สุ่ย พรนภา ควงสามีนักธุรกิจเผยเส้นทางรัก พร้อมเผยสาเหตุที่แยกเตียงนอน


ให้คะแนน


แชร์

ทั้งคู่เจอกันได้ยังไง?

สุ่ย : “จริงๆ เขาเห็นสุ่ยมานานมากแล้วตามสถานที่เที่ยว แต่ว่าเราไม่รู้เรื่องหรอก แล้วพอมาถึงช่วงอายุหนึ่ง พอเราคิดว่าเราพอแล้ว หยุดอยู่กับที่อายุ 30 กว่าแล้ว

เมื่อก่อนเป็นสาวเปรี้ยวแล้วพอเราหยุดปุ๊บ อยู่ดีๆ มีเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักเขา เราไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร เพื่อนบอกว่ามีคนอยากรู้จัก ถามว่ารู้จักไหม เราบอกไม่รู้จัก

แต่คนเขารู้จักกันทั่ววงการ เราก็ไม่รู้จัก แล้ววันดีคืนดีเขาก็โทร.มาหา คุยกันแต่ไม่เคยเจอหน้า ยังจำหน้าไม่ได้ ผ่านไป 2-3 อาทิตย์ เราเล่นโยคะอยู่ ทีนี้มีสายตาคู่หนึ่งมาส่องอยู่ที่ประตู พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาคู่หนึ่ง ตาเหมือนคนญี่ปุ่นเลยแล้วเขาก็หายไปเลย

พอเราเล่นโยคะเสร็จเราก็โทร.ไป เมื่อกี้พี่มาหรือเปล่า แล้วคำแรกที่เขาพูดเลย ล้างรถหน่อยนะ แรงอะ คือสมัยก่อนเป็นคนที่วิ่งงานเยอะมาก แล้วเวลาล้างรถก็น้อย แล้วรถสีดำด้วย เราก็แบบ อุ๊ย…มาจริงด้วย”

รู้ว่าเล่นโยคะ แล้วพี่ไปอยู่ตรงลานจอดรถได้ยังไง?

จัง : “บังเอิญวันนั้นมีประชุมที่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไร คุยโทรศัพท์กับเขา เขาบอกว่าจะไปเล่นโยคะแถวถนนสุโขทัย ก็เลยบอกคนรถว่ารู้จักที่นี่ไหม เราก็บอกแวะไปนิดนึงก็แล้วกัน

เนื่องจากว่าไม่เห็นมาหลายปีแล้ว ก็เลยต้องแวะไปดูสักนิดนึง เขาเองก็โชคดีด้วย พร็อพเขาดี คนที่อยู่รอบตัวเขาอายุ 60 อัปหมดเลย ก็เลยค่อนข้างโอเค”

แล้วไปเห็นรถเขาได้ยังไง?

จัง : “รู้ว่าเขาขับรถอะไร แล้วพอดีจอดอยู่ลานจอดรถ แล้วรถเขาสีดำด้วยไง รักจะขับรถสีดำแต่ไม่ค่อยสะอาด ก็เลยเตือนเขานิดนึง”

พี่รู้อยู่แล้วว่าพี่สุ่ยเป็นดารา เป็นนางงาม?

จัง : “รู้ครับ เพราะเคยเห็นงาน”

ไปเจอกันที่ไหน?

จัง : “เจอกันที่เที่ยวกลางคืน พี่ชอบคนดูแลตัวเองดี เห็นแล้วก็ชอบนะ ผู้หญิงใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ วันนั้นเห็นก็เลยชมกับเพื่อนว่าคนนี้ใคร ดูดีนะอะไรประมาณนี้

แล้วมีช่วงหนึ่งที่ได้มาคุยกับเพื่อนคนนี้อีกที เขาบอกว่าจำได้ไหมที่เคยถามถึงผู้หญิงคนนี้ ช่วงนี้เจอน้องเขาบ่อย ยังอยากรู้จักเขาอยู่หรือเปล่า

อย่างที่ทราบกันผมเคยมีครอบครัวแล้ว แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่คนเดียว เพื่อนก็กลัวผมเหงา เอาไหมเดี๋ยวจะแนะนำให้ ก็เลยได้คุยกัน”

ก็คือโสดด้วยกันทั้งคู่แหละ?

