กองทัพ พีค กฎเหล็กวงการบันเทิง ‘ห้ามมีแฟน’ เส้นทางเป็นพระเอกไม่ง่าย!


ให้คะแนน


แชร์

“พีคมีความฝันอยากเป็นนักร้อง นักแสดง อะไรก็ได้ที่ได้ทำในวงการบันเทิง ฝันไว้ตั้งแต่เด็กเลย เพราะตอนเด็ก พีคได้ดูสารคดี Justin Bieber เลยรู้สึกว่าอยากจะมอบความสุขให้กับคนอื่น

เหมือนที่เขาได้มอบความสุขให้กับพีคในตอนนั้น”

เขาย้ำว่าไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องดังให้เหมือนไอดอลระดับโลก ขอแค่ได้สร้างผลงาน ไม่ว่าจะการแสดงหรือเพลง คนฟังได้ฟังแล้วมีความสุขแค่นี้ก็พอใจแล้ว 

“ระหว่างทางก็ไม่ได้หยุดแค่ฝันครับ พีคเลยตั้งใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เป็น Theatre School (Sylvia Young Theatre School) สอนเกี่ยวกับศิลปะการแสดง ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ได้เห็นด้วยนักหรอกครับ เพราะพีคต้องไปใช้ชีวิตคนเดียว จากที่เด็กผูกเชือกรองเท้ายังไม่เป็น ทำอาหารก็ยังไม่เป็น ต้องปรับตัวและทำอาหารให้เป็น ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว”

แน่นอนการปรับตัวในสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ประเทศใหม่ การเรียนแบบใหม่ๆ ด้วยตัวคนเดียว ย่อมทำให้เกิดการท้อ จนถึงขั้นมีน้ำตา

“การท้อมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่เราท้อแต่ไม่ถอย เคยมีคนบอกนะครับว่าผู้ชายไม่ควรจะร้องไห้ พีคมองว่ามันไม่สมเหตุสมผล พีคมองว่าการร้องไห้มันคือการบอกถึงความอ่อนแอก็จริง แต่มันก็บอกว่าเราเข้มแข็งในอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเรากล้าที่จะร้องไห้”

เด็กฝึกเกาหลี
ต้องเอาตัวให้รอด

พีคได้เล่าถึงช่วงเวลาที่ได้เป็นเด็กฝึกที่เกาหลี ไปออกรายการ Produce 101 ซึ่งเป็นรายการเรียลลิตี้ค้นหากลุ่มศิลปิน จากเด็กฝึกหัดทั้งหมด 101 คนทั่วประเทศเกาหลีใต้ และจะมีเด็กฝึกหัดเพียง 11 คน ได้เดบิวต์เป็น ‘บอยแบนด์แห่งชาติ’

“หลังจากที่พีคเรียนจบจากอังกฤษ กลับมาเมืองไทย ได้ร่วมงานกับทางช่อง 3 และได้เดินแบบที่โซล แฟชั่น วีค ไปต้องตาคนที่เกาหลีให้ไปออกรายการ I Can See Your Voice ที่เกาหลีใต้ เลยมีคนมาติดต่อให้ไปออดิชั่นรายการ Produce 101 ซึ่งพีคมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เลยได้ออดิชั่นไป”

ช่วงเวลาของพีคในรายการแค่ 6 เดือน เขารู้สึกเหมือน 6 ปี เพราะฝึกซ้อมหนักมาก ถึงขนาดก่อนจะไปรายการ ผู้จัดการที่เกาหลีก็ได้เตือนมาแล้วว่ามันเป็นรายการที่โหดที่สุด ถ้าไม่ไหวก็ให้รีบบอก แต่เล่าว่าตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า 

“จะเหนื่อยยังไง จะท้อยังไงมันไม่ตายหรอก เราสู้ ใจเราแข็งพอหรือเปล่า มันหนักเกินความคาดหมาย ด้วยการฝึกซ้อมที่หนักมาก และพีคช็อกที่อากาศด้วย เมืองไทยอากาศร้อนพอไปอยู่ที่โน่นคืออากาศหนาว ร่างกายต้องปรับตัวอีกแล้ว เยอะมากในระยะเวลาสั้นๆ เวลาการซ้อมก็เหมือนกันครับ เราใช้เวลาซ้อม 20-23 ชั่วโมงต่อวัน เพราะมันมีภารกิจที่ต้องเร่งถ่ายทำ ไม่มีเวลาให้เอ้อระเหยเลย”

