นนท์ ธนนท์ เปิดบทเรียน เจอคำดูถูกนับไม่ถ้วน ลั่นวงการบันเทิงวุ่นวายเกินไป


ให้คะแนน


แชร์

นนท์ ธนนท์ เปิดบทเรียนในวงการ เจอคำดูถูกนับไม่ถ้วน ลั่นวงการบันเทิงวุ่นวายเกินไป เคลียร์ดราม่าขึ้นแท่นกรรมการรายการร้องเพลงอายุน้อยที่สุด คนมองวัยวุฒิไม่ถึง

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

นักร้องเสียงดี นนท์ ธนนท์ ที่วันนี้มาเคลียร์ประเด็นดราม่าขึ้นแท่นกรรมการรายการร้องเพลงที่อายุน้อยที่สุด จนคนมองว่าวัยวุฒิไม่ถึง พร้อมเผยเส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 9 ปี โดนคำดูถูกสารพัด ถึงขั้นเกือบทิ้งวงการบันเทิงไปเลยหรือเปล่า แถมมีเสียน้ำตาหลังจากโชว์ร้องเพลงเสร็จอีกต่างหาก โดยเรื่องทั้งหมดนี้ หนุ่มนนท์ จะมาเผยในรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีหนิง ปณิตา และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เป็นคอมเมนเตเตอร์ที่อายุน้อยมากๆ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าวัยวุฒิไม่ถึง? “ก็จริงนะ ไม่รู้จะไปเถียงเขาทำไม ผมดูทีวีมา ผมก็ไม่เคยเห็นกรรมการอายุ 25 ปี ผมเห็นแต่อายุมากกว่านั้น”

ไปอยู่ตรงนั้นได้แสดงว่าคนต้องเล็งเห็นความสามารถของเรา? “ใช่ครับ ผมก็ไม่ได้เสนอตัวเข้าไปเอง มันเป็นเรื่องที่ทางช่องวัน ทางเดอะสตาร์เขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม มันเลยเกิดในสิ่งที่ทุกคนได้เห็นขึ้นมา คือเราได้ไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ซึ่งตัวผมก็ค่อนข้างเต็มที่กับหน้าที่นี้ ผมไปทำหน้าที่ ผมไม่ได้ไปพิสูจน์อะไรให้คนอื่นเห็น แต่ในมุมของผม สิ่งที่ได้แน่ๆ เลยคือเราจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากน้องๆ สิ่งที่น้องๆ ได้แน่ๆ คือประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา”

รู้สึกยังไงกับการโดนวิพากษ์วิจารณ์ในครั้งนี้? “ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเขาไม่ได้รู้จักเรา เขาเห็นแค่1 เขาไม่ได้เห็นทั้ง 100 ของเรา แล้วอีกอย่างผมก็ไม่รู้จักเขา ก็เลยไม่รู้ยังไง แต่ในส่วนของผมตราบใดที่เราทำงานในวงการนี้ ถ้าวันหนึ่งผมทำเบื้องหน้าไม่ได้ ผมก็ยังชอบที่จะทำเบื้องหลัง เพราะส่วนตัวผม ผมอยากจะเป็นเบื้องหลังมากกว่า ผมไม่ได้คิดว่าจะเป็นเบื้องหน้าด้วยซ้ำ”

ยากไหมกับการเป็นคอมเมนเตเตอร์? “ยากครับ แต่เราก็ตัดสิน ณ งานตรงนั้นที่น้องๆ ทำ หลาย คนคิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่จริงๆ กรรมการ 4 คน เราตัดสิน ณ เวลานั้นจริงๆ เลย แต่จะมีการประชุมคุยกันเวลาที่จะตัดสินใจอะไร”