สุ่ย : “ถูก ในจังหวะที่เราหยุดแล้วไง แล้วพี่จังก็อยู่ในโลกส่วนตัวเขามานานแล้ว พอเป็นจังหวะที่เราคลิ๊กปุ๊บคุยกันรู้เรื่อง แก่แล้วมาเจอกันก็ 38 แล้ว เพราะฉะนั้นพอมันคุยแล้วมันลงตัวปุ๊บมันไม่ต้องมีอะไรยาก ต่างคนก็ผ่านโลกกันมาเยอะแล้ว

เพราะฉะนั้นอะไรที่มันไม่ใช่ก็ไม่เอาเลย แต่พอคุยไปคุยมามันคลิก มันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ เขาก็มีตำหนิเป็นพ่อม่าย ส่วนเราเองก็เป็นคนสบายๆ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเขาโอเคพอที่จะลงหลักปักฐานด้วยได้คือเขาเป็นคนที่รักลูกมาก

ก่อนหน้านั้นเขามีลูกอยู่แล้ว เราก็รู้ แต่เราก็ไม่ได้กะว่ามีลูกกับเขา ก็คือสบายๆ อยู่แล้ว แต่ดันมีลูกมา แล้วทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเราเองก็ไม่คิดว่าจะเลี้ยงลูกได้ เขาก็ช่วย ส่วนลูกของเขาเอง เขาก็โอเคกับเรา แล้วก็โอเคกับเคนโซ่ด้วย ทุกอย่างมันลงล็อกดีหมดเลย”

ย้อนไปก่อนคบกัน พี่สุ่ยเป็นสาวเปรี้ยว ทางพี่จังเองก็ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว รู้สึกหวั่นบ้างไหมว่าสาวเปรี้ยวเราจะหยุดเขาได้ไหม?

จัง : “เล่าให้ฟังตรงๆ ตอนแรกผมไม่ได้คิดไปไกลว่าจะลงหลักปักฐาน คนเราถ้าเลือกที่จะชอบใคร จะรักใคร มันไม่ใช่สิ่งของ อยู่กันไปถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ไม่ต้องไปเจาะจงว่าคนนี้ต้องเป็นแฟนฉันนะ คนนี้ต้องเป็นคู่ชีวิตฉันนะ ผมคบเหมือนคบเพื่อน ถ้าไปตั้งกรอบมันผมว่าไม่รอดหรอก”

แล้วจุดไหนที่ทำให้พี่รู้สึกคลิกกับผู้หญิงคนนี้?

จัง : “คือมันอยู่ด้วยเราก็เป็นตัวเราเอง เขาก็ดูแลตัวเองได้ แล้วมันอยู่แล้วสบายใจ”

พี่สุ่ยขี้บ่นไหม?

จัง : “ผมขี้บ่นกว่า”

สุ่ย : “จริง คือละเอียดยิบ ไม่เหมือนใครเลย เป็นคนที่ชอบอยู่กับงาน อยู่กับปัญหา ชอบแก้ปัญหา อย่างที่บอกว่าเขาทำร้านอาหารญี่ปุ่นด้วย มีเรื่องให้คิดตลอดเวลา

ถ้าเป็นเรา เราคงสติแตกไปแล้ว แต่เขาชอบแก้ปัญหาอยู่กับตรงนั้น แล้วเขาเป็นคนละเอียด แล้วในขณะที่เราสบายๆ ดูเหมือนไม่สนใจโลก แล้วมันจะดีตรงที่ว่าเขาจะดึงส่วนที่ดีที่สุดของเรามาในช่วงวัยนี้”

ดูจากภายนอกเป็นคู่ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เคยมีปัญหาไหม?

จัง : “ผมว่าทุกคู่มันต้องมีแหละครับ ทุกอย่างมันต้องปรับตัวเข้าหากัน ถ้าจะให้มาอยู่ด้วยกันได้ต้องมีคนใดคนหนึ่งยอม และอีกคนก็ต้องถอยในบางเรื่อง เราไม่ได้คิดจะไปเปลี่ยนใครร้อยเปอร์เซ็นต์ อะไรที่เป็นตัวเขาเองก็ปล่อยไว้ อะไรที่มันไม่เหมาะเราก็ต้องเปลี่ยนเขา

ถ้าสถานะมันเปลี่ยน สุ่ยเปลี่ยนเป็นแม่คนขึ้นมา มันมีเรื่องหลายอย่าง เช่น เขาจะไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน บางทีมันก็จะมีเรื่องกาลเทศะเข้ามาเกี่ยว ต่อหน้าลูกเราจะไม่พูดคำหยาบนะ ต่อหน้าลูกเราก็ไม่ควรจะทานเหล้านะ ต้องแบ่งแยกให้มันถูกต้องมากขึ้น”

พี่จังทำตัวเหมือนเป็นพ่อพี่สุ่ยเลย?

