มอร์ มอร์กะจาย ขอบคุณทุกกำลังใจ รีบฟื้นตัว กลับบ้าน หลังภรรยา-ลูก ออกรพ.วันนี้


ให้คะแนน


แชร์

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

มอร์ มอร์กะจาย – จากกรณีนักร้องดังในยุค90 มอร์ มอร์กะจาย หรือ มอร์ ธนพัชร์ และครอบครัว ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ โดยก่อนหน้านี้วันที่ 8 ต.ค. ทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก มอร์กะจาย ได้ออกมาอัพเดตอาการ มอร์ มอร์กะจาย ว่าถูกเชื้อกินปอดกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ออกซิเจนในเลือดต่ำ ต้องขับถ่ายบนเตียง

ล่าสุด วันที่ 14 ต.ค. พลอย ภรรยา และ มอร์ มอร์กระจาย ได้ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์ เล่าถึงเหตุการณ์ติดโควิด-19 พร้อมอัพเดตอาการสามี หลังรับยาตัวใหม่

กำลังใจดี? มอร์ : “พี่มอร์อยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ผม และครอบครัวเรานะครับ ซึ่งมันมีค่าสำหรับชีวิตในครอบครัวของพวกเรา มันเป็นกำลังใจเปี่ยมพลังให้เราต่อสู้กับโรคนี้ไปได้ ได้หมอที่เก่ง และพยาบาลที่ดีคอยดูแล ก็อยากบอกให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีๆ ขอให้ปลอดโรค ปลอดภัย มีความสุข ความเจริญในชีวิตครอบครัวนะครับ ขอบคุณครับ”

จากเหตุการณ์รู้ตัวว่าติดโควิด ตั้งแต่เมื่อไหร่? พลอย : “พี่รู้ตัวก็ปาเข้าไปวันที่ 9 แล้วค่ะ คือคุณแม่เป็นหนักแล้วเราไม่รู้ แกมีโรคหอบอยู่ค่ะ วันที่ไปส่งห้องฉุกเฉิน คุณหมอบอกว่าต้อง swab เพราะอาการมันไม่เหมือนหอบธรรมดา ออกซิเจนไม่เข้าเลย พอเอ็กซเรย์ปอดออกมา ปอดเป็นฝ้าหมดแล้ว เหลืออีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นเนื้อดี พี่ก็เลยตกใจมาก

ตอนนั้นก็คือกลับมาที่บ้านแล้ว เพราะว่ามีลูกเล็ก ผลออกมาว่าพี่เป็นโควิด พี่ก็เตรียมตัวเลยว่าทุกคนในบ้านต้องติดแน่นอน พี่ก็ส่งพี่มอร์กับพ่อไปตรวจ แล้วรู้ผลอีกวันหนึ่งก็คือวันที่ 30 ก.ย. เขาก็แอดมิตรพ.เลย เพราะว่าเป็นเยอะแล้ว ตัวพี่ก็ตามมาติดๆ คือวันที่ 1 ต.ค.

ตอนที่ทุกคนเริ่มรู้ตัวมีอาการยังไง? พลอย : “คือพี่จะไม่มีอาการเป็นหวัด อาการของพี่มันเหมือนคนเป็นกรดไหลย้อน เลยไม่ได้คิดถึงโควิดเลย ส่วนพี่มอร์มีอาการเพลียเหมือนจะเป็นหวัดก็ไม่ใช่ จนสุดท้ายเขาไอเป็นเลือด เขาก็บอกว่าพี่จะตรวจ ATK แล้ว เพราะว่ามันผิดปกติ

