปี เขาจะเป็นอะไร ไม่มีใครจำหรอกเชื่อไหม? เพราะฉะนั้นการดูไม่จำเป็นต้องดูแบบลึกหรืออะไรขนาดนั้น แล้วก็ไม่ต้องดูนาน แล้วก็การไปเก็บเงินเขาแล้วก็มาดูนิดหน่อยเนี่ย มันก็มีความรู้สึกไม่คุ้ม”
มีคำถามอะไรไหม ที่ไม่ควรถามหมอดูเลย?
“จริงๆเลยนะ เขาเรียกว่าจรรยาบรรณ ข้อที่ 1 ห้ามบอกว่าเขาจะตาย ห้ามบอก ซึ่งเรารู้ว่ามันน่าจะมีอุบัติเหตุถึงขนาดน่ากลัวเลยทีเดียว อย่างคนที่ตาลอย ไปดูตามหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ตามันจะลอยขึ้นมาแบบนี้ (ทำตาให้ดู) มันจะเห็นตาขาว 3 ด้าน ตามนุษย์เรามองไปเราจะเห็นตาขาว 2 ด้านใช่ปะ ซ้าย-ขวา แต่ถ้ามันลอยขึ้นโดยที่เขาไม่ได้ง่วงนอนหรืออะไรแบบนี้นะ แล้วเราเห็นตาขาว 3 ด้านเนี่ย พวกนี้ตายโหง ไม่งั้นก็ตายก่อนวัยแน่ๆ”
เราดูดวงให้ตัวเองอยู่เสมอไหม?
“ไม่ค่อย แต่มีบางครั้งก็ได้ดูเพราะว่า เขาไม่ให้ดูดวงตัวเองเพราะอะไรรู้ไหม? เขาบอกว่า อย่าดูดวงให้ตัวเองนะ เพราะว่าเราจะเข้าข้างตัวเอง มนุษย์ทุกคนก็จะเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น ทั้งๆที่เราผิดเราก็จะเข้าข้างตัวเองถูกปะ เหมือนกัน เราก็จะเข้าข้างตัวเอง เพราะฉะนั้นเลยไม่ค่อยดูดวงตัวเอง แต่ก็มีบ้างที่เราอาจจะมีลางสังหรณ์เป็นธรรมดา
เคยแอบดูดูดวงแม่จะเป็นยังไง หรือดูดวงคนนั้นคนนี้ถ้าวันนี้จะต้องดิลงานกับใคร แอบดีกว่า?
“อันนี้สมควร ถ้าเรื่องจะต้องทำมาหากินอะไรงี้ เราต้องดูนะ เหมือนที่คนโบราณเขาย่างซ้ายขวาดูเวลา เราก็ต้องดู ถ้าเราอยากจะให้ราบรื่นต้อง เราก็ต้องดูนิดนึง แล้วมันเป็นเรื่องที่แปลกมากเลยนะ ถ้าเราดูว่าวันนี้เราไปเจอกับคนนี้แล้วมันถูกกัน มันก็คุยกันถูกคอ แต่ถ้าหากไปเจอคนที่เราไม่ถูกกัน เราต้องระวังคำพูดให้มาก มันก็เป็นเหมือนสิ่งที่เตือน การดูดวงมันเหมือนเรารู้แผนที่ชี้ว่าเราควรจะไปซ้ายหรือไปขวาหรือเราจะหยุด มันก็เป็นสิ่งที่ดีไง เพียงแต่ว่าถ้าเราไปเจอหมอดูที่เขาหากินธุรกิจ เราก็อาจจะโดนเขาหลอก”
ถ้าเราตั้งใจดูดวงตัวเองแบบไม่เข้าข้าง ตอบได้เลยมั้ยว่าจะตายเมื่อไหร่?
“ไม่ได้ เพราะพี่ยังไม่เคยได้ดู มันต้องดูละเอียดมากว่าตายเมื่อไหร่ พี่ยังไม่เคยดูตัวเองเรื่องตายเลยไง พี่ก็ไม่รู้ ขนาดพี่รู้ว่าตัวเองงานไม่มีหรือว่าชีวิตแย่ แต่พี่ไม่เคยทุกข์เลยว่า อุ๊ย ชีวิตฉันแย่ ฉันอะไร เมื่อกี้เราคุยเรื่องของการลงทุนในกองทุน พี่ก็ลงทุนในกองทุน หายไปแบบ…เราไม่ได้หายคนดียว แล้วพี่ก็รู้ว่าช่วงนี้มันไม่สามารถตีกลับมาได้ พี่ก็รู้ตัวเองดี เพราะพี่ดูดวงตัวเอง พี่ก็จะไม่ไปยุ่งกับการเปิดดูเลย เพื่อพี่จะได้ไม่ประสาทแดกถูกปะ ถ้าพี่ประสาทกินปั๊บแย่เลย นี่คือสิ่งที่พี่ป้องกันตัวเอง เช่นเดียวกับการที่พี่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างนี้ พี่ก็จะเตือนเขาแค่นี้เหมือนกัน”
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_4381689
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_4381689