เอ ไชยา ควง หนูนา เล่าความรักลูกสาวเศรษฐีกับพระเอกลิเกที่ต้องหลบซ่อน


ให้คะแนน


แชร์

ล่าสุด เอ ไชยา ได้ควงภรรยา หนูนา พจนา มาเล่าถึงเรื่องในอดีตที่ต้องอยู่กันแบบหลบซ่อน จากลูกสาวเศรษฐีต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ทุกอย่างเพื่อสามี จะบอกใครก็ไม่ได้ และต้องทำตัวโทรมเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยจากแฟนคลับ ผ่านทางรายการ แฉ

โดย หนูนา บอกว่า ความรักของทั้งคู่ยาวนานกว่า 30 ปีแล้ว และที่เปิดตัวไม่ได้ก็ 20 กว่าปี และช่วงที่เปิดตัวไม่อยากเปิดแล้ว เพราะอยู่กันแบบคุ้นเคยแล้ว 

เอ ไชยา เล่าต่อว่า ที่ผ่านมา หนูนา ไม่เคยได้เข้าหลังเวทีลิเกเลย เพราะไม่มีสิทธิ์ จนกระทั่งตัวเองได้เข้ามาในวงการบันเทิง ก็อาจจะได้พาภรรยาไปเวทีลิเกบ้าง แต่ไปก็ไปในฐานะแบบว่า ตอนแรกเคยคิดว่าจะให้เค้าแต่งตัวเป็นทอมบอยไปเลย หรือว่าให้เป็นคนขับรถได้มั้ย สงสารเค้าจับใจ ไม่รู้จะหาวิธีไหนให้ได้อยู่ด้วยกัน อยากให้เค้าคลายกังวลว่าเราไปทำงาน เราอยู่ด้วยกันมา ไม่ได้มีเรื่องหึงหวงอะไรเลย 

เมื่อถามว่าความรักระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นได้ยังไง หนูนา เล่าให้ฟังว่า เกิดจากแม่ แม่ไปดูลิเกแล้วชอบพี่เอ ชอบการแสดง เลยจ้างพี่เอมาเล่น พอได้คุยแม่รู้สึกเป็นเด็กดี แม่รักเป็นลูกเลย รักมากกว่าลูกอีก รักมาก ลักษณะคือแม่อยากให้เป็นแฟนกัน แม่บอกเด็กคนนี้เด็กดี แม่มั่นใจเลยว่า เด็กคนนี้ถ้าแม่แก่แล้วเค้าดูแลแม่ ซึ่งตอนนั้นตนเองอายุ 20 แต่ยังไม่มีแฟน จากนั้นแม่ก็พาไปดูลิเกเรื่อยๆ จนรู้จักกันได้ 3 เดือน แม่ก็ให้อยู่กินกันเลย 

เอ ไชยา เล่าต่อว่า ในตอนนั้นไม่ใช่มีแต่แม่ของ หนูนา แต่มีหลายคนเลยที่อยากจะยกลูกสาวให้ มีระดับลูกสาวนายพลก็มี ระดับสายการบินก็มี แต่ที่เข้ามา เค้าไม่ได้มาดูลิเกโดยตรง เราเล่นลิเกมาจากเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว แต่เรามีชื่อในการร้องเพลง ทำกุศล เค้ารู้ก็เกิดจากความเมตตาเราก่อน แต่เราไม่มีข่าวเสียหายกับแม่ยกคนไหนเลย

คุณแม่ที่ท่านมา จองตัวเลยเค้าบอกเดี๋ยวแม่บวชให้ก่อน จัดงานให้ใหญ่โตเลย แล้วค่อยแต่งกับลูกเค้า แต่เป็นแม่ๆ ท่านอื่น ไม่ใช่แม่หนูนา เหตุเกิดจากวันที่เสียใจที่สุดพ่อหนูนาเสียชีวิต จัดงาน 100 วันแล้ว เก็บมานานพอสมควร แม่เลยจ้างพี่เอมาเล่นลิเก จนเป็นจุดพบรัก