ข้ามจากเดอะวอยซ์มาเป็นเดอะสตาร์เป็นยังไงบ้าง? “เดอะวอยซ์ แล้วไปเดอะแมสก์ก่อน แล้วไปเดอะสตาร์ จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่ามันข้ามไปยังไง หน้าที่ของผมเราทำงานให้เต็มที่ ผมพยายามทำงานที่ตอบสนองความตั้งใจทีมงานเบื้องหลัง อย่างแรกเลยเราไม่ได้มาตรงนี้ด้วยตัวคนเดียวแน่นอน เรามีทีมงานที่ดูแลเราจัดการอะไรต่างๆ ให้เรา หน้าที่ของเราคือ ทำช่วงเวลา 4 นาที 1 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงให้มันดีที่สุด แค่นั้นเลย”

ตอนรายการเดอะสตาร์ติดต่อมา เราได้ถามเขาไหมว่าอยากได้อะไรจากเรา? “รายการเขาบอกสิ่งที่ต้องการจากเรา ผมก็แค่นึกว่าเราให้เขาได้ไหม ผมสามารถให้ได้ในสิ่งนี้ ก็เลยรับคำไป หลาย คนรู้สึกว่าเราอยู่วงการมา 9 ปี แต่จริงๆ ผมทำอาชีพร้องเพลงตั้งแต่ 7 ขวบ นนท์ร้องเลี้ยงตัวเองมา 18 ปีครับ เริ่มร้องตั้งแต่ 4 ขวบ”

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ มันเคยผ่านจุดพีกที่สุดที่เชื่อว่าเด็กวัยรุ่นทุกคนอาจจะต้องผ่าน คือในเรื่องของการหลงตัวเอง? “ผมว่าเรื่องพวกนี้เราไม่รู้ตัวเองหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นในตัวเอง ผมว่าผมเป็นคนที่ตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น ตอนเด็กๆ ด้วยการทำงานที่แทบจะเทียบเท่าอายุของเรา หลายๆ คนก็ค่อนข้างมีอคติ ซึ่งมันต้องใช้เวลาที่จะทำตรงนั้น ในขณะที่เราโตขึ้น เราทำอะไรตรงไปตรงมา มันประหยัดเวลากว่าทั้งสองฝ่าย สำหรับมุมมองผม ผมไม่ได้รู้สึกว่าหลงหรือเหลิงเพราะว่าเวลาผมทำงาน ผมก็ยังรับรายเดือนเหมือนคนอื่นที่อยู่มหาวิทยาลัย แล้วผมก็จัดสรรปันส่วนที่ได้จากคุณแม่ ถ้าผมได้เงินมาผมก็ให้คุณแม่คุณพ่อ”

แม่ให้เดือนละเท่าไหร่? “แล้วแต่เดือนครับ ถ้าเป็นช่วงโควิดเราไม่ได้ไปไหน แม่เขาก็จะหักเอง บางทีงานไหนแม่รู้เราไม่รู้เขาก็จะเก็บไว้ก็มี แต่ว่าเขาให้เราแหละ แล้วที่บ้านไม่ได้เป็นคนชมลูก”

แล้วโดนดุไหม? “ดุครับ บ้านค่อนข้างดุ อย่างฝั่งที่บ้านแม่เขาเป็นครูกันหมด แม่ก็จะมีวิธีในการเลี้ยง ก็เลยเติบโตมากับการที่พ่อแม่ไม่ค่อยชมเลย มันอาจจะทำให้ลูกท้อก็ได้ แต่ในส่วนตัวผม ผมคิดว่าดี”

ด้วยความที่ทำงานตั้งแต่เด็ก หลายคนมองว่าเราขี้เก๊ก? “ผมขี้เก๊ก คนหล่อเขาไม่ต้องเก๊ก เพราะฉะนั้นผมเลยต้องเก๊กไง”

