หนุ่ม กรรชัย "ไอคอนแห่งปี"


ให้คะแนน


แชร์

เล่าเส้นทางบันเทิงที่วกวนจนได้มาเป็นพิธีกรข่าวชื่อดังในวันนี้?

“ต้องบอกว่าตัวผมได้รับหลายๆโอกาสเริ่มจากช่อง 3 ทั้งนั้น ครั้งแรกได้เล่นละครกับพี่จิ๋ม-มยุรฉัตร และเล่นละครมาตลอด จากนั้นก็ผันตัวเองเป็นพิธีกร ซึ่งก็ได้รับโอกาสจากช่อง 3 เป็นครั้งที่ 2 โดยเป็นพิธีกรรายการ “ดาวล้านดวง” กับพี่ไก่-วรายุฑ ตอนนั้นผมยังแข็งเหมือนสากกะเบือ แต่มันเป็นโอกาสครั้งแรกให้ต่อยอดการเป็นพิธีกรเรื่อยมา จนมาทำ “เมืองไทยวาไรตี้” ให้ทางเฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่งอาร์เอส เป็นรายการสดช่อง 5 กับหนุ่ม-ศรราม ตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนจากรายการวาไรตี้มามีประเด็นข่าว ช่วงหลังมีพี่ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ เข้ามาทำด้วย ผมก็เริ่มเรียนรู้จากพี่ฮาร์ท พอรายการเริ่มปรับเป็นแนวข่าวผมก็เริ่มชอบ เลยตัดสินใจเลิกเล่นละคร และก็ไปปรึกษากับเฮียฮ้อว่าจะหยุดเล่นละคร และอยากมีความชัดเจนของรายการ ซึ่งเฮียมองว่าเป็นสิ่งที่ดีก็เลยเริ่มมุ่งหน้าทำมาตั้งแต่รายการนั้นจนเลิกไปผมก็ยังไม่กลับไปเล่นละคร ยังวนเวียนกับการเป็นพิธีกร”

“ผมกล้าพูดได้ว่าผมทำรายการมาทุกๆรูปแบบของรายการ ในประเทศไทยไม่น่าจะมีใครทำพิธีกรทุกแนวเท่าผม รายการเด็ก วาไรตี้ เกมโชว์ ทอล์กโชว์ ร้องเพลง รายการผี เพื่อชีวิต ก็ทำมาหมด จนกระทั่งวันหนึ่งได้กลับไปทำ “ปากโป้ง” ของเฮียฮ้อ ทางช่อง 8 อีก ก่อนหน้านั้นผมไปทำ “บอกเล่าเก้าสิบ” กับมดดำ เราก็หยิบเอาแพลตฟอร์มของ “เมืองไทยวาไรตี้” มาทำ จนมาถึงตอนปลายของ ปากโป้ง ที่มีทั้งประเด็นข่าวประเด็นฮอต มีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นลักษณะฮาร์ดทอล์ก ซึ่งผมทำคนเดียว จากนั้นหลังเลิกทำ “ปากโป้ง” เลยคิดรายการหนึ่งขึ้นมาคือ “โหนกระแส” ผมก็เอารายการนี้ไปเสนอคุณอัมพร มาลีนนท์ ที่ช่อง 3 ตอนนั้นพื้นที่ช่อง 33 ยังเต็มอยู่ เลยได้เวลามาทำที่ช่อง 28 มันก็เริ่มมีคนติดตาม บางประเด็นก็ถูกวิจารณ์บ้างคละเคล้ากันไป ช่วงนั้นคุณอัมพรเรียกผมเข้าไปคุยว่าผมสนใจที่จะเป็นผู้ประกาศข่าวไหม ผมตกใจมากเพราะมันไม่เคยอยู่ในสารบบสมองผม เพราะผมเป็นคนบันเทิง พอผมมาทำโหนกระแสคนก็ยังติดภาพบันเทิงของผมอยู่ ยังไม่ได้เชื่อเต็มที่ว่าผมจะเป็นสื่อ ผมก็หายไป 3 เดือนกลับมานั่งคิด พูดตรงๆคือหนีก่อน เพราะไม่มั่นใจ แต่ก็บอกผู้ใหญ่ว่าโอเคครับ เดี๋ยวผมตัดสินใจแล้วจะมาบอก”