สุ่ย : “ตอนแรกคิดว่าได้พ่อ แต่ไม่ใช่นะจ๊ะ ตัวพ่อ”

โดนเปลี่ยนอะไรบ้าง?

สุ่ย : “อย่างแรกเลยในเรื่องของความสะอาด อย่างที่บอกว่าเราเป็นนักแสดงสมัยก่อนก็วิ่งรอก รถก็จะเลอะ ข้างในก็จะระเบิดมาก เปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ นอนในรถ แล้วพอมาเจอเขามันก็เริ่มเป็นระเบียบมากขึ้น

ก็เริ่มรื้อของออกทุกอย่าง ดูดฝุ่นรถทุกวัน ล้างรถทุกวัน แรกๆ เขาก็จะทำให้ เราก็จะเห็นเขาทำให้จนเมื่อยแล้ว เราก็ต้องเริ่มหัดทำเองบ้าง ส่วนในบ้านก็จะเนี้ยบมาก เข้าห้องน้ำก็ต้องเช็ด คือนางจะเป็นคนที่สะอาดมาก”

จัง : “ขออนุญาตเสริมนิดนึง เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าผมระเบียบจัด เดี๋ยวอยู่ด้วยแล้วอึดอัด คือไม่ใช่ ด้วยความที่เราโตเมืองนอกเราไม่ได้มีแม่บ้าน มันก็ต้องฝึกตัวเอง ดูแลตัวเองให้รู้จักวางอะไรให้เป็นที่ มันก็เลยติดนิสัยตรงนั้นมา

ผมถามว่าถ้าคนเราสะอาดไม่มีอะไรที่เป็นลบ อย่างแม่บ้านที่บ้านผมก็จะสอนไม่ชอบให้ทำอะไรแบบหมกๆ ไว้ เดี๋ยวมันก็เป็นนิสัย”

สุ่ย : “ซึ่งแรกๆ แม่บ้านก็เปลี่ยนทุก 3 เดือน แต่ตอนนี้เจอคนที่อยู่ได้นานกว่า 6 เดือน”

ตอนนี้เคนโซ่เรียบร้อย มารยาทดีหมดเลย ทำยังไง?

สุ่ย : “พ่อกับแม่คือเสียงดังไง ตอนนี้คุณพ่อ คุณแม่โคกันมากเรื่องความมีระเบียบวินัย”

จัง : “ผมว่าเด็กผู้ชายเวลาอยู่กับแม่เยอะๆ พอโดนดุบ่อยๆ มันเริ่มมีความชิน แต่ถ้าอยู่กับพ่อ นานๆ ที แต่คนที่ตามใจเขาทุกวันแล้ววันดีคืนดีลุกขึ้นมาดุเขา เขาจะคิดว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า ผมคิดแบบนี้นะในความเข้าใจผม”

สุ่ย : “ถ้าพ่อดุคือร้องไห้ ถ้าแม่ดุเขาจะนึกถึงโรบอร์ตเกมอะไรอย่างนี้ ก็จะอยู่กับเขา 24 ชั่วโมง แล้วเราจะเล่นแบบเด็กๆ กับลูก ก็จะเล่นแบบห้าวๆ

แต่กับพ่อก็จะมีมุมของเขา ความเป็นคุณพ่อ ก็เป็นคนที่เกรงพ่อ แต่ก็กลัวแม่แต่ไม่ได้เยอะ แต่ถ้าพ่อดุเขาก็จะกลัว เขาจะเรียบร้อย เสียงเบา”

ลูกเหมือนใครมากกว่ากัน?

สุ่ย : “เขาจะนิ่งเหมือนพ่อ”

ที่บอกว่าคุณพ่อสายเปย์คืออะไร?