เพลงนนท์ดังมากๆ ทุกเพลง แต่จะมีเพลงหนึ่งที่ไม่ใช่เพลงตัวเอง แต่ไปไหนมาไหนทุกคนขอให้ร้อง? “ผมโตกับคณะตลก แล้วสมัยก่อนผมชอบตลกเพลงแปลงมาก คือแน่นอนว่ามันจะทะลึ่ง แม่ก็กังวลเรื่องคำหยาบ แต่ผมรู้สึกว่าบางทีเราอยู่กับเพื่อนๆ ก็เลยกล้าเล่น แต่ในหัวก็มีอีกหลายๆ เพลงที่ตลกสมัยก่อนมันครีเอทีฟมากนะ เขาเอามาทำ แล้วมันเพราะด้วย แต่เนื้อตลก”

แต่สิ่งที่เพื่อนศิลปินหลายคนไม่โอเคเลยกับการที่นนท์เอาเพลงของเขาไปร้อง เพราะร้องแล้วส่วนใหญ่รู้สึกว่ามันเพราะกว่าเขา? “นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปีนี้เริ่มทำอัลบั้มแล้ว แต่ว่าตัวนนท์ด้วยที่ผ่านมาเราทำปีละเพลง แต่พอมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมันก็เลยว่างทำอัลบั้ม แต่ในขณะที่เราทำอัลบั้ม ศิลปินหลายๆ คนก็บ่นแกมชื่นชมว่าเราเอาเพลงนี้ไปร้อง เอาเพลงเขาไปร้อง เหมือนเพลงของเราเลย แต่ในขณะที่ทุกคนบ่นว่าเราเหมือนขโมยเพลงเขา แต่ทุกคนก็กวักมือเรียกให้เราไปของเขานะ มันก็เลยงงๆ ทรงเหมือนชวนโจรเข้าบ้านนึกออกไหม แต่โดยรวมก็รู้สึกดี ในส่วนของออริจินอลเขาแฮปปี้ในสิ่งที่เราทำ”

เห็นว่ามีเสียน้ำตาหลังจากโชว์ร้องเพลงเสร็จ? “โดนโห่ตอน 8 ขวบ มันก็ไม่ใช่ความผิดเรา ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไร แต่เท่าที่ได้ยินคนอื่นเล่ามา ตอนนั้นผมอยู่ในวงดนตรีของอีกท้องถิ่นหนึ่งแล้วเราไปเล่นนอกถิ่น เหมือนเจ้าภาพงานเขาไม่ได้จ้างวงท้องถิ่นที่นั้น เขามาจ้างวงข้างนอก ทีนี้วงประจำถิ่นเขาอาจจะเกณฑ์คนมาทำให้เราโชว์ไม่ดี โห่บ้างอะไรบ้าง แล้วเราไม่รู้ว่ามันมีอะไรอย่างนี้เกิดขึ้น เราเคยเห็นในละครสมัยก่อน แต่เราไม่คิดว่าในโลกความจริงมันจะมี เราเคยดูสัมภาษณ์ของศิลปิน เขาบอกว่าเจอคนดูน้อย เราก็ทำใจมาแค่เจอคนดูน้อย เราไม่ได้ทำใจมาตอนคนดูโห่ ด้วยความเด็ก 8 ขวบ ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากเลย มันเจ็บมากนะ แต่ไม่รู้ทำไมมันไม่ร้องออกมา”

เรื่องหน้าตา นนท์เคยพูดไว้รู้ดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเรามันใช้การใช้งานไม่ได้ ทำไมวันนั้นถึงให้สัมภาษณ์แบบนี้? “เพราะมันใช้ไม่ได้ คือด้วยความที่ตอนนั้นทีวีบ้านเรา เราใช้องค์รวม มันยังไม่มีเวทีเดอะวอยซ์ที่เอาแต่เสียง กรรมการหันหลังให้เราเลย เราก็รู้สึกว่าถ้าต้องทำงานร่วมกับคนอื่น เรามีแค่เสียง เราคงไม่ตอบโจทย์กับวงการเพลง แน่นอนคนที่เขาเอาเข้าไป ไม่ได้เป็นแค่ศิลปิน แต่ว่าเอาไปเป็นดาราด้วย เราเข้าใจได้ว่ามันจำเป็น”

