จิมมี่ กานต์ เล่นซีรีส์วายเกาหลีครั้งแรก คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต


ให้คะแนน


แชร์

ระยะหลังมานี้เหล่าผู้สร้างซีรีส์เกาหลีได้หันมาจับตลาดซีรีส์วายหรือซีรีส์แนว Boy’s Love (BL) กันมากขึ้น จนทำเอาซีรีส์วายสัญชาติเกาหลีหลายเรื่อง อาทิ Mr.Heart, Color Rush, To My Star, Nobleman Ryu’s Wedding ได้รับความสนใจจนโด่งดังข้ามประเทศเลยทีเดียว

ล่าสุดนักแสดงหนุ่ม จิมมี่ กานต์ กฤษณะพันธ์ พร้อมด้วยคู่จิ้น ทอมมี่ สิทธิโชค เผือกพูลผล ได้รับเกียรติถูกคัดเลือกให้ไปเล่นซีรีส์วายของแดนกิมจิเป็นครั้งแรกกับเรื่อง Peach of Time งานนี้ทำเอา 2 นักแสดงหนุ่มตื่นเต้นเป็นอย่างมาก 

ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์หนุ่ม จิมมี่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเจ้าตัวตื่นเต้นสุดๆ หลังจากที่ได้เป็นนักแสดงนำซีรีส์วายเกาหลีเป็นครั้งแรก เหมือนได้โกอินเตอร์กันเลยทีเดียว ซึ่งเสียงตอบรับจากแฟนๆ นั้นดีมาก อีกทั้งทำให้เป็นที่รู้จักโด่งดังเกือบทั่วโลกไปแล้ว  

ได้เล่นซีรีส์เกาหลีเป็นจุดเปลี่ยนทุกอย่างของชีวิต

“สำหรับผมนะมันคือความรู้สึกตอนแรกที่เราต้องไปเล่นที่เกาหลี เรารู้สึกงงมาก คือเรานั่งอยู่บนรถตู้แล้วก็ได้ข่าวว่าเดี๋ยว จิมมี่-ทอมมี่ จะได้ไปเล่นซีรีส์เกาหลีนะ เราก็ตกใจว่าจริงเหรอ จนตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เราถ่ายทำมาเสร็จสิ้นแล้ว

ผมจะเรียกว่ายังไงดี มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผมเลยนะ ที่ได้มาเล่นซีรีส์เกาหลี มันทำให้ผมรู้สึกเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นในการทำงานครับ มันก็เหมือนว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นได้อีกระดับครับ

ถามว่าปรับตัวการทำงานมากน้อยขนาดไหน ผมว่าการที่เราไปที่นั่นเหมือนเราต้องทิ้งความเป็นตัวเราที่เคยเป็นตัวเราทุกอย่าง แล้วก็ไปทำงานที่นั่นเลย เราต้องปรับตัวให้พร้อมกับทุกสถานการณ์จริงๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเราไปอยู่ตรงนั้นเราจะเจออะไรบ้าง

การปรับตัวเรื่องแรกของผมคือการปรับตัวการทำงานครับ การทำงานของเกาหลีกับของไทยค่อนข้างต่างกันมากครับ ความทุ่มเทอยากให้ทุกอย่างออกมาดี มันทำให้เรารู้สึกว่า นี่แหละ การทำงานมันต้องอย่างนี้ คือตัวผมตอนแรกที่อยู่ที่ไทย ไม่ได้ทุ่มเทกับมันมากพอที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของงาน แต่พอผมไปทำงานที่เกาหลีปุ๊บ รู้เลยว่า เขาทำงานกันอย่างนี้

การปรับตัว ที่เกาหลีด้วยซ้ำที่ต้องปรับตัวเพื่อเรา คือการทำงานที่ไทย จะต้องมีคนคอยคอนทินิวให้ใช่มั้ย แต่พอไปที่เกาหลี มันไม่มีคนคอนทินิวให้แล้ว คนคอนทินิวคือคนที่จะคอยวิ่งมาบอกเราว่า จากซีนเดิมที่เราเล่นก่อนหน้า เราเอามือวางไว้ตรงไหน เราเกาจมูกด้วยมือข้างไหน

ถ้าที่ไทยจะมีคนคอยจดไว้ แต่ที่เกาหลีไม่มี ซึ่งเขาปรับตัวให้เราด้วยการเอาคนที่เป็นแอ็กติ้งโค้ชในกอง มาจดว่าเมื่อกี้เราเอามือวางไว้ตรงไหน ทำอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้เขาปรับตัวให้เรา และเราก็ต้องปรับตัวให้เขาด้วยการที่ทำอะไรต้องเร็ว ทุกอย่างต้องตามเวลาเพราะที่เกาหลีเขาค่อนข้างจะซีเรียสเรื่องเวลามาก”

