ทอม อิศรา ถูกคนรุมด่าทิ้งเพื่อน รับร้องไห้ทุกวัน หลังยุบวง Room39


ให้คะแนน


แชร์

หลังจากที่นักร้องหนุ่ม ทอม อิศรา กิจนิตย์ชีว์ หรือ หน้ากากทุเรียน ได้ตัดสินใจออกจากวง Room39 และหลายคนก็มองว่านักร้องหนุ่มนั้นทิ้งเพื่อน และเรื่องราวนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากปากของหนุ่มทอมเลย มีแค่การโพสต์ระบายผ่านทางเฟซบุ๊ก จนกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงอย่างหนัก

ล่าสุด นักร้องหนุ่ม ทอม อิศรา ได้เจอกับนักข่าว และเมื่อถูกถามถึงเรื่องดราม่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงเรื่องราวดราม่าต่างๆ ว่า

ข่าวแนะนำ

“คือจริงๆ แล้วผมว่าผมอธิบายไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ของผมเอง บนทวิตเตอร์ หรือว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจผม ใครที่ติดตามแล้วอ่านตามไทม์ไลน์ต่างๆ จะเข้าใจอยู่แล้ว ผมก็เชื่อว่าการที่ถ้าจะให้พูดตรงนี้ มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมเองทำใจได้แล้ว

ก็พร้อมที่จะก้าวข้ามผ่านไปแล้ว พี่ๆ ทั้งสองคนก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆ แล้วก็ประสบความสำเร็จเรื่อยๆ อย่างผมก็ยังพยายามทำงานของผมเองอยู่ ซึ่งทุกคนกำลังเข้าที่อยู่บนทางของตัวเองที่ดีแล้ว การที่จะต้องมานั่งพูดถึง ว่าเรื่องดีเทลยิบย่อยเป็นยังไง ผมว่ามันไม่น่าจะเหมาะสม

แล้วตัวเองหรือตัวพี่เขาเองมันหมดความรู้สึกที่จะมาเคืองกัน ผมเชื่อว่าคนเราพอถอยออกมา มันเริ่มเห็นปัญหา เริ่มเข้าใจคนคนนั้นมากขึ้น มากกว่าการที่เราอยู่ใกล้ๆ กัน ทำงานด้วยกันใกล้ๆ ตลอดเวลา มีอะไรที่มันเป็นไปตามสิ่งที่เราคาดหวังไว้ในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องต่างๆ

บางทีตอนนั้นเราอาจจะแยกแยะกันไม่ได้ แต่พอเป็นแบบนี้มันไม่มีปัญหา เดี๋ยวโชว์ที่ season of love song ผมก็มีเล่น พี่เขาเองก็มีเล่น ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน เพลงก็ไม่มีปัญหา เราคุยกันแล้วว่าโอเค เดี๋ยวใครจะใช้เพลงไหน ลิสต์เพลงเป็นยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรเลย

คิดว่าอธิบายช้าไปมั้ย?
“ผมอยากลองปล่อยให้มันเป็นไปดีกว่า ไม่คิดว่าเรื่องของผมจะต้องออกมาพูด เวลาที่เสียใจต้องรีบออกมาระบาย มันเป็นอะไรยังไง ผมเชื่อว่าสถานการณ์มันจะยิ่งไปกันใหญ่ จริงๆ ถ้าไม่ได้มีคนสนใจ ไม่ได้มีคนถามถึง ก็อาจจะเงียบไปเฉยๆ ก็ได้ ถูกไหมครับ

แต่การที่เราต้องการให้คนข้างนอกรู้เยอะ ต่างคนก็ต่างมีวิจารณญาณต่างกัน บางคนอาจจะคิดไปว่าเป็นแบบนี้ เป็นแบบนั้นแน่เลย เพราะมันเป็นเรื่องสนุกของคนอื่น สนุกคิด คิดไปเรื่อยเลย แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นยังไง เราจะออกมาพูดได้มากน้อยแค่ไหน หรืออะไรอย่างไร

แต่ผมก็คิดว่า ณ วันนั้นผมเองพูดโดยไม่ได้ใช้อารมณ์แล้ว มันผ่านมานานแล้ว ถ้าผมพูดเลยตอนนั้นมันอาจจะเป็นอารมณ์ การที่เรามาพูดทีหลังคือเราใจเย็นแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ที่บอกคือจะได้เคลียร์จบ เรารู้สึกแค่นี้เอง”

ตอนนั้นตัวเราเองก็ถูกโจมตีเยอะมาก ช่วงก่อนที่เราจะออกมาอธิบาย?
“ผมเข้าใจครับ แต่ถ้าจะให้พูด ผมก็คิดว่าผมเองก็แย่นะ ผมก็รู้สึกแย่ที่บางคนอาจจะไม่ได้รู้เรื่องราวหรือบางคนอาจจะได้ยินมาว่าอย่างไร ผมก็ยอมรับครับว่าผมรู้สึกแย่ แต่ว่าผมได้ภรรยาที่เข้าใจ รวมถึงผมยังมีเพื่อนที่เข้าใจผม