ตอนที่ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง ก็เจอแต่กระแสดูถูก โดนกดดัน เรารู้สึกว่ารับมันไม่ไหวไหม? “คือสาเหตุที่ไม่อยากเป็นเบื้องหน้า ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ของเราที่อาจไม่ตอบโจทย์ของผู้คน แต่ตอนเด็กๆ เรามีโอกาสได้ดูข่าวบันเทิงด้วย แล้วรู้สึกว่าเราไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว คนส่วนมากไม่ได้รู้เรื่องส่วนตัวของเราเพื่อพยายามเข้าใจให้เกียรติเรามากขึ้น แต่รู้เรื่องส่วนตัวของเราเพื่อจะก้าวก่ายเรามากขึ้น นั่นคือสาเหตุที่ผมอยากทำงานเบื้องหลังตั้งแต่เด็กเลย มันไม่ใช่แค่ว่าผมเป็นมันไม่ได้ แต่ผมไม่มีแรงที่อยากจะเป็น เพราะผมรู้สึกว่าไม่อยากวุ่นวายขนาดนั้น แต่ด้วยจังหวะเวลามันจับพลัดจับผลู แล้วเราได้เจอแรงเสียดทานแบบที่คนเบื้องหน้าเจอ ซึ่งมันก็ค่อนข้างใหม่ แล้วแน่นอนแหละ มันเริ่มต้นยากเสมอ ผมโชคร้ายเวลาผมเริ่มต้นอะไรมันจะยากกว่าคนอื่นเสมอ แต่ผมก็โชคดีที่ผมได้เจออะไรพวกนี้เร็วๆ ถ้าผมเข้าใจมันได้เร็ว ผมก็เจอมันได้เร็วก็ไปได้ไกลได้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งระหว่างนั้นก็ต้องขอบคุณคุณแม่ครับ คุณแม่ทำให้เราเข้าใจในหลายๆ อย่างที่มันเกิด ด้วยคำสอนของแม่หรือตัวผมเองที่เข้าใจตอนนั้น มันก็ทำให้เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ มันเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งครับ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์คนหนึ่งที่ชีวิตมันจะไม่ผิดอะไรเลย เราเกิดมาเพื่อผิด เรียนรู้ เติบโตและอยู่ต่อ”

เวลาที่เจอแรงกระแทกจากคนที่ไม่เข้าใจ เราแก้ไขความรู้สึกแย่ตรงนั้นยังไง? “เวลาที่เจอคนตัดสินเราจากภายนอก ไม่รู้วิธีผมมันจะดีไหม แต่ของผมผมรู้สึกว่าฉันไม่รู้จักเธอ ผมไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่รู้จักผม มันไม่จำเป็นต้องใส่ใจ คือมันพูดเหมือนง่ายนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันไม่มีเสียงอะไรดังกว่าในหัวเรา ซึ่งตัวผมก็ไม่ได้มาเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก เพียงแต่ว่าผมอยากให้ทุกคนอยู่ในสุขภาพที่แข็งแรง แล้วก็สุขภาพจิตที่แข็งแรง เพราะท้ายที่สุดเราทำให้โลกในโซเชี่ยลมันดุเดือดเท่าไหร่ สุดท้ายไม่ลูกก็หลานต้องมาอยู่ในโลกนั้นอยู่ดี คิดง่ายๆ ว่าถ้ามีคนที่คุณรักโดนแบบนี้ มันเป็นเพราะคุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดแบบนี้ แต่บางทีผมอยากรู้ว่าคนที่ไม่รู้จักเราเลย เขามองอะไรยังไงบ้าง แต่แน่นอนแหละมันเป็นมุมมองที่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ แต่ตัวผม ผมค่อนข้างฟังได้”

