หญิงแย้ นนทพร เรียนต่อด็อกเตอร์ รัฐศาสตร์ เตรียมลุยการเมืองจริงไหม?


ให้คะแนน


แชร์

เปิดใจ ว่าที่ ดร.หญิงแย้ นนทพร เรียนต่อปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ หลายคนจับตา เตรียมลุยการเมืองจริงไหม?

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

อีกหนึ่งสาวสวยรวยเก่ง หญิงแย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข นักแสดง นางแบบ และเน็ตไอดอลชื่อดัง ที่ล่าสุดเข้าสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในฐานะนักศึกษา “โครงการดารา ศิลปิน และสื่อมวลชน”

โดยเธอเปิดใจกับ ข่าวสดออนไลน์ ในฐานะว่าที่ด็อกเตอร์ ว่าทำไมเลือกเรียนสายนี้ ทั้งๆ ที่งานของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะที่เลือก หรือจะมีแนวโน้มลงการเมือง?


“ใช่ค่ะ กำลังศึกษาต่อนะคะ แต่ว่ามีหลายคนเรียกว่าเป็นด็อกเตอร์แล้ว ยังนะคะ ใจเย็นๆ ค่ะ เดี๋ยวเป็นอาถรรพ์ค่ะ กลัวไม่จบเหมือนกัน เพราะว่ามันใช้เวลาตั้ง 3 ปีในการเรียน การบ้านเยอะ งานเยอะเต็มไปหมด แล้วมันเป็นหลักสูตรที่แย้ไม่มีประสบการณ์ เพราะว่าแย้จบ ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ ศิลปากร เอกภาษาอังกฤษ โทประวัติศาสตร์ แล้วก็จบ ปริญญาโท MBA ที่ Stamford International University แล้วปริญญาเอก ก็เรียนหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ ที่กรุงเทพธนบุรี ก็เลยเหมือนเริ่มต้นใหม่”

ทำไมเราถึงสนใจด้านนี้?
“เนี่ยเป็นคำถามที่หลายคนมาถามว่าทำไมพี่แย้ไม่เรียนต่อนิเทศฯไปเลยจะได้ไปส่งเสริมอาชีพปัจจุบันที่ทำอยู่ แต่ตามความรู้สึกแย้ แย้รู้สึกว่า สื่อของแย้ทั้ง Facebook IG หรือ YouTube ที่แย้ทำอยู่ สมัยนี้เขาเน้นคอนเทนต์มากกว่าคุณภาพวิดีโอด้วยซ้ำ ดังนั้นเรารู้สึกว่าการที่เราจะไปต่อยอดด้านนิเทศฯ มันก็อาจจะไม่ได้มาส่งเสริมชีวิตอะไรเรามากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเรียนทางรัฐศาสตร์มากกว่า เพราะจริงๆ ทางรัฐศาสตร์มันสามารถที่จะเอามาทำให้เราสามารถตัดสินใจอะไรต่างๆ ได้ดีขึ้น ให้เราได้เข้าใจโลกเข้าใจสังคม เข้าใจประเทศไทยมากขึ้น”

มีใครชักชวนหรือแนะนำเรา?
“เริ่มจากน้อง ขวัญ อุษามณี น้องแม็กกี้ อาภา เขาเรียน แย้ก็คิดว่ามันน่าสนใจ จริงๆ แล้วแย้เคยเรียนคอร์สก่อนหน้านี้แล้ว เป็นคอร์สสั้นๆ เรียนกับน้องขวัญ พอเราเห็นเขาเรียนปริญญาเอกรัฐศาสตร์ เราก็สนใจเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาไม่ได้คิดว่าเราจะอยากเป็นด็อกเตอร์ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เก่งพอหรือว่ามีความสามารถที่จะมีคนมาเรียกเราว่าเป็นด็อกเตอร์แย้ได้ เอาง่ายๆ ว่าเหมือนด้อยค่าตัวเองนิดนึง แต่ว่าเราก็เป็นคนมองโลกตามความเป็นจริง เราก็รู้สึกเขินที่มีคนมาเรียกเราว่าด็อกเตอร์แย้ แล้วแกมีความรู้ในระดับที่เป็นด็อกเตอร์หรือเปล่า อันนั้นกังวลเลย

