รับรองว่าบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ฟินทะลุปรอท ขนาดเต๋อยังการันตี “คบกันมาทั้งหมด 4 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วเหมือนปีแรกอยู่เลย” โอ๊ย ทุกประโยคหวานมากแต่สัมผัสได้ถึงความจริงใจของผู้ชายคลั่งรักคนนี้จริงๆ 

“เอาจริงๆ ผมไม่ได้จีบเขาด้วยซ้ำ มันไม่เชิงเป็นการจีบ แต่เรามีโอกาสได้เล่นละครด้วยกันเรื่องหนึ่ง (ชายไม่จริง หญิงแท้) ตลอดเวลาที่เล่นด้วยกันก็มีแซวกันบ้าง เล่นกันบ้างตามปกติ จนกระทั่ง คิวท้ายๆ ใกล้จะปิดกล้อง ผมก็เกิดความรู้สึกเสียดายว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกัน

ผมเกิดความรู้สึกดีกับเขานะหลังจากถ่ายใกล้จบ ผมเลยทักคุยกับเขาใน IG ไม่ได้มีไลน์กัน ก็คุยกันมาสักระยะหนึ่ง ผมเลยมั่นใจว่าผมรู้สึกดีกับเขา ผมเลยโทรศัพท์ไปหาพี่เกล้า (เกล้า น้ำพราว ผู้จัดการ ใหม่ ดาวิกา) ก็สารภาพไปตรงๆ ว่า “ผมชอบน้องเขานะครับ” แล้วพี่เกล้าก็บอกว่าไม่ต้องรีบ คือเขาก็ไม่ได้สนับสนุน 100% และไม่ได้ขัดขวาง 100% เหมือนเปิดโอกาสให้น้องได้ทำความรู้จักกันดู ซึ่งพี่เกล้าก็จะคอยดูอยู่ห่างๆ ด้วย”

ไม่ใช่ว่าขออนุญาตจากผู้ใหญ่คนสนิทแล้วจะง่าย เต๋อยอมรับว่าต้องคอยตอดคุยผ่านไดเร็กไอจีอยู่นาน กว่าจะเริ่มต้นขอไลน์และด่านที่หินไม่แพ้กันคือการขอเบอร์โทรศัพท์ 

“เบอร์โทรศัพท์ของใหม่เนี่ยกว่าจะได้นานมากนะ กว่าเขาจะยอมให้เบอร์ เพราะเขาเป็นคนที่คัดกรองคนเข้ามาในชีวิต การที่ใครมีเบอร์เขาเนี่ย เหมือนต้องสนิทกับเขาแบบมาอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขาก็คงมองว่าผมมาจีบจริงใจหรือเปล่า จีบเล่นๆ หรือเปล่า ลึกๆ เป็นคนดีไหม มาหลอกเขาหรือเปล่า ก็ใช้เวลาพิสูจน์ก็หลายเดือนอยู่”

อายุที่ห่างกันเกือบ 10 ปี จะเป็นอุปสรรคต่อความรักของคู่รักดาราคู่นี้หรือไม่ ซึ่งลุง (เต๋อ) ตอบคำถามที่ดูเครียดนี้ให้ดูน่าอิจฉาไปได้เฉยเลย 

“ตอนแรกผมนึกว่าจะต้องปรับตัวกันเยอะแน่ๆ ในความคิดผม เราทั้งคู่น่าจะเป็นคนละขั้วกัน ชีวิตคนละแบบ มีไลฟ์สไตล์คนละแบบ แต่พอได้รู้จักเขาจริงๆ ปรากฏว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ เขาเป็นคนที่เรียบง่ายมากเลยครับ ใช้ชีวิตคล้ายๆ เดิมทุกวัน และไม่มีอะไรหวือหวา ตื่นมาทำอะไรแบบเดิม กินอะไรคล้ายเดิม สมมติไปกินอะไรกัน สามารถสั่งแทนกันได้เลย 100% รู้ว่าอีกคนจะกินอะไรบ้าง

ความสุขของเขาคือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นวันนี้ท้องฟ้าสวยมาก วันนั้นคือวันที่เขามีความสุขมาก ก็เลยไม่มีการปรับตัวเยอะ และตัวเขาก็ไม่ได้มีความคาดหวังว่าให้ผมเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับเขาด้วย เขาก็รู้สึกว่าผมที่เป็นผม แบบนี้ดีแล้ว เขาจะสนับสนุนทุกเรื่องที่ผมอยากทำ อะไรที่ผมชอบ”

