โต้ง บรรจง ยอมรับกระแสหนัง ร่างทรง มีทั้งบวกลบ มองไม่ใช่ทางของออสการ์


ให้คะแนน


แชร์

อีกทั้งยังได้รับเลือกจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ให้เป็นตัวแทนของภาพยนตร์ไทยเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ในสาขา Best International Feature Film (สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม) 

แต่แน่นอนมีทั้งกระแสเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กับการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นตัวแทนของหนังไทยไปชิงรางวัลบนเวทีระดับโลกอย่างออสการ์ อีกทั้งยังเกิดความสับสนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างค่ายหนังของไทยและเกาหลี จะสามารถส่งเป็นตัวแทนของภาพยนตร์ไทยได้จริงๆ หรือไม่ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์จึงสอบถามไปยัง โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงกระแสร้อนที่เกิดขึ้น

ภาพยนตร์ “ร่างทรง” รายได้เปิดตัวขึ้นอันดับ 1 ของไทยปี 2564?
“รู้สึกเกินคาดครับ เพราะว่าเลยจากที่เราคิดว่าจะเข้ามาหลายเดือน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเรื่องโควิด ไม่คิดว่าคนจะยังดูเยอะขนาดนี้ครับ ในเรื่องรายได้ตอนนี้ล่าสุดถ้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันแรกจนถึงเมื่อวาน 6 วัน ประมาณ 51.34 ล้านบาทครับ ก็ถือว่าเป็นผู้รอดชีวิตครับ (หัวเราะ) ถามว่าคาดหวังแค่ไหนกับรายได้หนังในยุคโควิด ไม่คาดหวังเลยครับ ก็คิดว่าขอแค่คุ้มทุนโปรโมตดีกว่าแค่นั้นครับ มันเหมือนผ่านวิบากกรรมมาเยอะ เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ถือว่าดีมากเลยครับ”

กระแสตอบรับตอนไปฉายที่เกาหลีก็ดีมากเช่นกัน?
“ช่วงนั้นแรกสุดเลยที่เขาจะเปิดตัวเป็นหนังซัมเมอร์คือเปิดตัวในวงกว้าง ผมก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะว่ามันเป็นหนังพูดไทยน่ะเนอะ ไม่มีดาราอะไรเลย เป็นครั้งแรกของหนังไทยเลยครับ รู้สึกเหลือเชื่อครับ แล้วพอเปิดตัวอันดับ 1 ได้ด้วยในวันที่เข้าฉายก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ก็เฮ้ย เรื่องจริงเหรอ ก็รู้สึกว่าคุณนา ฮง-จิน พาผม จีดีเอช หนังไทยไปได้จริงๆ ในวงกว้าง รู้สึกตื่นเต้นมากเลยครับ

ถามว่าเป็นครั้งแรกเลยมั้ยที่หนังของผมไปฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปของเกาหลี จริงๆ หนังผมได้ฉายหลายเรื่องแล้วครับ คือเรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด, พี่มากพระโขนง ก็ได้ฉายหมดครับ ซึ่งเรื่องชัตเตอร์ฯ กับแฝด ถือว่าสำเร็จครับ แต่ไม่ได้วงกว้างเท่านี้ แต่อันนี้คือทั่วประเทศเลย ซึ่งเรื่องแฝดก็ได้ 100 กว่าล้านบาท แต่อันนี้มากกว่าเยอะเลยครับ”

กระแสตอบรับดีขนาดนี้ทำให้ใจชื้นขึ้นมั้ย?
“ดีครับ เพราะว่าอย่างเวลาเราคุยกับทางโน้น ก็มีหลายอย่างที่เราทำในทิศทางที่เราไม่เคยทำ พอมีคนตอบรับเยอะๆ มีเสียงถกเถียง มีฟีดแบ็ก ก็รู้สึกว่าเออ เราทำสำเร็จ ทำให้คนพูดถึงและคิดต่อยอดได้”

ล่าสุดหนัง “ร่างทรง” เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเสนอชื่อไปชิงรางวัลออสการ์ มีที่มาที่ไปยังไง?
“อันนี้ผมไม่ทราบเลยครับ ปกติสมาพันธ์ฯ เขาจะเลือกตัวแทนทุกปีอยู่แล้ว รู้แค่นี้ รู้อีกทีคือเขาประกาศแล้ว ถามว่าเขาติดต่อมาก่อนมั้ย น่าจะเป็นคณะกรรมการพิจารณากันครับแล้วค่อยติดต่อมา แต่ผมไม่รู้ครับ มารู้อีกทีคือเขาเลือกแล้ว จริงๆ ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องร่างทรงอาจไม่ใช่ทางของรางวัลออสการ์หรือทางรางวัลขนาดนั้น แต่พอได้รับเลือกเป็นตัวแทน ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจครับ”

คนก็สับสนว่าหนังเรื่องนี้เป็นการร่วมทุนของจีดีเอชและทางเกาหลี สามารถเป็นตัวแทนของภาพยนตร์ไทยไปชิงออสการ์ได้จริงๆ หรือเปล่า?
“อันนี้ผมไม่รู้กติกาของออสการ์เลยครับ แต่ว่าไทยก็มีส่วนร่วมด้วยแหละครับ หนังพูดไทย ทีมงานไทยเกือบหมด ผมก็มองเป็นหนังไทยนะครับ ก็คิดว่าเขาน่าจะเช็กกันมาแล้วถึงได้เลือก ส่วนที่คุณนคร (นคร วีรประวัติ ประธานการพิจารณาภาพยนตร์ไทย จากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ) บอกว่าได้คุยกับทางเกาหลี และทางเกาหลีโอเคแล้ว อันนี้ผมไม่ทราบ แต่คิดว่าน่าจะจริงครับ ไม่รู้เหมือนกัน”

กระแสในโซเชียลมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทนของหนังไทยเสนอชื่อไปชิงออสการ์?
“ก็รู้สึกว่าเราทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้วครับ หลังจากนี้เสียงตอบรับหรือเสียงวิจารณ์เป็นเรื่องปกติครับ คนดูทุกคนก็มีสิทธิ์จะพูด วิจารณ์ได้เต็มที่อยู่แล้วครับ ถามว่าได้เข้าไปดูบ้างมั้ย ก็เห็นบ้างครับ ตอนที่ได้อ่านก็รู้สึกเกินคาดครับ เพราะว่ามันเป็นที่ดีเบตกันในทุกแง่มุมจริงๆ ครับ ในฐานะคนทำ เราทำเสร็จแล้ว เหมือนที่ผมบอกว่าเราทำหน้าที่เสร็จแล้ว แล้วทุกอย่างถูกพูดถึงในแง่มุมเยอะขนาดนี้ สำหรับผมรู้สึกดีนะครับ

เราสร้างงานมาเพื่อให้คนได้ดู โดยเฉพาะเรื่องนี้เหมือนเท่าที่ดูก็จะรู้เลยว่าเป้าหมายมันคืออยากให้คนไปถกกันอยู่แล้ว ด้วยความที่เรามีทั้งคำถามปลายเปิด ปริศนาบางอย่าง หรือแนวทาง ผมว่ามันก็มีอะไรที่ปล่อยให้คนดูได้คิด ถกเถียงกัน ฟีดแบ็กเป็นแบบนี้จริงๆ ก็รู้สึกดีครับ”

รู้สึกยังไงที่คนคาดหวังกับหนังที่เราทำ ด้วยความที่เราทำหนังแล้วสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง แต่พอทำออกมาบางครั้งหนังอาจไม่ถูกใจคนดูบ้าง?
“รู้สึกธรรมดาครับ ผมรู้สึกว่าหนังทุกเรื่องของโลกก็เป็นแบบนี้แหละครับ ยิ่งโดยเฉพาะเดี๋ยวนี้ทุกคนมีความคิดเห็น มีสิทธิ์จะวิจารณ์ มันไม่ได้อยู่ในมือแค่นักวิจารณ์หรือสื่อเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ใครก็เขียนได้ ใครก็มีความเห็นได้ แล้วก็โดนสำรวจในทุกแง่มุม ซึ่งผมมองว่าก็เป็นมิติที่คนทำรู้สึกสนุกสนานครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังของคริสโตเฟอร์ โนแลน หรือใครก็ตาม มันก็มีฟีดแบ็กทุกแบบจริงๆ ผมว่าเป็นเรื่องปกติครับ”

การทำงานหนังครั้งต่อไปกดดันมากขึ้นมั้ย เพราะคนก็จะคาดหวังมากขึ้นเมื่อหนังประสบความสำเร็จ?
“ผมกดดันทุกเรื่องอยู่แล้วครับ (หัวเราะ) เพราะเวลาทำหนังใหญ่ทีนึง มันก็เหมือนเอาเวลา 2-3 ปีที่เราทุ่มเทไป เราก็อยากให้มีคนดูเยอะ ให้เป็นที่พูดถึง มีการถกเถียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็อยากจะให้มันผ่านการพิสูจน์ของกาลเวลาด้วย ทีนี้เวลาจะทำหนังแต่ละเรื่องเราก็อยากมีทั้งความที่เราได้ทำอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยทำ ได้ทดลองอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่เพลย์เซฟ ผมจะคิดหลายแง่มุมครับ”

คิดว่าหนัง “ร่างทรง” จะเข้ารอบสุดท้ายหรือได้รับรางวัลจริงๆ มั้ย?
“ถ้าพูดตรงๆ โอกาสน่าจะน้อยมากๆ นะครับ เพราะดูจากแนวทางหลายๆ อย่าง ผมว่าน่าจะไม่ใช่ทางเลยถ้าถามผมนะ แต่ด้วยความที่เราได้รับเลือกในปีนี้ แล้วหนังไทยไม่ได้มีเยอะมากในปีนี้เพราะด้วยโควิดทำให้หยุดไปหลายเดือนมากๆ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะเป็นยังไง แต่ถ้าพูดกันแบบแฟรงค์ๆ เลย ผมไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสมากมายอะไรครับ จริงๆ แค่เขาเลือกเราเป็นตัวแทนก็รู้สึกภูมิใจแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม ถึงแม้จะไม่ใช่ทางที่จะเข้ารอบอะไรขนาดนั้น แต่เราก็รู้สึกว่าเป็นตัวแทนประเทศนะ เราก็ทำหน้าที่ไปครับ”

ผลงานชิ้นต่อไปมีแพลนไว้บ้างรึยัง?
“มีพูดคุย ดีเวลลอปอยู่บ้างครับ แต่ยังไม่คืบหน้า อาจจะยังเปิดเผยไม่ได้ครับ จริงๆ กว่าหนังร่างทรงจะได้ฉาย ผมก็เตรียมงานอื่นไปเยอะมากเลยครับ แต่ยังเป็นช่วงพูดคุย ดีเวลลอป เขียนโน่นนี่อยู่ เลยยังฟันธงไม่ได้ครับผม ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นแนวไหน”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2234896
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2234896