ก่อนหน้านั้น เราไม่ตรวจเป็นเพราะว่าไม่มีใครออกไปไกลเกินรัศมีหมู่บ้านสักเท่าไหร่ แล้วเราก็ป้องกันกันแบบขั้นสุด เพราะเรามีเด็ก มีคนแก่ ซึ่งเราไม่คิดเรื่องโควิดเลย มันเป็นสิ่งที่พลาดมาก เพราะเราคิดว่ามันไกลตัว เราดูแลตัวเองอย่างดี แม้กระทั่งไปรษณีย์ พี่มอร์ยังยืนไกลมากและวางของไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน โดยที่ไม่เอาเข้าบ้านสองวัน ซึ่งทำขนาดนี้ ก็ยังติดมาได้

แต่ที่คุณหมอดูไทม์ไลน์ พ่อพี่น่าจะติดจากฝน เพราะว่าเขาไม่ได้ไปสัมผัสที่ไหนเลย คือเขาออกไปซื้อกับข้าวแล้วเขาก็แวะหลบฝนที่หน้าเซเว่น นั่นคือไทม์ไลน์ที่แตกต่างจากเดิม เพราะถ้าเกิดถามว่าไปซื้อกับข้าวแล้วติด ร้านข้าวที่เราไปมันมีฉากกั้นทุกร้าน คนก็ใส่ถุงมือและสวมแมสก์สามชั้น แต่คิดว่าที่ติดคงเป็นเพราะฝนตก เพราะว่าแมสก์มันเปียก

ถ้าเดาจากที่อื่นก็ไม่มีเลยนะ ทุกร้านที่เขาไป มันไม่มีใครติดโควิด แล้วมันจะเป็นไปได้ไงว่าเชื้อมันมาจากไหน ซึ่งพยาบาลที่คุยกัน เขาก็บอกว่าน่าจะเป็นสายพันธุ์เดลต้าที่มาจากฝน

ตอนนี้รักษาตัวที่โรงพยาบาลอะไร? พลอย : “ทุกคนรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ยกเว้นคุณแม่พี่ที่วันนั้นฉุกเฉินเข้าที่รพ.นวเวชคนเดียวค่ะ

รู้ไหมว่าติดสายพันธุ์อะไร? พลอย : “จริงๆ ถามว่าบอกได้ไหม เราก็ต้องเช็ก แต่คุณหมอบอกว่าอย่าไปตรวจมันเลย ราคาสูงเปล่าๆ แต่ที่ดูอาการแล้วพี่ว่าน่าจะเดลต้า เพราะว่ามีอาการท้องเสียด้วย พี่มอร์เขาถ่ายท้องหนักมาก”

สภาพจิตใจตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? พลอย : “ช่วงแรกๆ พี่ตั้งสติมากนะ หลังจากที่รู้ว่าแม่เป็นหนัก วันนั้นจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่บังเอิญว่าเราเป็นคนเดียวที่แข็งแรงสุดแล้ว เราต้องดูแลลูก ดังนั้นพี่ต้องวางแผนเลยว่าถ้าทุกคนติด พี่จะต้องส่งโรงพยาบาลไหนที่มีที่ลง คือกำหนดแผนการเอง เรียกรถพยาบาลเองทุกสิ่งอย่าง

ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไอเป็นเลือดนะ แต่ต้องพยุงตัวเองให้ได้ เพราะว่าลูกเล็ก พี่มอร์เขาก็เป็นห่วง เพราะว่าพี่หายใจไม่ได้ หน้ามืด ตอนพี่หาว มันเหมือนมีเข็มทิ่มตรงคอ พี่ก็รู้ว่ามีอาการหนัก เพราะว่าพี่เป็นโรคหืดหอบอยู่แล้ว พี่ก็พ่นยาก็ไม่ดีขึ้น เลยรู้ว่าไม่ใช่หอบแล้ว แต่สุดท้ายมันน่าจะเป็นมานานแล้ว อาการมันออกหนักขึ้น คือวันที่ 1 ต.ค.ที่ต้องแอดมิต”