สุ่ย : “สปอยล์ลูก ถึงเวลาก็ให้ๆ”

จัง : “ผมว่าคุณพ่อทุกคนก็เป็นต่างกัน แต่มันก็เป็นต่างกัน ผู้ชายบางคนหลงรักผู้หญิง ซื้อของอยากให้ผู้หญิงชอบเขา รู้สึกปลื้ม ถ้าเป็นลูกก็คงจะหนักกว่านั้นก็คือเต็มที่

แต่มันก็มีกรอบของมัน แต่ผมไม่อยากให้ลูกอยากได้แล้วไม่ได้ ให้เขาได้ ให้เขาลอง ถ้าเขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่ได้กลับไปโรงเรียนแล้วมีแต่ความอยาก”

ถ้าเกิดเราไม่ให้แล้วเวลาจะให้อะไรลูกต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรด้วยไหม?

จัง : “แล้วแต่เรื่อง และโอกาส แต่ทุกอย่างก็ต้องมีกรอบ มันต้องเหมาะสมกับวัยเขา”

สุ่ย : “พี่จังเขาจะให้ของใหญ่ วันเกิดจัดใหญ่จัดหนักไปเลย แต่พี่เป็นคนไม่ให้ นี่สายเปย์ แต่พี่สายเพลย์ คือจะเล่นกับลูก สมมติถ้าลูกอยากได้สัก 20 บาท ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

จัง : “เคนโซ่จะได้น้อยสุดเลย ด้วยความที่มีลูกมาก่อน ลูกคนแรกนี่เต็มที่เลย 1-2 ขวบ ซื้อไอแพดให้ ซื้อไอพอดให้พกไปไหนมาไหนตั้งแต่ยังไม่ 3 ขวบ ซึ่งถามว่าเขาเล่นเป็นไหม เขาเล่นไม่เป็น ลูกคนแรกเราเรียนรู้ พอถึงเคนโซ่ปุ๊บ เราก็ให้แค่นี้พอ”

พี่จังมีลูกกี่คน?

จัง : “รวมเคนโซ่เป็น 4 ครับ ครอบครัวแรกผมมีพี่น้อง 3 คน โตหมดแล้ว”

ลูกๆ พอมีน้องคนเล็กเขาดีใจกันไหม?

จัง : “ตื่นเต้น แรกๆ ก็ทำตัวไม่ถูก แต่ว่าพวกพี่ๆ ผู้หญิงชอบ น้องผู้ชายคนที่ 3 ก็เข้ากันได้ดี”

พี่สุ่ยมีวิธีปรับตัวกับน้องๆ ยังไง?

สุ่ย : “ความที่พี่อยู่กับเด็กได้ตั้งแต่แรก พี่รักเด็กจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ยังไงเด็กไม่เกี่ยว เราเป็นคนที่เปิดใจอยู่แล้วในทุกๆ เรื่อง พอเด็กๆ มาเจอกันคือเขาดีอยู่แล้ว เขาคงได้เจอได้เห็นอะไรมาเยอะด้วย

พอเจอกันปุ๊บก็เลยไม่ค่อยมีปัญหา แต่ด้วยความที่เราเป็นอย่างนี้ด้วย เด็กๆ ก็จะเปิดใจให้เราด้วย พี่เป็นคนที่รักเท่ากัน ความที่พี่มีหลาน 9 คนด้วย แล้วพี่สุ่ยเป็นลูกคนโต เราจะรักทุกคนเท่ากันหมด มันก็เลยไม่ยาก”

ประเด็นการแยกห้องนอนเกิดขึ้นจากอะไร?

จัง : “ไม่ได้เหตุผลว่าทะเลาะกัน มีปัญหาอะไรกัน มันเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัว คือผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเยอะ ขอแม่แยกห้องนอนตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ต้องมีเวลาส่วนตัวระยะนึงในหนึ่งวัน”

สุ่ย : “บอกเขาไปสิว่านอนกรนหนักมาก”

จัง : “แล้วผมเป็นคนนอนดึก กลางคืนผมเดินทำนู่นทำนี่ เขาก็จะไม่สะดวก ก็ต้องเปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้ ผมก็บอกเขาว่าเอางี้ไหม ช่วงแรกๆ ลูกก็นอนกับพี่เลี้ยง เขาบอกว่าอยากอยู่กับลูก ก็เลยทำห้องเพื่อเขาสามารถนอนกับลูกได้”

แล้วเวลาจู๋จี๋กันล่ะ เห็นว่าคู่พี่สวีตกันตลอดเวลา?