คือผมเป็นคนแคร์คนทั้งโลกนะ หลายคนอาจจะบอกว่าไม่ต้องไปแคร์หรอกคนทั้งโลก แต่ผมทำไม่ได้ แค่ผมเห็นคอมเมนต์อันหนึ่งที่มันไม่ดีและมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็รู้สึกแย่แล้วครับ แต่ว่ามันก็โชคดีตรงที่คนรอบข้างผมเขายังให้กำลังใจ”

เราทนได้อย่างไรกับสิ่งที่คนวิจารณ์เราในตอนนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ความจริง?
“ผมเสียใจมากครับ ผมก็ยอมรับนะว่าผมเป็นภาวะ (ยิ้ม) แต่ว่าผมผ่านมาได้เพราะคนข้างๆ เข้าใจ คนข้างๆ เข้าใจผมจริงๆ เขารับฟังผมในเรื่องเดิมๆ

ผมเสียใจเรื่องเดิมๆ มันวนเวียนอยู่อย่างนั้น และผมเองก็ไม่สบายใจทุกครั้งที่ขึ้นไปบนเวที คือเหมือนเราไม่รู้เลยว่าคนที่เขาดูเราอยู่เขาคิดอย่างไร มันต้องใช้เวลาเยอะมากครับ”

ตอนนั้นเราเสียใจแค่ไหน เพราะเราเคยเป็นคนที่มีคนรักมาก แต่พอเกิดเรื่องนี้ก็กลายเป็นว่าเราถูกต่อว่าหนักเหมือนกัน?
“เอ่อ…มันคงไม่เสียใจมากไปกว่าการที่ผมเสียคุณพ่อครับ แต่ถามว่ามันเสียใจมั้ย มันเป็นความรู้สึกที่เอ่อ…ผมไม่เรียกว่าเสียใจ คือผมไม่รู้จะอธิบายคำนั้นว่าอย่างไรดี มันเหมือนกับเราไม่มั่นใจอะไรไปเลยมากกว่า”

 มีหลายคนที่เขาบอกว่าผิดหวังในตัวเรา?
“ผมเห็นทุกอันเลยครับ ถามว่าผมจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร ก็…ร้องไห้มั้ง ผมคิดว่าร้องไห้ก็คงจะดีขึ้นครับ มีภรรยาอยู่เคียงข้าง เขาฟังผมร้องไห้ทุกวัน ผมถึงได้ขอบคุณเขามากๆ เขายอมอยู่กับผมในวันที่ผมร้องไห้ทุกวันได้ ร้องไห้กับเรื่องเดิมๆ ได้”

ใช้คำว่าปลดล็อกได้มั้ยกับสิ่งที่เราได้อธิบายให้ทุกคนฟัง?
“ก็ปลดล็อกแล้วนะครับ นั่นแหละผมคิดว่าเป็นเพราะผมไม่ได้พูดมากกว่า สุดท้ายแล้วใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจยังไงก็แล้วแต่ แต่ผมได้พูดแล้ว ที่ผ่านมาผมพยายามจะให้ทุกคนเข้าใจด้วยตัวเอง แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ

ตอนนี้ผมคิดว่าผมดีขึ้นแล้วนะครับ แต่ก็อาจจะมีบ้างว่าแว่บๆ สภาพจิตใจผมก็ตั้งเป้ากับตัวเองไว้ครับว่าอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ผมก็จะพยายามมีความสุขกับมัน

หลังจากนี้อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมมีความสุขผมก็จะแฮปปี้ไปกับมัน ผมไม่ได้ตั้งเป้าเลยว่าผมจะทำอะไรให้ตัวเองมีความสุข แต่ผมเลือกที่จะมีความสุขกับอะไรก็ได้มากกว่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นผมก็จะวนกลับไปเหมือนเดิมอีก”

การทำเพลงของเราหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
“ตอนนี้ก็จะมีพี่ๆ เข้ามาคอยช่วยครับ ไม่ว่าจะเป็น พี่ตู่, พี่ว่าน, พี่ๆ ลิปดา ตอนนี้เราก็อยู่กันเหมือนเป็นครอบครัว เป็นสังคมเล็กๆ ที่พูดคุยกันเรื่องงานคุยเรื่องเพลง และก็อาจจะมีโชว์ที่ไปแจมกันบ้าง อีกหน่อยก็จะมี พี่โอ๊ต มาเล่นด้วยอะไรประมาณนี้ครับ

เพลงใหม่ของผมประมาณเดือนธันวาคมนี้ ผมก็ตั้งใจว่าจะปล่อยเพลงออกมา ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ทำงานกับ พี่แทน ลิปดา และก็ได้ พี่ไก่ สุธี มาคุมเรื่องตัดให้ ทำเองเลยครับสนุกดี มันก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ได้ทำงานและก็ลืมอะไรต่างๆ”.

อ่านเพิ่มเติม…

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1983520
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1983520