พี่มอร์อาการเป็นยังไงบ้าง? พลอย : “ยังออกรพ.ไม่ได้ เพราะออกซิเจนเขายังไม่ปกติ คือวันที่เขาเป็นหนัก ขึ้นรถโรงพยาบาลมา พี่ก็รู้แล้วว่าเชื้อลงปอด เพราะว่ามีอาการไอ มีเสมหะและมีเลือดด้วย แต่พี่ก็ไม่คิดว่าจะหนัก ซึ่งตอนมานอนรพ.สองวันแรก พี่ก็ดีใจว่าเขาได้อยู่รพ.ก็โล่ง แต่หมอกลับมาบอกว่ามันไม่ดีขึ้นนะคะ ค่าการอักเสบมันแย่ลงเท่านั้นแหละ พี่ก็เก็บอาการนะ และงงว่าทำไมถึงแย่ลง

หมอก็เลยบอกว่ามันไม่น่าจะตอบสนองกับยา เขาก็เลยเปลี่ยนยาในช่วง 3 วันแรก ให้ยาตัวที่แรงไป วันที่ 4 ก็ไม่ดีขึ้น จนวันที่เป็นข่าวก็ได้ยา ส่วนวันที่หนักๆ พีกๆ ก็คือวันที่ออกซิเจนต่ำ หมอก็บอกว่าปอดค่อนข้างเสียหายไปเยอะ ต้องใช้เวลาเลยแหละ ต้องรอดูว่าการตอบสนองยาจะดีขึ้น

แล้วบังเอิญว่าเปลี่ยนยาอีกตัว 2 วันเองนะ อาการเริ่มดี เปลี่ยนสายออกซิเจนเป็นสายเล็ก วันพุธอาการดีขึ้นมาก แล้ววันพฤหัสฯ พี่ก็จะกลับบ้านแล้ว เขาก็อาการยิ่งดีขึ้น เพราะเขาต้องรีบฟื้นตัว เขาก็อยากกลับ

ปอดที่ถูกกินไป 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหายจากโควิดมันจะกลับมาเหมือนเดิมไหม? พลอย : “มันต้องใช้เวลา จะให้ปอดกลับมาเหมือนเดิมเลย สำหรับคนที่เป็นโควิดแล้ว เชื้อลงปอดมันไม่มีทางเหมือนเดิม แต่แค่เราจะใช้ชีวิตยังไงให้ระมัดระวัง แล้วก็รู้ว่าปอดของเราต้องดูแลให้มากกว่าชาวบ้าน มากกว่าก่อนจะเป็น พี่มอร์ก็คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานพอสมควร แต่คุณหมอเขาก็ให้ซื้อออกซิเจนติดที่บ้านเอาไว้”

ส่วนตัวพลอย และคุณแม่ เป็นอย่างไรบ้าง? พลอย : “ช่วง 4 วันแรกพี่จะเป็นกรดไหลย้อน ปวดท้อง ท้องอืดอาเจียน กินอะไรก็ไม่ได้ กินแล้วก็อาเจียนออก ซึ่งเราก็เป็นกรดไหลย้อนอยู่แล้ว มันเลยไม่ได้แตกต่าง แต่วันที่ไอแล้วมีเลือดออกกับเสมหะ ก็เริ่มคิด…

ส่วนแม่ก็หอบ 8 วัน ผอมติดกระดูก ซึ่งถ้าหอบปกติก็กินข้าวได้ แต่เขากินอะไรไม่ได้มันเหมือนกันทั้งบ้าน กินอะไรก็จะเค็มไปหมด เหลือรสชาติเค็มแค่รสชาติเดียว”

ได้ยินว่าจะได้ออกรพ.แล้ว? พลอย : “ใช่ๆ สำคัญเลย หลังจากที่แม่ออกจากไอซียู พี่มอร์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตัวพี่ก็ครบกำหนด 14 วันที่เชื้อมันตาย คุณหมอก็บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว อาจจะมีร่องรอยอยู่บ้าง เพราะว่ามันเพิ่งเกิด เราก็ไปฟื้นฟูเอง ออกซิเจนปกติ แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ ตอนนี้ก็จะเหลือแค่ พี่มอร์กับคุณแม่ที่อยู่ที่โรงพยาบาล

