ก็อต อิทธิพัทธ์ โต้ลบรอยสักเพราะ ริชชี่ ยอมรับคลั่งรัก ดูแลรับส่งตลอด


ให้คะแนน


แชร์

เป็นหนุ่มคลั่งรักจริงมั้ย?
“จริงครับ (ยิ้ม) ไม่เถียงเลยครับ เพราะเอาจริงๆ คือตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะคลั่งรักขนาดนี้ แต่คือบางทีเราไปทำงาน ทำอะไร เราก็จะพูดถึงเขาถึงเขาตลอด แล้วภาพที่ออกมาก็กลายเป็นว่า โห…เราพูดถึงเขาตลอดเวลาเลย ถามว่าคลั่งรักขนาดไหน ก็ดูแลทั่วไปแหละครับ เหมือนที่คนรักกันเขาทำกัน”

เพื่อนๆ แซวเยอะมั้ย?
“ก็แซวเยอะนะครับ ช่วงที่ถ่ายละครแล้วเราเปิดตัวใหม่ๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ในกอง หรือคนที่แสดงด้วยกัน เขาก็จะแซว ว่าเดี๋ยวนี้เล่นแต่ติ๊กต๊อกนะ ไปไหนมาไหนก็จะอยู่แต่กับริชชี่ตลอด”

แฟนๆ แซวว่าก็อตไม่ควรมีคนเดียวในโลก?
“จริงเหรอครับ ก็ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”

ฟีลลิ่งแปลกมั้ย จากเพื่อนกลายเป็นแฟน?
“ผมว่ามันใช้เวลามากกว่า มันเดินทางกันมานานมากๆ กว่าจะมั่นใจ แล้วเราก็ใช้เวลาคุยกันมาหลายปีอยู่ครับ จากเพื่อนร่วมงานไง เราเข้ามาในฐานะเพื่อนก่อน ถามว่าเป็นแฟนกี่ปี จริงๆ ก็คุยกันมา คบกันมาน่าจะ… โห…ไม่ได้นับเลย ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน ก็เป็นปีแหละครับ”

ความคลั่งรักของเราทำให้ริชชี่เขินมั้ย?
“(หัวเราะ) ผมว่าก็ปกติทั่วไป เหมือนคนที่รักกัน แต่ว่าบางโมเมนต์ก็อาจจะรู้สึกใหม่สำหรับเขา เราเองก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันที่เขารู้สึกแบบนี้ เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ถามว่าเราเป็นแฟนคนแรกของเขาต้องระวังมั้ย แน่นอนครับ เดี๋ยวคุณแม่เขาว่าครับ คุณแม่เขาก็ติดตามอยู่ เราก็ต้องมีระยะบ้าง พอประมาณ พอดีๆ”

ถามถึงเรื่องที่ห่วงริชชี่นั่งแท็กซี่?
“คือจริงๆ เรื่องราวมันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเจอผมอีก แล้วตอนแรกเขาเล่าให้ฟัง ผมก็คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรมาก แต่พอได้มาถามจริงๆ มันเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างซีเรียส อย่างผมเป็นผู้ชาย ไปไหนมาไหนมันก็ไม่ต้องระวังอะไรเท่าไร แต่ผู้หญิงเดินทางคนเดียว ไม่ค่อยชินทางในกรุงเทพฯ ก็อาจจะตกใจหรือกลัวได้

ถามว่าเขาเจอเหตุการณ์อะไร คือเขานั่งแล้วแท็กซี่พาอ้อม เขาก็เลยรู้สึกแบบจะเกิดอะไรขึ้นต่อหรือเปล่า เราก็เลยเป็นแกร็บ ไม่คิดค่าส่งด้วย ถ้าผมว่างจากการทำงานจะไปคอยรับส่งเขาอยู่แล้ว ส่วนตัวเขาไม่ได้ขับรถ บางทีไปทำงานก็จะมีพี่สาวไปส่ง บางทีไปเอง เราก็รู้สึกว่ามันอันตราย เพราะโลเกชั่นต่างๆ ค่อนข้างไกล บางทีข้ามจังหวัด เราก็อาสาไปรับไปส่ง”