แม้ทุกอย่างจะยาก แต่ทำได้ผ่านฉลุย

“ส่วนเรื่องภาษาเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเลยครับ คือการที่เราอยู่ในกองถ่ายแล้วต้องทำงานกับคนต่างภาษากับเรา คือเราหันไปรอบตัว ก็เจอคนที่ใช้ภาษาไทยอยู่ประมาณ 5 คน จากคนในกอง 20 คน

ในวันที่ ทอมมี่ ไม่ได้ไปถ่ายก็จะเหงาๆ หน่อย เพราะปกติเวลาถ่ายในฉากเสร็จพอหมดส่วนของเราก็จะออกมานั่งเล่นพูดคุยเฮฮากับคนในกอง แต่พอที่นี่เราไม่มีใครให้คุยด้วย ก็จะนั่งเหงาๆ ซีเรียสหน่อย ก็จะกลายเป็นว่ามันเครียดไปเรื่อยๆ 

ด้วยความที่เราใช้ภาษากันคนละภาษา เลยทำให้กำแพงด้านการส่งอารมณ์มันยาก การพูด การแอ็กติ้ง ผู้กำกับเป็นคนเกาหลี ก็จะไม่ค่อยเข้าใจการแสดงแบบไทย เราต้องมาปรับจูนกันเยอะมากเหมือนกัน ทำให้การถ่ายทำครั้งนี้ต้องเจออุปสรรคเยอะ แต่เราก็รู้สึกสนุกไปกับอุปสรรคนั้นๆ ด้วยเหมือนกันครับ”

“ถามว่าผ่านมาได้ด้วยดีมั้ย แต่เท่าที่ผมรู้สึกนะ หลังถ่ายทำการเสร็จเรียบร้อยแล้ว PD (โปรดิวเซอร์) เขาบอกว่าการถ่ายทำครั้งนี้ รู้สึกทุกอย่างมันราบรื่นไปหมด ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกอย่างไปตามตารางที่เขาอยากให้เป็น ผมว่ามันดีนะที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี โดยที่ไม่มีอะไรผิดพลาด”

โล่งอกหลังได้รับฟีดแบ็กจากคนดูไปในทิศทางที่ดี

“จากที่ดูนะ เสียงตอบรับจากแฟนๆ ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะไปทางที่ดี ที่ผมพูดว่ามันค่อนข้างดี เพราะตัวผมเองเรารู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เราไม่ได้ทำมันได้ดีขนาดนั้น สำหรับตัวของผมนะ ตอนที่อยู่เกาหลีผมรู้สึกว่าเราทำเต็มที่มาก แต่ว่าพอมันออกมาแล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เล่นดีหรืออะไร 

มันมีอยู่ช่วงนึงก่อนที่ซีรีส์จะออน มันมีความรู้สึกว่าเหมือนเราถือเอกสารเตรียมส่งงานให้อาจารย์เลยอะ เหมือนเราจะต้องส่งงานที่เราไม่ได้มั่นใจอะ แล้วพอมันออกมา ก็มีแฟนคลับหรือคนที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ เขาชมว่าเราแสดงน่ารักดีทั้งๆ ที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราแสดงดี มันกลายเป็นว่าเรารู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ทำได้ อย่างน้อยก็มีคนชมเรา ฟีดแบ็กส่วนใหญ่ไปในทางที่ดี มีคนเข้าใจเราเยอะมากว่าเราต้องเจออะไรบ้างที่เกาหลี มันทำให้เราซึ้งใจมาก”

รู้สึกตัวเองโชคดีและโชคร้ายในคราวเดียว

“ในวันที่ผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง มันเริ่มเมื่อประมาณปี 2018 เมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ การเข้ามาทำงานของผมมันง่ายมากครับ มันไม่ได้มีสตอรี่อะไรเยอะเลย ด้วยความที่เราเป็นเด็กคนหนึ่งที่สอบติดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และเราต้องขึ้นมาเรียนในกรุงเทพฯ

แล้วคราวนี้พอเรามาเรียนกรุงเทพฯ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้อยากแค่เรียน แต่เราอยากทำงาน อยากหาอะไรทำไปด้วย เลยบอกแม่ว่าอยากหาอะไรทำ และผมมีญาติที่เขารู้เรื่องเบื้องหลังของนักแสดงครับ เขาก็พอจะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาก็เอาผมไปถ่ายโปรไฟล์