“ต่อมาคุณอัมพรถามว่าจะทำหรือไม่ทำก็บอก จำเป็นต้องหาคนแล้ว เพราะตอนนั้นมีการสลับตัวผู้ประกาศในหลายช่วงและยังขาดตรงนี้ตรงช่วงหลัก จากที่เลี่ยงมาตลอดจู่ๆมันก็แว้บในหัวว่านี่เป็นโอกาส ผมเชื่อว่ามีคนที่อยากมาทำผู้ประกาศช่อง 3 ในช่วงข่าวหลัก ผมว่ามีเป็นล้านคนซึ่งถ้าเขาได้รับโอกาสเขาจะทำโดยไม่ลังเล แต่ผมก็กลับมาถามตัวเองเยอะว่าทำไมเราต้องลังเล เราชอบสัมภาษณ์คนมากกว่า ชอบถาม อยากรู้อยากเห็น แต่การเป็นผู้ประกาศข่าวมันเหมือนเป็นการเอาเรื่องคนอื่นมาเล่าให้ฟัง ผมมองว่าตัวเองไม่ถนัดเลยคิดนาน และมาตกตะกอนว่าถ้าผมปฏิเสธโอกาสนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้อีกไหม อาจจะไม่มีทั้งชีวิตเลย เลยคิดว่าไม่เป็นไรทำไว้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ค่อยบอกเหตุผลและลาออก เลยเลือกคว้าโอกาส จากนั้นก็มีการเปลี่ยนผ่านอีก มีการคืนช่อง 28 คุณอัมพรเลยเรียกไปคุยอีกว่าจะเอารายการโหนกระแสมาไว้ที่ช่อง 33 และให้อยู่ต่อจากข่าวเที่ยง ตัวผมอ่านข่าวเสร็จก็ทำโหนกระแสเลย จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 3 ปีแล้วครับ”

“ที่ผ่านมาผมก็ผ่านอะไรมาเยอะ คนที่ไม่เชื่อว่าเราทำได้เขาก็จะด่าเรา ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ ผมก็ต้องขอบคุณคนที่มาด่า ผมก็เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดันว่าผมต้องทำให้ได้และทำให้เห็นว่าคนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเรียนจบด้านสื่อสารมวลชนและเป็นคนบันเทิงด้วย แต่ถ้าตั้งใจจริงๆ ผมทำได้ ผมตื่นตี 5 ครึ่ง ผมจะอ่านข่าวก่อนเลยว่ามีอะไรบ้าง ออกจากบ้านมาถึงช่อง 7 โมง เข้าประชุมกับทีมข่าวว่าเขาจะเล่นข่าวอะไร แล้วผมก็จะโทร.หาแหล่งข่าวเองว่ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมจะไม่รอนักข่าวสติงเกอร์ส่งเข้ามา แต่จะเอาข่าวของเขาเป็นที่ตั้งว่ามันมีข่าวแบบนี้ แต่ข้อเท็จจริงผมต้องฟังจากคนนั้นๆเอง เพื่อที่ผมจะได้มาพูดและอธิบายได้อย่างถูกต้อง มันเลยเป็นวิธีการที่ผมจะต้องมุมานะ เราไม่มีต้นทุนต้องมาขวนขวายเอง ใช้วิธีนั้นมาตลอด เพียงแต่ทุกวันนี้อาจจะมีการปรับเวลาตื่น ตื่นสายขึ้นเป็น 7 โมง แต่เรื่องการคุยกับแหล่งข่าวผมต้องทำเองอยู่เสมอ”

นอกจากฮาร์ดทอล์กใน “โหนกระแส” งานพิธีกรรายการ “ข่าวใส่ไข่” ก็คนละฟีลเลย?

“ข่าวใส่ไข่ ผมทำมานานมากนะ ตั้งแต่เริ่มต้นเลย น่าจะ 5 ปีแล้ว ก่อนโหนกระแสอีก ข่าวใส่ไข่เป็นรายการที่ผมได้รีแลกซ์ ได้มาเจอเพื่อนเจอน้องที่สนิท ถามว่าวันหนึ่งพอเราเป็นผู้ประกาศข่าวแล้วมีความคิดที่จะหยุดทางบันเทิงหรือเปล่า ก็เคยคิดนะ อยากจะเฟดตัวเองออกจากพิธีกรบันเทิงเพื่อความชัดเจน แต่ก็กลับมาคิดอีกมุมหนึ่งว่า “พิธีกร 2 ซิม” อย่างผมนี่ไม่ค่อยมีเนอะ สิ่งที่ไม่ดีคือความชัดเจนของความเป็นคนข่าวมันไม่มี แต่มันก็มีสิ่งดีๆคือเราสวิตช์ได้ และเรื่องการละลายพฤติกรรมแขกรับเชิญ เราจะได้เปรียบคนอื่น พอผมเป็นคนบันเทิงมาตลอดผมเชื่อว่าคนถึงตัวผมง่าย ทุกสิ่งทุกอย่างมันสอนให้เห็น ผมอาจจะเป็นคนที่ได้รับโอกาสและผมหยิบจับโอกาสนั้น”

มีกฎอะไรที่ห้ามข้ามเส้นสำหรับการทำหน้าที่พิธีกร “โหนกระแส” และ “ข่าวใส่ไข่” ?