เมื่อถามว่ารู้มั้ยแม่เค้าจ้างมาเพราะตั้งใจยกลูกสาวให้ เอ บอกไม่รู้ เพราะเราก็ตั้งใจทำงานของเราไป จน หนูนา เค้ามาเล่าทีหลังว่า เค้าไม่ได้ชอบเราตั้งแต่แรก เพราะได้ยินคนอื่นลือมาว่าเราหยิ่ง เข้าถึงยาก 

หนูนา ก็บอกต่อว่า เราเฉยๆ เพราะคิดว่าตัวเราเข้าถึงยากอยู่แล้ว และเด็กสาวๆ เยอะ เราก็ยืนดูห่างๆ ไม่คิดว่าเราจะได้มาอยู่กับเค้า 

เอ เล่าต่อว่าด้วยความที่แม่ของหนูนากับพ่อของเราสนิทกัน เค้าเป็นผู้ใหญ่ที่คุยกันง่าย บางวันตื่นมา แม่ของหนูนา ก็มาที่บ้านมาทำกับข้าวกินกันกับพ่อ ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่เค้าคุยกันถูกคอ แบบเช้าถึงเย็นถึง บางทีก็เจอ หนูนา นั่งอยู่ด้วย เราก็คิดว่าเค้าหยิ่งเพราะเค้าไม่พูดด้วยเลย เป็นคนที่เฉยและนิ่งมาก เลยมองว่าต่างคนต่างจูนไม่ติด สุดท้ายเลยได้ลองคุยกันดูเพราะผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามแล้ว เลยรู้ว่า หนูนา เค้าเป็นคนที่มีมารยาทมากนะ และถูกสอนมาดี 

เชื่อมั้ยในปัจจุบันนี้เวลาจะทานข้าว หนูนา เค้าจะพูดติดหูมาจนทุกวันนี้ว่า “พี่เอจะทานข้าวมั้ยคะ” คือคุณย่าและคุณแม่เค้าสอนมาดีมาก ตนเองยังเรียกเค้ากินข้าว แต่หนูนาไม่เคยหลุดคำว่ากินข้าวจนปัจจุบัน เค้าถูกฝึกมาดี สอนมาดีมาก

หนูนา เล่าว่า เตรียมใจมาตลอดว่าเค้าจะทิ้งเรา เพราะเค้าเป็นพระเอกลิเกเปิดเผยอะไรไม่ได้ คือถ้าวันหนึ่งเค้าทิ้งเรา เราก็ต้องยอมรับมัน พยายามไม่รู้สึกอะไร ด้าน เอ ไชยา กล่าวว่า แต่เค้าก็ต้องมั่นใจในตัวเราระดับหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่อยู่กันมานานขนาดนี้

แม่มีอิทธิพลกับ หนูนา มาก แม่เค้ามีที่ดินในกรุงเทพฯ เยอะ พี่เออยากได้อะไรแม่ให้ทุกอย่าง หมายถึงว่า ซื้อทอง ซื้อเพชร ซื้อรถ ซื้ออะไร เค้าซื้อให้เองหมด โดยพี่เอไม่ต้องเอ่ยปาก ให้ตั้งแต่ยังไม่เป็นลูกเขย ให้ตังค์ให้ทองให้แหวนให้เพชร พอเป็นลูกเขยพี่เออยากได้อะไรเค้าก็หาให้ทุกอย่าง

มดดำ ช่วยเสริมว่า แม่ของ หนูนา เป็นคนรวยมาก มีที่ดินแถวสาทรซึ่งมีราคาแพงอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และยกให้ เอ ไชยา 

ในช่วง 3 เดือนที่รู้จักกัน ได้เจอกันไม่บ่อยเพราะ เอ ต้องไปเล่นลิเก เลยทำให้ หนูนา ต้องทำใจเผื่อไว้ เพราะอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ตอนนี้ก็ยังเผื่อใจนะ เพราะเหตุการณ์ข้างหน้าเราไม่รู้ ถ้าเกิดจริงๆ เราก็จะได้ยอมรับได้ 

เมื่อถามว่าตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเปิดเผยตัวเลย หนูนา รู้สึกยังไง เจ้าตัวบอกว่า เสียใจก็มีนะ อึดอัด เราเลี้ยงลูกอยู่คนเดียวก็เหงา แต่เราต้องอดทนนะ ต้องอยู่ได้นะ 