เราถามเต๋อด้วยคำถามง่ายๆ แค่ว่า “ชอบอะไรในตัวใหม่ ดาวิกา?” เอาจริงๆ พอยิงคำถามไป คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำเอาเราตะลึงนะ ไม่ใช่ว่ามันผิดคาด แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนหนึ่งจะมองแฟนตัวเองได้ลึกซึ้งขนาดนี้

“ผมชอบการเทคแคร์ที่สุดเลย การเอาใจใส่ ใส่ใจกับทุกรายละเอียดทุกอย่างในชีวิต สมมติผมทำงานเขียนบทอยู่ บางทีก็จะมีของกินส่งมาให้ เป็นของกินที่ผมชอบกินมากๆ เหมือนเขารู้ว่าผมเหนื่อย ก่อนที่ผมจะรู้ว่าตัวเองเหนื่อยอีก (ยิ้ม) เขาใส่ใจทุกอย่างเลย เวลาเขาไปเจออะไรที่ผมชอบ เขาก็จะเอามาฝาก ส่งมาให้ เขาจะนึกถึงเราในทุกๆ ช่วงเวลา ซึ่งเขาเป็นแบบนี้กับทุกคนที่อยู่รอบตัวเขานะ

ถือเป็นความโชคดีมากๆ ครับในชีวิตผมที่ได้รู้จักใหม่ ดาวิกา”

เต๋อยอมรับว่าคงไม่มีช่วงเวลาหวานที่น่าจดจำอย่างการขอเป็นแฟน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งเขาจำไม่ได้ และเชื่อว่าใหม่เองก็จำไม่ได้ (เต๋อเขาว่ามาแบบนั้น) เพราะคู่นี้เขาใช้เวลาพัฒนาเรียนรู้ศึกษากันไป ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าหนังเรื่องแรกที่ดูด้วยกันหรือร้านอาหารร้านแรกที่ไปด้วยกันคือร้านอะไร เพราะโฟกัสที่ความสุข ณ เวลานั้นมากกว่า

“คบกันมาทั้งหมด 4 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วเหมือนปีแรกอยู่เลย”

“ใช่ครับ ไม่ใช่ว่าผมต้องบอกรักเขาทุกวัน แต่ว่าผมรู้สึกทุกวันแล้วก็พูดมันออกมา มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำนะครับ เพราะว่าผมเล่นละครเรื่อง Help Me คุณผีช่วยด้วย ตัวละครเสียชีวิตก่อนที่จะได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ผมรู้สึกว่าการที่เราเกิดมา เราควรจะทำทุกวันให้เต็มที่ เรามีอะไรไม่ควรเก็บไว้ในใจ อยากให้เขารับรู้เราก็แค่บอก เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นในอนาคต“

หลังจากนี้เราขอถอดบทสัมภาษณ์เป็นคำถามและคำตอบของเต๋อ ฉันทวิชช์ แบบคำต่อคำ เราอยากให้แฟนคลับคู่นี้ได้เต็มอิ่มครบอรรถรสกับคำตอบสุดประทับใจนี้แบบไม่ตัดไม่ต่อไม่เติมไม่แต่ง

Thairath Talk : คุณเป็นคนคลั่งรักจริงไหม

ว่างั้นก็ได้ (พยักหน้า) ผมชอบเวลาอยู่กับเขา ผมชอบตัวเองเวลาอยู่กับเขา อยู่กับเขาแล้วมันมีความสุข

Thairath Talk : มองอนาคตข้างหน้ากับความรักครั้งนี้ไว้อย่างไร

ไม่ได้มองอนาคตไกล แต่มองอนาคตไปในแต่ละวันมากกว่า พยายามทำทุกอย่างให้มีความสุขที่สุด

Thairath Talk : คุยเรื่องแต่งงานไว้ไหม

ไม่ได้คุยอย่างจริงจัง มันไม่ใช่สิ่งที่คุยและวางแผนในตอนนี้ ก็รู้สึกว่า เราโฟกัสที่แต่ละวันไปเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้กลัวการแต่งงานนะ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการมีครอบครัวนั่นแหละ ผมเป็นคนอยากมีครอบครัว แต่ผมไม่ใช่คนรีบ แม้อายุจะ 38 ปีแล้วก็ยังคิดว่าชีวิตยังอีกยาวไกล คือเรายังมีเวลาเรียนรู้กันไปได้เรื่อยๆ เลยยังไม่ได้คิดว่าเราต้องแต่งงานกัน ณ เวลานี้ ไม่ได้กำหนดระยะเวลา ผมคิดว่าถ้าถึงเวลาที่มันใช่ ก็ตอนนั้นแหละ

ผู้เขียน : Bouquet Talk