ให้รักพิพากษา

บทเด็กหน้ามึน

Thairath Talk : การได้รับบทคู่กับเบลล่า ราณี ขวัญใจของหนุ่มๆทั้งประเทศ รู้สึกอย่างไรบ้าง

ตอนแรกก็ทราบแค่นางเอกคือเบลล่า แต่ก็นึกในใจ มีเบลล่าเดียวใช่ไหม (หัวเราะ) พอเจอตัวจริงพี่เบลล่า ก็โอเคใช่แล้วจริงๆ มีเบลล่าเดียว

Thairath Talk : มีข้อบกพร่องอะไรไหมครับที่อยากกลับไปแก้ไขในบทคิว เด็กหน้ามึน

พีคเต็มที่แล้วละฮะ พีครู้สึกว่าการเล่นที่ผ่านมา ทำทุกอย่างที่อยากทำ เพราะมันไม่ใช่ตัวพีคเองอยู่แล้ว สวมบทคิวให้เต็มที่ที่สุด มันทำให้พีคมองเห็นเสน่ห์ของการแสดง พอจบละครเรื่องหนึ่ง เราก็จะเดินหน้าไปละครเรื่องใหม่ เพราะฉะนั้นบทของคิว พีคทำเต็มที่แล้ว พีคไม่เสียดายอะไรแล้ว

Thairath Talk : 10 คะแนน คุณให้คะแนนตัวเองในเรื่องให้รักพิพากษาเท่าไร

ให้สัก 1 คะแนนแล้วกันครับ เพราะมันเป็นก้าวแรกของพีค มันพัฒนาได้อีก ไม่ควรบอกว่าพีคเก่งแล้ว คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา

ผมคือเพอร์เฟกชันนิสต์

ทำอะไรทำจริง ทำจนถึงที่สุด น่าจะเป็นนิสัยของพีคที่เรามองเห็นชัดเจนที่สุด และเขาเองก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบ หรือจะเรียกว่า เพอร์เฟกชันนิสต์ นั่นแหละ 

“พีคเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์คนหนึ่งเลยนะ แต่เป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ที่ไม่นอกกรอบ อยากทำให้ได้อย่างที่เราเห็นภาพ เช่นการแต่งเพลงก็อยากทำให้ได้อย่างที่เราได้ยินเสียงในหู หรือการนั่งบนเก้าอี้เนี่ย ห้ามเสื้อผ้ายับเลยนะ แต่ก็รู้ว่ามันมากไป เลยต้องปรับกรอบความคิดตัวเองใหม่ ไม่ต้องสมบูรณ์ 100% แบบนั้น ควรจะมีมุมผ่อนคลายได้บ้าง”

พีคเล่าถึงตัวเองแล้วก็ยิ้มเบาๆ

ชีวิต = วงการมายา

เป็นสไตล์ของรายการ Thairath Talk ที่มักจะให้แขกผู้มาสัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นสังคม ซึ่งมันจะสื่อออกมาให้เราเห็นถึงความคิดของคนคนนั้นว่ามองโลกเป็นแบบใด โดยเราถามพีคว่า คำว่าวงการมายากับชีวิตจริง มองเห็นความเหมือนหรือความต่างกันหรือไม่ รู้สึกไหมว่าตอนนี้คนมักใส่หน้ากากเข้าหากัน 

“มันคือชีวิตของคนจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่ในวงการบันเทิง มันคือสัญชาตญาณที่ต้องเอาชีวิตให้รอด สัจธรรมต่างๆ พีคแค่คิดว่า เราทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ไม่เบียดเบียนใคร ทำแต่ความดี น่าจะเป็นสิ่งที่โอเคที่สุดแล้ว”

ชัดเจนในคำตอบว่าพีคเป็นผู้ชายที่มองเห็นความจริงบนโลก รู้จักปรับตัวและคิดบวกอยู่เสมอ 

อายุ 25 ปี ค่อยมีแฟน?