มดดำ เล่าบอกว่า เอ เคยบอกว่า ต้องให้ภรรยาแต่งตัวให้โทรมมากที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้ดูโทรม ถึงจะเดินคู่กันได้ เอ เล่าต่อว่า คือทำยังไงก็ได้ไม่ให้เป็นจุดสนใจ และเค้าจะหายไปจากวงจรลิเกเลยนะ ไม่สามารถไปได้เลย และเราก็ยังไม่รู้ชะตากรรมจะเป็นยังไง เพราะเค้าก็อยู่กับลูกตลอด เล็บก็ทาสีไม่ได้ ยังจำภาพที่เค้าโยนสีทาเล็บลงถังขยะและเราไปเจอ จนวันนี้ก็ยังติดอยู่ในใจ คือเราก็อยากให้เค้าสวย แต่ด้วยหน้าที่การงานของเรามันทำไม่ได้

หนูนา บอกว่า เราก็ต้องหยุดแต่งหน้าเลย ด้วยความเต็มใจ ไม่อึดอัด เราเข้าใจชีวิตเค้า และรู้สึกว่าพี่เค้าต้องทำงานเลี้ยงหลายชีวิต เราโอเคนะเพราะเค้ายังมีอีกหลายคนที่ต้องดูแล ตอนที่เพลง กระทงหลงทาง ไม่ได้เจอหน้าพี่เอปีครึ่ง ถ้าเจอก็เดือนถึงสองเดือนครั้ง ไปหาที่คอนโดฯ และเค้าก็บอกไม่ได้ว่าจะได้เจอมั้ย 

เอ ไชยา บอกว่า ไม่ได้เจอและไม่ได้คุยเลย เพราะหลังจากที่เข้ารายการเสร็จก็หลับ แม้กระทั่งผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่เคยรู้ว่าเรามีเมีย เพราะไม่ได้บอกใครเลย เวลาเค้าโทร.มา พอเค้าไม่ได้ยินเสียงว่าเป็นพี่เอรับสายเค้าก็กดวาง 

หนูนา ไม่เคยขับรถเลย จนต้องไปเรียนขับรถเพราะว่าลูกเข้าโรงเรียน และเป็นหน้าฝนด้วย ไปเรียน 7 วันและออกรถเลย ทำเพื่อลูก และถ้าใครถามถึงพ่อ ก็จะให้ลูกบอกว่า พ่อทำงานต่างจังหวัดและไม่ให้เอ่ยชื่อว่าพ่อเป็นใคร ซึ่งลูกเค้าก็ถามว่าทำไม เราก็บอกเหตุผลไปว่าเพื่ออนาคตของพ่อ และเรา 3 คนก็อยู่กันได้สบายอยู่แล้ว ลูกๆ เค้าก็เข้าใจจนทุกวันนี้ 

เอ เล่าว่า เคยถึงขั้นต้องพาลูกหนี เพราะด้วยความที่ลูกยังเด็ก ก็ไปบอกครูว่า พ่อหนูคือ ไชยา มิตรชัย และครูก็เป็นแฟนคลับอยู่แล้ว เลยรู้กันทั้งโรงเรียน สมัยนั้นก็มีนิตยสารเขียนพาดหัวว่า ไชยาซุกลูก เลยต้องเปลี่ยนชื่อลูก ตอนนั้นตั้งชื่อลูกว่า พลอยกับแชมป์ จนต้องเปลี่ยนเป็น น้องแป้ง จนทุกวันนี้ และต้องให้ภรรยาพาลูกหนีไปอยู่สัตหีบ อยู่บนเขา ซึ่งมันลำบากมากๆ ไม่มีรถ ไม่มีร้านค้า ต้องรอพี่เอขึ้นมาหาและซื้ออาหารมาให้ และลูกต้องหยุดเรียนหนังสือไป 1 ปี 

แม่ก็ถามหนูนาว่าไหวมั้ย เราก็บอกว่าทนได้ เพราะพี่เอเค้าไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ หรือติดผู้หญิง เค้าไม่ได้ทำผิดกับเรา ตรงนี้โอเค ไม่เป็นไร และลูกๆ ก็เข้าใจ. 

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2225872
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2225872