แต่พอเราได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรัฐศาสตร์มา เราก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราสามารถเอาความรู้ที่เราเรียนไปต่อยอดต่างๆ ได้เพียบเลย ไม่ว่าจะเป็นการงานของตัวเราเองหรือเป็นเรื่องของการลงทุน อย่างแย้เองก็เป็นพวกที่ลงทุนในหุ้นคริปโต หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศเยอะ เวลาที่เราจะลงทุนเราจะต้องรู้ว่าตอนนี้อเมริกาเขาจะออกกฎอะไรมาบ้าง เขาจะออกกฎหมายอะไรมาใหม่ หรือว่าจะมีกฎอะไรที่เกี่ยวกับการเมือง

ซึ่งรัฐศาสตร์มันเป็นคณะควบรวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ หรือจะเป็นการบริหารประเทศ เรื่องกฎหมายนิติศาสตร์ คือมันรวมกันหมด ซึ่งมันดีมากกับคนที่สนใจจะเป็นนักลงทุน โดยเฉพาะสายโมโนเมนทอล อันนี้ก็เป็นจุดสำคัญ มันน่าสนใจ น่าเรียน มันจะได้มีความรู้ว่าการที่รัฐบาลออกกฎมา มันส่งผลอะไรกับการลงทุนของเรา แล้วก็ไม่ใช่แค่ประเทศไทย อันนี้รวมไปถึงเศรษฐศาสตร์มหภาคเลย รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ด้วย ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของตัวเราเอง

และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ก็คือที่ผ่านมาแย้เป็นคนที่ค่อนข้างไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นใดๆ ทางการเมืองเลย หรือมีส่วนร่วมกับเขาค่อนข้างน้อย อันนี้ยอมรับเลย เพราะจริงๆ แล้วเราเป็นคนมีชื่อเสียง เราอาจจะใช้ชื่อเสียงของเรา เป็นกระบอกเสียงให้กับคนหลายๆ คนในเรื่องของการเมืองการแสดงความคิดเห็นต่างๆ รู้สึกว่าถ้าเราเรียนเกี่ยวกับเรื่องของรัฐศาสตร์ มันอาจจะทำให้เราคิดวิเคราะห์แยกแยะได้ดีขึ้น แล้วมันก็ทำให้เรารู้ความคิดอะไรบางอย่างของคนๆ หนึ่ง คุณอาจจะมองแค่มุมเล็กๆ ของเขาหรือคุณอาจจะมองอะไรแค่มุมเดียว อาจจะไม่ได้มองมุมอื่น

ดังนั้นการเรียนรัฐศาสตร์มันอาจจะทำให้เราได้รู้ว่าการทำงานของทุกฝ่ายทุกคนเป็นยังไง ความต้องการของประชาชนอย่างพวกเราเป็นยังไง สิ่งที่เราจะต้องเอาไปคุยกับทางรัฐบาลเป็นยังไง ดังนั้นในอนาคตต การเรียนรัฐศาสตร์อาจจะตอบโจทย์ทำให้แย้ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติได้มากขึ้นด้วย”

พอมีข่าวว่าหญิงแย้เรียนรัฐศาสตร์ หลายคนก็ตีความไปว่าจะลงการเมืองหรือเปล่า หรือที่มาเรียน เกี่ยวไหมที่มีแฟนเป็นตำรวจ แล้วถูกชักชวน?
“ในเรื่องของแฟน คือจะบอกว่าแย้กับแฟนแยกกันเลย การงานแยกกันหมดเลย การที่แย้เข้ามาเรียนรัฐศาสตร์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแฟนแย้เลยค่ะ ส่วนเรื่องว่าในอนาคตแย้จะเป็นนักการเมืองไหม ทุกวันนี้ก็ยังไม่กล้าตอบฟันธงว่าไม่มีทาง ฉันไม่เป็นหรอก ไม่มีทางหรอก คือไม่กล้าฟันธง เพราะว่าสมัยก่อนเคยคุยกับเพื่อนว่า แกจะเรียนต่อปริญญาเอกไหม อุ๊ย ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น หัวสมองฉันไม่ได้ดี ฉันไม่กล้าให้ใครมาเรียกฉันว่าด็อกเตอร์หรอก ตอนนั้นก็บอกว่าไม่เรียนแน่นอนปริญญาเอก โนเวย์ แต่สุดท้ายเรียนเฉยเลยจ้ะ ดังนั้นทุกวันนี้ก็เลยยังไม่กล้าฟันธงว่าในอนาคตจะข้องเกี่ยวกับการเมืองไหม