หลังจากนี้เราจะถอดคำสัมภาษณ์ของกองทัพ พีคแบบคำต่อคำ คำถามและคำตอบ เพื่อให้อรรถรสแก่แฟนคลับได้ดื่มด่ำคำตอบเรื่องราวความรักของพีคแบบไม่ตัดไม่ต่อไม่แต่งไม่เติม

Thairath Talk : มุมมองความรัก พีคเห็นความรักในรูปแบบไหน

ความรักไม่ปิดกั้นแล้วครับ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ความรักไม่ควรมีอุปสรรค ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ

Thairath Talk : รักคือไร้พรมแดน

ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง ชายกับหญิง มันคือความสวยงาม

Thairath Talk : ปัจจุบันมีแฟนไหมครับ

ไม่มีเลยครับ (หัวเราะ) อยากทำงานให้เต็มที่เท่าที่พีคจะทำได้

Thairath Talk : ที่ผ่านมาเคยมีแฟนไหม

ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีแฟนครับ (ดื่มน้ำแก้เขินและรีบแก้ตัว) ผมคอแห้งนานแล้วครับ แต่จังหวะมันพอดี ตายแล้ว (หัวเราะ)

Thairath Talk : ไม่มีแฟนเพราะคุณพ่อกำหนดหรือเปล่า เหมือนนักฟุตบอลบางคน (ซน ฮึง-มิน) ที่คุณพ่อยังไม่อนุญาตให้มีความรักจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร

คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ห้าม แค่บอกให้พีคทำหน้าที่ให้เต็มที่ที่สุด แต่คุณพ่อกำหนดไว้ว่า ถ้าจะตอบแทนบุญคุณวงการบันเทิง อยากจะให้เต็มที่ที่สุดจนถึงอายุ 25 ปี หลังจากนั้นค่อยว่ากัน แต่ไม่ได้พูดถึงขนาดว่าห้ามมีแฟน ถ้าใครเข้ามาระหว่างนี้คุณพ่อไม่ได้ปิดกั้น ขอให้รักพีคจริงๆ สำหรับพีคถ้าใครที่จะเข้ามา พีคก็อยากจะดูแลเค้าให้เต็มที่ที่สุด

สาวในอุดมคติ

“พีคเคยมีสเปกนะครับ แต่ตอนนี้มันอยู่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่า ความรักคือเรื่องของคนสองคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรือเพศไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกยังไงกับเขา สูงต่ำดำขาว หรือสัญชาติไหนก็ได้หมด พีคชอบคนเฮฮาตลกและเข้ากับพีคได้ เอาจริงๆ คือนิสัยเหมือนคุณแม่พีคอะครับ เพราะคุณแม่ชอบเล่นตลกให้พีคและคุณพ่อดูตลอด (ยิ้ม)”

ผมแต่งทุกเพลงจากหัวใจ

ปิดท้ายด้วยความสนใจในการทำเพลงของพีค ซึ่งเขาบอกเราตลอดการสัมภาษณ์จะพูดถึงการทำเพลง การแต่งเพลงและร้องเพลงอยู่เสมอ 

“การแต่งเพลงมันมาจากหัวใจ พีคอาจจะใช้สมองในการคิดคำ ส่วนมากมันมาจากใจมากกว่า เพราะฉะนั้นก็ให้หัวใจนำทางในการแต่งเพลงไป แนวเพลงส่วนมากของพีคก็ยังคงเป็นป๊อป เคป๊อป ทีป๊อปได้หมดเลยครับ”

และคำถามส่งท้ายที่พีคทำให้เราประทับใจในคำตอบ พิธีกรถามว่า คนในวงการบันเทิงคือเต้นกินรำเต้น มันเป็นอาชีพที่ไม่มีความแน่นอน เมื่อพีคได้ยินคำถามอึ้งไปเล็กน้อย คาดว่าคงจะแปลคำว่าเต้นกินรำกินอยู่ 

“ไม่มีอาชีพอะไรที่แน่นอนหรอกครับ ในอนาคตมันก็คงเป็นอีกสเตปของชีวิตที่ต้องก้าวต่อไป สำหรับพีควันนี้ยังมีแรงจะทำเบื้องหน้า วันต่อไปพีคก็ยังคงเต้นกินรำกินแต่ในบทบาทของคนเบื้องหลัง โลกมันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เราก็บอกไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่แล้ว ไม่ว่าการงานและชีวิตเราเอง”

เราทึ่งกับคำตอบของผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่คำตอบมันลึกซึ้ง แต่มันเป็นการมองโลกในมุมบวกของเขามากกว่า ใช่โลกมันโหดร้ายแต่หากเราปรับตัวตามให้ทันและใช้ชีวิตด้วยความคิดไม่ติดลบ ของที่มันดูยาก ก็ง่ายขึ้นในพริบตา

ชมคลิปฉบับเต็ม

ผู้เขียน : Bouquet Talk

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/2221476
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/2221476