ถ้ากลับบ้านไป ต้องมีข้อปฏิบัติอย่างไรบ้าง? พลอย : “สำหรับลูกชายไม่ต้องกักตัวแล้ว ส่วนตัวพี่กักตัวต่ออีก 7 วัน”

คนที่เป็นโควิด มีค่าใช้จ่ายสูง? พลอย : “โห พี่ต้องขอบคุณความโชคดีที่เรามาเป็นในช่วงที่มีรพ. ตอนเราเข้ารพ.เราก็ไม่ได้คิดอะไรเข้าเอกชนเลย เพราะว่ามันใกล้บ้านสุดแล้ว อย่างตัวพี่เองก็ดีมีประกันก็โอเคไป แต่อย่างพี่มอร์ ประกันสุขภาพเพิ่งหมดไป แต่ในส่วนของรัฐบาลเขาก็ช่วย ก็น่าจะช่วยเยอะอยู่ แต่ยาที่เราหายเร็วเป็นยานอกราคาค่อนข้างสูง เราก็ต้องซัพพอร์ตเอง

พี่เห็นบิลก็ตกใจอยู่ ทำไงได้ เราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ไหนจะคุณแม่ คุณหมอก็บอกว่ายาตัวนั้น เป็นยาที่ราคาสูง อย่าง 7 วันที่ต้องให้ยาแพงพี่ก็อัดทุกวัน ซึ่งของแม่ก็ไม่ได้มีประกัน ส่วนของพี่มอร์ส่วนต่างก็มีแค่ยาที่ราคาสูงหน่อย มันจำเป็นต้องใช้ เพราะตัวเขาดันไม่ตอบสนองยาที่รัฐมีให้”

ช่วงโควิดก็ลำบากเรื่องงานอยู่แล้ว พอมาเจอเรื่องแบบนี้ไหวไหม? พลอย : “ถามว่ามันเป็นปัญหาไหม ไม่มีใครอยากมาเสียค่าใช้จ่ายตรงนี้อยู่แล้ว แต่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะทำยังไงได้ เงินเก็บก็ร่อยหรอลงไปทุกที เราก็ต้องเอาเงินส่วนที่เก็บ เอามาซัพพอร์ต เอามาใช้จ่ายตรงนี้ ถามว่าเครียดมั้ย พอถึงจุดที่หายมาแลกเปลี่ยนกัน พี่ว่ามันก็คุ้ม เพราะว่าเราก็มีแรงที่จะหาเงินใหม่

ในเมื่อทุกคนรอดปลอดภัย พี่คิดถึงขนาดที่ว่ารู้ค่าใช้จ่ายห้องมันสูง เพราะมันเป็นเอกชน แต่ทางรพ.เขาบอกว่าเรามา swab ที่นี่ ตรวจที่นี่ รัฐจ่าย อย่างโล่งเลยนะ แต่พอมาเจอในเรื่องของค่ายา มันก็หนักอยู่ แต่ก็โอเคอย่างวันนี้บิลพี่ออกมา ถ้าเกิดว่าไม่มีประกัน หรือว่ารัฐไม่ได้ช่วยก็ไม่ต่ำกว่าครึ่งล้าน 14 วัน ซึ่งมันก็หนักนะ แล้วเป็น 5 คนเลย

ไหนจะสภาวะความเครียดที่เราต้องเจอกับโรคแล้ว แล้วยังต้องมีค่าใช้จ่ายอีก แต่ก็โชคดีที่เราทำประกันไว้ก็ช่วยได้เยอะมาก แล้วรัฐก็ช่วยด้วย พี่นี่ถือว่าโชคดีนะที่เขามีนโยบายออกมาว่าตรวจเจอที่ไหนให้รักษาที่นั่น”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6675398
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6675398