เหตุผลที่ตัดสินใจเรียนไม่ได้เกี่ยวกับว่าฉันอยากเป็นนักการเมือง คือไม่เกี่ยวกัน คืออันนี้เรียนเพื่อที่จะเสริมสร้างภูมิความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน หรือการเป็นกระบอกเสียงเพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตยของเรา

ส่วนเรื่องนักการเมือง แย้รู้สึกว่าคนเราจะเป็นนักการเมืองได้ มันต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่สูงส่งมากๆ คือพร้อมที่จะเสียสละความสุขส่วนตนเพื่ออุทิศให้กับความสุขส่วนรวมของสังคมและประเทศชาติ ที่ต้องบอกตรงๆ เลยว่า แย้ก็ไม่ใช่เป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนที่ดีขนาดที่จะยอมเสียสละเวลาความสุขของฉัน ที่อยากจะนอนตื่นสายแล้วตื่นขึ้นมาทำงานเพื่อสังคมและประเทศชาติ คือเรายังรู้สึกว่ายังไม่ถึงจุดนั้นจริงๆ ยังอยากใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ ยังไม่เก่งพอ และยังไม่รู้สึกว่าดีพอด้วยซ้ำที่จะเป็นการนักการเมืองที่คอยรักษาผลประโยชน์ของสังคมและประชาชน อันนี้พูดทั่วไปนะคะ ไม่ได้หมายถึงใครโดยเฉพาะค่ะ”

แล้วมีเวลาแบ่งไปเรียนยังไง เพราะตอนนี้งานของเราเองก็ค่อนข้างจะแน่น?
“ยากมากเลยตรงนี้ เพราะว่าจริงๆ แล้วชีวิตที่ผ่านมาของแย้ ก็คือคอนเทนต์ที่ทุกคนเห็นกันใน IG Facebook YouTube จริงๆ แล้วการทำคอนเทนต์ก็คือหมดวันแล้ว ที่เหลือก็คือกินข้าวแล้วก็นอน อีกนิดนึงก็อาจจะมีปาร์ตี้กับเพื่อนๆ เพื่อนมาที่บ้านนั่งคุยกันกินข้าวหรือว่าดื่มก็มีบ้าง เพราะพักหลังมาแย้เป็นนักลงทุนสายคริปโตก็จะมีชุมชนคริปโตคนที่เล่นคริปโตด้วยกันก็นัดกันที่บ้านแย้ คือพักหลังมาที่จะได้เจอเพื่อนกลุ่มนี้ ก็จะไม่ได้เจอแล้ว เพราะว่าเราก็จะต้องจัดเวลามาศึกษาต่อ เอาเวลามาเป็นด็อกเตอร์

และถึงแม้ว่ามันเป็นการเรียนออนไลน์ แต่การบ้านมาจุกๆ แน่นๆ เลย ซึ่งตัวแย้เองก็เสียเปรียบด้วย เพราะแย้ไม่เคยเรียนรัฐศาสตร์มาก่อน ดังนั้นเราจะต้องทำการบ้านหนักกว่าคนที่เคยเรียนรัฐศาสตร์ในระดับระดับปริญญาตรีหรือระดับปริญญาโทมาแล้ว อันนี้แหละมันเลยทำให้เป็นจุดที่เราจะต้องขยันกว่าคนอื่น แล้วก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่น”

เห็นว่าเขินที่มีคนเรียกด็อกเตอร์ ตอนนี้เตรียมใจให้ชินหรือยัง?
“ตอนแรกๆ ก็ต้องเขินแหละ เราคิดว่าเราจะมีความสามารถมากพอที่จะเป็นด็อกเตอร์ไหมนะ หรือเรามันทรงคุณค่าพอไหมที่จะมีคนมาเรียกว่าเป็นด็อกเตอร์ หรือเราจะทำประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติได้มากพอไหมที่คนจะมาเรียกเราว่าด็อกเตอร์ อันนี้แหละคือประเด็น”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6680353
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6680353