เวลาเขาไปไหนมาไหนต้องรายงานเรามั้ย?
“จริงๆ มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะครับ เพราะส่วนใหญ่ไลฟ์สไตล์ของเราสองคนช่วงนี้มันก็คล้ายๆ กัน ต่างคนก็ต่างทำงาน ไม่ทำงานก็พักผ่อนครับ”

ต้องตามไปดูแลในกองถ่ายด้วยไหม?
“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ เขาก็มีคนดูแลอยู่แล้ว เราจะถามมากกว่าว่าอยู่ไหนแล้ว ถ่ายถึงไหน กลับได้มั้ย มีรถมารับใช่หรือเปล่า ทั่วไปครับ”

ถามถึงเรื่องรอยสัก เขาเม้าท์ว่าริชชี่สั่งให้ลบ?
“จริงๆ ไม่ได้มาจากเขาหรอกครับ ตอนแรกเราลบมาแล้วครึ่งหนึ่ง เราลองดูว่าเทคโนโลยีมันเป็นประมาณไหน พอลบแล้วฝั่งหนึ่งมันเกลี้ยง มันเห็นผล พอไปทำงาน ไปถ่ายละคร บางทีมีซีนที่ต้องถอดเสื้อ เราก็รู้สึกว่าการกลบรอยสักเพื่อเข้าซีนมันใช้เวลามาก เราสงสารช่างเสื้อ สงสารกอง สงสารตัวเองด้วย ก็เลยตัดสินใจว่าลบอีกข้างเลยดีกว่า ทั้งหมดทั้งตัวเลย ถามว่าเจ็บไหม โห เจ็บมากครับ แต่ผมว่ามันต่างกัน”

ได้ถามน้องมั้ยว่าชอบแบบไหน?
“จริงๆ เขาบอกว่าเขาชอบคนมีรอยสักนะ แต่ว่ารอยสักผมเอง เราสักตั้งแต่เด็กๆ มันก็เลือนรางแล้ว ตอนนั้นเราผอมๆ แห้งๆ โตมาเริ่มเล่นฟิตเนส รอยสักมันก็เริ่มแตก ไม่ค่อยสวย ก็เลยตัดสินใจลบดีกว่า แต่เขาก็แล้วแต่เรา อยากทำอะไรทำ แต่ก็แค่มองอนาคต ว่าถ้ายังจะทำงานตรงนี้อยู่ รอยสักมันก็อาจจะเป็นปัญหาในการทำงาน”

ไม่คิดจะสักแล้ว?
“จริงๆ ก็อยากนะ เป็นคนชอบ แต่พอลบขนาดนี้แล้ว ให้ไปสักอีกก็เหนื่อยแล้วครับ เจ็บด้วย พอแล้วดีกว่า ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการลบอยู่ครับ”

ถามถึงเรื่องที่เปลี่ยนผู้จัดการ หลายคนคิดว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่า?
“จริงๆ ผมว่ามันไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของการทำงานหรือโน่นนี่นั่น ผมว่าการทำงานตรงนี้ เรามีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปัญหาหรอกครับ”

ทำให้งานสะดุดไหม?
“จริงๆ มันไม่ได้มีผลขนาดนั้นหรอกครับ เพราะอย่างบางงาน เราก็ยังทำงานด้วยกัน เพราะเราก็คุยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เรื่องของงาน ก็อาจจะเป็นเรื่องคิว หรือคอนดิชั่นต่างๆ ที่มันต่างกัน ก็อาจจะไม่ได้ทำด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่เราก็ยังทำงานด้วยกันได้ครับ หมายถึงว่ายังร่วมงานกันได้ปกติอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”

แยกออกมาด้วยดี?
“ใช่ครับ ด้วยดีไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2240765
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2240765