แล้วพอผมไปถ่ายโปรไฟล์เสร็จ วันดีคืนดีผมก็บอกพี่เขาว่า ผมอยากเริ่มต้นด้วยการเดินแบบหรือไปถ่ายโฆษณา ผมก็ไปเดินแบบมางานนึง แล้วไปแคสต์โฆษณาแค่ตัวเดียว แล้วถ่ายโปรไฟล์เรียบร้อย

พี่อ๊อฟ ที่เป็นผู้จัดการ ดูมันดิ (DoMunDi) มาเห็นครับ คงถูกใจไอ้เด็กหัวถั่วงอกนี่ ก็เลยเรียกเราไปเล่นซีรีส์เรื่อง WHY R U THE SERIES เพราะรักใช่เปล่า จากนั้นมาผมก็มีชื่อเสียงจากเรื่องนั้นเลย และเป็นที่รู้จัก คือมันไม่มีสตอรี่อะไรมากเลย มันมาแค่นี้จริงๆ ครับ (ยิ้มเขิน)”

“ถามว่ารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมั้ยที่มาถึงจุดนี้ได้ภายในเวลา 3 ปี ผมว่ามันค่อนข้างที่จะเรียกว่า โชคดีมากเลยดีกว่าครับ แต่ก็รู้สึกว่ามันมีข้อเสียเหมือนกันนะ เรารู้สึกว่าที่เรามาถึงตรงนี้ โดยที่ไม่ได้ลงทุนหรือลงแรงอะไรเลย ทุกอย่างมาด้วยเพราะผู้ใหญ่หมดเลย ที่อุตส่าห์ลงทุนกับเรา เคี่ยวเข็ญเรา

แต่เรื่องส่วนใหญ่ที่รู้สึกยากก็คือการปรับตัวครับ เพราะมันเร็วมากๆ กับการที่เราเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อยากจะมีซีรีส์ อยากเล่นซีรีส์เพราะตอนนั้นเราอยู่มัธยมแล้วซีรีส์เรื่อง ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น กำลังมาเลย ดังมาก แล้วเราก็เห็นว่า เขาดังมากเลย เล่นหนังด้วย น่าจะสนุก เราแค่อยากมาอยู่ในจอทีวีแค่นั้น แล้วอยู่ๆ เราก็ได้ขึ้นมาจริงๆ เรื่องการปรับตัวเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเลยครับ”

เพราะเป็นเด็กติดเกม เลยทำให้เก่งภาษาอังกฤษไปด้วย

“ตัวผมสอบติด ม.เกษตรฯ แต่ผมรู้สึกว่าตัวผมไม่เก่งอะไรเลย ยกเว้นถ้าที่พอจะไปได้ถ้าไม่ใช่เล่นเกมก็เก่งภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย เราจะเป็นคนที่ไม่ได้อะไรเลย ผมจะได้แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวจริงๆ เพราะมาจากการเล่นเกมล้วนๆ เลย (หัวเราะ)”

หนุ่มสูงโปร่ง 192 ซม.

เมื่อเราถามต่อว่า จิมมี่ นั้นสูง 192 ซม. เลยหรือ เจ้าตัวบอกว่า “ผมสูง 192 ซม. แต่เท่าที่คิดเองคือผมว่ามันเป็นเพราะช่วงวัยด้วย ตอนเด็กๆ ผมสูงมาก ไม่ได้อยู่นิ่งๆ ชอบปีนป่าย กระโดด รู้สึกว่าตัวเองเท่มากในการที่จะได้ตีลังกาปีนป่ายมาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ผมรู้สึกว่าเราได้ออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็กครับ

แล้วพอเราออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก ร่างกายมันเหมือนน่าจะได้ใช้เยอะมั้งครับ แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงที่ว่า พอเราอยู่ ม.ต้น เราก็เริ่มรูัจักการเล่นเกมอย่างจริงจัง เลยทำให้เราแทบไม่ได้ขยับไปไหนเลย แล้วผมเป็นคนนอนเยอะด้วย เล่นเสร็จแล้วง่วงก็ไปนอน มันเลยทำให้ร่างกายเราน่าจะยื่นเยอะ ตอน ม.2 ผมสูงประมาณ 160 ซม. พอ ม.3 ผมเด้งขึ้นไป 185 ซม. ด้วยการปิดเทอมไป 3-4 เดือนเท่านั้น”

สนิทกับ ทอมมี่ แบบมิได้นัดหมาย

“ผมไม่เขินเลยนะ ใช่มั้ย แต่มันก็เขินแหละ แต่ไม่รู้สึกแปลกเลยนะ ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาจิ้นกับคนนี้ ฉันก็ไม่รู้ อยู่ๆ หัวใจก็มีเธอเข้ามาวุ่นวายในใจ (หัวเราะ) 