เคยท้อแบบไม่เอาแล้ววงการบันเทิงไหม? “หลักๆ ไม่ใช่การท้อครับ แต่ผมรู้สึกว่าวงการบันเทิงมันวุ่นวายเกินไปสำหรับผม ตอนนั้นที่ผมประกวดเดอะวอยซ์เสร็จ ตี 3-4 เข้ารายการเช้า แบบเราเป็นแชมป์คนแรกมันต้องโปรโมตหลายๆ อย่าง แล้วมันไม่ได้นอนเลย แล้วลำพังเด็ก 16 ปี แค่ไม่มีเวลาเรียน เราก็จัดการไม่ถูกแล้ว แบบนอนก็ไม่มีเวลา แล้วพอเราไม่ได้นอน การคิดการอะไรมันถูกลดทอนไปหมด ทำให้รู้สึกว่าหรือเราอาจจะยังไม่พร้อม เราเหมือนผลไม้ที่ถูกเด็ดก่อนเวลาหรือเปล่า ก็เลยคุยกับแม่ว่า นนท์รู้สึกว่ามันวุ่นวายไปแม่ นนท์ไม่ชอบอะไรที่มันจัดการไม่ได้ กลับบ้านได้ไหมแม่ แม่ก็เลยบอกว่าถ้างั้นก็อยู่ให้ครบสัญญา แล้วมาดูกันว่ามันไหวไม่ไหว ตัวแม่ไม่ได้ติดปัญหาอะไร ลูกอยากกลับไปก็กลับไป ยังไงตัวแม่เอาลูกเป็นหลัก ลูกไหวแม่ก็ไหว ลูกไม่ไหวแม่ก็ไม่ไหว แต่ว่าจริงๆ ตอนนั้นก็มีคุณพ่อช่วย แต่คุณพ่อต้องทำงาน เพื่อให้พวกเราสามารถเดินทาง พวกค่าใช้จ่าย”

เรื่องราวที่ทำให้นนท์เสียความมั่นใจ คือเรื่องอะไร? “คือเรื่องที่อาชีพเราเลือนหายไปครับ ก่อนหน้านี้เราทำงานเป็นศิลปิน แน่นอนภาพหลักที่ทุกคนเห็นเป็นนักร้องประกวดมาแล้วเริ่มทำเพลง ทุกๆ คนก็เริ่มรู้จักเพลงเรามากขึ้น แต่ว่าเวลาที่เราเล่นสดมีลักษณะนิสัยเราหลุดออกไป เราเป็นคนสนุกมันก็ติดไปกับคนดู สมัยก่อนเราอยู่กับกลุ่มเพื่อนแล้วเราเป็นตัวเปิดละลายพฤติกรรมเพื่อน แล้วพอมันไปอยู่กับคอนเสิร์ต เราคิดว่ามันสามารถทำงานร่วมกันได้กับทักษะของผม มันก็เลยกลายเป็นเอ็นเตอร์เทนคน ซึ่งหลังๆ มันทำได้ดีมากกว่าเพลง เหมือนคนจะสนใจตรงนั้นมาก แต่เราก็รู้สึกโอเคนะกับการที่เขาชอบ คือการอยู่ในโลกทุกวันนี้แค่เขาไม่เกลียดก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ตอนนี้ย้ายค่ายใหม่ด้วย? “ใช่ครับ ตอนนี้อยู่กับ LOVEiS”

ตื่นเต้นไหมกับผลงานค่ายใหม่? “ไม่ได้เป็นลักษณะของการตื่นเต้น แต่รู้สึกได้ถึงการเติบโต ผมว่าการเติบโตก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา การเปลี่ยนแปลง การแก่ขึ้นทุกวัน การเดินไปข้างหน้า และครั้งนี้ที่ได้มีโอกาสมาอยู่ในบ้านของ LOVEiS ก็เป็นหนึ่งโอกาสที่ดีที่เราได้ทำงานได้เต็มที่มากขึ้น แล้วทางบริษัทก็เต็มที่กับเรา”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6664358
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6664358