จัง : “ไม่ขนาดนั้น พอโตเข้ามหาวิทยาลัยก็การบ้านน้อย”

สุ่ย : “เอางี้ดีกว่าพอได้แยกห้องปุ๊บดิฉันก็มีเวลาส่วนตัว การบ้านมันก็ลืมทำบ้างอะไรบ้าง ความที่เรามีลูกเราก็อยากอยู่กับลูก แล้วความที่ผู้หญิงทำงานข้างนอก ความที่จะปรนเปรอสามีมันก็จะหายไปบ้าง ก็จะนัดกัน แต่ก็ถือว่าน้อยมาก แต่ทุกคนจะบอกเลยว่าห้ามนะ ไม่ได้นะ ต้องมีนะอาทิตย์ละครั้งนะ”

จัง : “แต่ของพวกนี้มันนัดล่วงหน้าไม่ได้ไง”

สุ่ย : “คือคุยกับพี่จังไว้แล้วว่าเราสองคนหยุดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรแบบนี้มา ถ้าเธอทำฉันพร้อมไปนะ เพราะพี่ถือว่าเป็นคนมั่นคงมากในเรื่องของความรัก

คือว่าพ่อแม่ไม่เคยเลิกกัน รักกันจนวันตาย ทีนี้พอเรามีลูกเราก็หยุด แต่ถ้าคุณไม่หยุดเราก็พร้อมไป เพราะเราดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ปรากฏว่ากลับดี พอเรายื่นคำขาดแบบนี้ปุ๊บ ก็ไม่มีอีกเลย”

ได้ยินมาว่าผู้หญิงชอบเยอะมาก?

จัง : “ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครบอกให้หยุดหรือไม่หยุด ถึงจุดนึงมันหยุดเอง มันพอเอง ทุกอย่างชีวิตมันมีแพตเทิร์น มันไม่ต้องการความตื่นเต้นเท่าไรแล้ว อยู่กับลูกเยอะ แต่ลูกมีผลเยอะนะ พี่เลิกเที่ยว

แต่ก่อนพี่เที่ยวบ่อยมาก เอาเป็นว่าอาทิตย์หนึ่งไปเจอเพื่อน 5 วัน อยู่บ้าน 2 วัน เดี๋ยวนี้ไม่ไปไหนเลย คือเกรงใจลูก อย่างเหล้าผมก็ไม่ดื่มแล้ว น้อยมาก ออกไปงานอย่างเดียว เพราะเหตุผลมาจากลูกคนแรก ลูกคนโตเหม็นก็เลิก ผมว่าเป็นทุกคนนะ พ่อกลัวลูก ยิ่งมีลูกสาวผมว่ายิ่งกลัว”

อยากจะบอกความในใจกับพี่จังไหม?

สุ่ย : “ตอนแรกเราคิดว่าจะใช้ชีวิตด้วยไม่ได้ แต่พออยู่ไปอยู่มาเขาดึงเวอร์ชันที่ดีที่สุดออกมา ก็คือดึงในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเรามีตรงนี้ ดึงในแง่ดี เขาทำให้เรามีความรู้สึก มีความนึกคิด คิดเป็นขั้นเป็นตอน เพราะเขาเป็นนักคิดอยู่แล้ว แล้วทุกคนบอกว่าดีมากเลย

ถามว่ารักขนาดไหน ก็รักนะ แต่รักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน รักของพี่ดูเหมือนไม่สนใจ แต่พึ่งพาได้ เขาก็พึ่งพาได้ เราจะรู้กันอยู่แล้ว”

จัง : “สำหรับผมคงไม่ได้ตอบในเชิงวัยรุ่น อยากจะขอบคุณเขาที่เขาเอ็นดูลูกๆ ผมทุกคน ตั้งแต่ผมเจอสุ่ย ผมบอกเขาเลยว่าเขาต้องอยู่กับลูกผมให้ได้ แล้วเป็นเพื่อนที่ดีของผม เป็นคู่รักที่ดีของผม แล้วหวังว่าช่วงบั้นปลายเขาจะดูแลผมได้”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2215506
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2215506