พี่อ๊อฟ ดึงเข้ามา ให้เราเข้ามาเล่นในรายการ ดูมันดิ ก่อนที่จะเข้าไปเล่นในซีรีส์ ไปชินกับกล้องก่อน ซึ่งก๊วนดูมันดิเราค่อนข้างที่จะสนิทกันเร็ว แน่นแฟ้นกันข้างในค่อนข้างที่จะเยอะครับ แล้วเราเป็นเด็กคนหนึ่งที่เข้ามาด้วยหน้าตาตื่นๆ แล้วเราไปถ่ายโฆษณางานหนึ่ง ทุกคนก็จะเดินออกมาทักทายเรา

แล้วเราก็หันหางตาไปมองมุมหนึ่ง เจอเด็กตัวเล็กๆ นั่งเล่นเกมอยู่ แล้วก็มองเรา ดูเหนียมๆ อายๆ เราก็รู้สึกว่า น่าจะเป็น พี่ทอมมี่ ที่เราต้องเล่นด้วย แต่ก็คิดว่า นี่ทอมมี่เหรอ ไม่เห็นมาทักทายกันเลย ถ้าทำงานด้วยกันจะเป็นยังไงเนี่ย (หัวเราะ)

ตอนแรกๆ ก็คิดว่าจะได้เหรอ แต่พอคุยไปเรื่อยๆ เราก็สนิทกัน แบบไม่ได้คิดว่าเราจะต้องสนิทอะ เป็นความสนิทที่แบบเรามีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน เหมือนกันจนสนิทกันแบบมิได้นัดหมายเลยครับ จนกระทั่งได้มาเล่นซีรีส์เกาหลีด้วยกัน เหมือนเรามีกัน 2 คนครับ เป็นนักแสดงที่ใช้ภาษาไทย”

ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ซัพพอร์ตด้วยดีเสมอมา

“ผมขอฝากซีรีส์เกาหลีที่ผมเล่นเรื่อง Peach of Time ด้วยนะครับ ออนแอร์ทางแพลตฟอร์มของ WeTV นะครับ สำหรับใครที่จะยังไม่ได้ดูตามไปเก็บได้นะครับ ฝากติดตามด้วย มันเหมือนเป็นผลงานที่ผมได้เข้าใจโลก เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ปลดล็อกการทำงานด้วยครับ 

ตอนนี้มีแฟนคลับทั่วโลกแล้ว ซึ่งคำว่า ทั่วโลก นี้ผมรู้สึกว่าเขามาจากทั่วโลกจริงๆ ต้องขอบคุณแฟนคลับทุกคนเลยที่ติดตามผมมาตั้งแต่แรก ติดตามเรามาจริงๆ เพราะตั้งแต่ตอนที่เล่นเรื่อง WHY R U THE SERIES เพราะรักใช่เปล่า หลังจากจบเรื่องนั้นมา ผมก็หายไปเลยเพราะเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด แต่ทุกคนก็ยังอยู่กับผมถึงทุกวันนี้

ต้องขอบคุณมากจริงๆ ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เปิดอินสตาแกรมมา และมีผู้ติดตามแค่หลักพัน แล้วอยู่ๆ ก็ได้หลายคนมาสนับสนุน ขอบคุณมากจริงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าใครคิดยังไง แต่ผมรู้สึกว่าแฟนคลับของผมตอนนี้เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนครอบครัวที่พร้อมจะคุยกัน พร้อมที่จะฮีลใจกันตลอด

ทุกวันนี้ถ้าผมไม่ได้เปิดทวิตเตอร์ขึ้นมา ได้คุยกับแฟนๆ และทักทายแฟนๆ ได้นั่งดูที่แฟนๆ เขาส่งมาในทวิตเตอร์ ในไอจีมันก็คงจะเหงาน่าดู เพราะชีวิตผมตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรเลย เพราะช่วงโควิดผมเหงามาก เพื่อนๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันก็ต้องแยกจากกัน แยกกันอยู่ แต่ยังมีแฟนๆ ที่ส่งภาพหมาแมวมาทั้งทวิตเตอร์ ส่งข้อความมาทักทาย ทำให้ไม่เหงาเลยครับ”

สุดท้ายนี้ หนุ่มจิมมี่ ยังได้ฝากขอบคุณทุกๆ โอกาสในชีวิต ที่หลายคนได้ยื่นมาให้ เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต พร้อมสัญญาว่า จะทำทุกงาน ทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อแฟนๆ และคนรอบข้าง

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Varanya Phae-araya

ภาพประกอบจากอินสตาแกรม jimmy.jimmoi

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2204486
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2204486