“ตอบยากมาก ผมผูกพันอยู่กับวงการโทรทัศน์มานาน จากวันนั้นถึงวันนี้ 20-30 ปี โทรทัศน์ไม่ได้เปลี่ยน เขายังมีวัฒนธรรมของเขาคือห้ามพูดคำหยาบ เรื่องใต้สะดือ สิ่งพวกนี้มันก็ยังเป็นสิ่งที่ผมยึดถืออยู่ แต่ถ้าเกิดเป็นในโซเชียลมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถามว่าเส้นของผมอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรงนี้แหละ คนที่จะมาออกรายการผมไม่ได้ขออะไรมาก หนึ่งอย่าพูดจาหยาบคายกับใต้สะดือ คือถ้าเจอคนไม่ฟังผมก็จะออกอาวุธอะไรบางอย่างให้เขาหยุด ถ้าบอกผมขอนะ เขาไม่หยุด ผมเลยต้องพูดว่าขอโทษนะพูดแบบนี้ผมว่ามันถ่อยไป! เขาจะหยุด มันเหมือนว่าถ่อยมาถ่อยกลับ”

“อีกเรื่องที่ผมลำบากใจคือ ผมเข้าใจว่าคนคาดหวังกับผมเยอะ แต่ละวันคนร้องเรียนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 300-400 เรื่อง เราก็พยายามเฟ้นหาคนที่เดือดร้อนที่สุด คนที่จำเป็นต้องช่วยที่สุดเพื่อนำมาเป็นประเด็นสังคมให้สังคมช่วยเหลือเขา บางเรื่องบางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องผัวเมีย มันให้อะไรกับสังคม สำหรับผมผมไม่ได้มองแบบนั้น ผมมองว่าเรื่องผัวเมียทะเลาะกันมันเป็นปัญหาสังคมส่วนหนึ่ง บางทีเรื่องคนตีกันอย่าง โป้ อานนท์ กับ เก่ง ลายพราง เอามาออกคนก็ด่าอีกว่าให้อะไรกับสังคม แต่ผมไม่ได้มองอย่างนั้น ผมมองว่าทั้งสองคนมีเพจคนติดตามเป็นล้าน ลูกเพจก็จะปะทะกัน ถ้าผมเอาสองคนมาออกรายการแล้วทำให้เขาจับมือกัน ลูกเพจก็จะเคลียร์ ไม่มีเรื่องยิงฟัน ล่าสุดมีลุงคนหนึ่งเอาอึปาใส่หน้าบ้าน คนบอกเอามาออกทำไม ผมคิดว่าถ้าเราไม่ช่วยเข้าไปเคลียร์มันไม่จบ ตำรวจ เขต เทศกิจ ไม่ได้ทำอะไร เราตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหาใหญ่ ผมต้องไปทำรายการตอนเขาฆ่ากันแล้วเหรอ แต่สังคมไม่มองอย่างนั้น”

คิดว่ารายการสอนอะไรบ้าง?

“จริงๆมันสอนทุกเทป เพียงแต่ว่าคนจะเลือกเสพมุมไหน ถึงบอกว่าการเสพข่าวคุณต้องคิดด้วย ผมบอกเลยว่าโหนกระแสทุกเทปมีบทเรียนให้คนดู เพียงแต่ผมไม่ได้มานั่งบอกว่าเรื่องนี้สอนอะไร คนต้องเลือกดูเองและทำความเข้าใจ แต่ผมก็เข้าใจคนที่กำลังคาดหวังผมนะ ว่าทำไมไม่เอารัฐบาลกับฝ่ายค้านมาคุยกัน ผมไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่บางเรื่องเอามาทำมันก็ลำบาก รายการมี กสทช.ควบคุม ช่องมีบริบทของการควบคุม ไม่ใช่ว่าเราเอาอะไรมาทำก็ได้ บางเรื่องก็ต้องเว้นเอาไว้ มันใหญ่เกินที่ผมจะตัดสินใจได้”

ดูเป็นพิธีกรที่ไม่เหมือนใคร มีความเป็นตัวเองสูง ไม่กลัวคนแอนตี้เหรอ?

“ไม่กลัวครับ ในมุมของผมเอง ผมมองว่าพิธีกรคนนึงหรือรายการหนึ่งมันจะเป็นรายการเฉพาะแบบของคนคนนั้น ตัวผมเองคาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ ให้ผมเป็นพี่สรยุทธ ผมทำไม่ได้ หรือให้พี่ยุทธมาเป็นผมก็ไม่ได้ เพราะเราไม่เหมือนกัน ผมเป็นอย่างนี้ดีที่สุด ไม่ได้ไปเลียนแบบใคร ทุกคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง ผมเป็นคนกวนทีน รายการที่ผมทำสักรายการหนึ่ง มันต้องมีกลิ่นอายความเป็นตัวผมไปด้วย เพราะมันคือข้อเท็จจริง แต่ผมก็เข้าใจได้ว่ามันอาจจะมีคนที่ไม่ชอบว่าทำไมเป็นคนแบบนี้ ผมก็ต้องขออภัยด้วย ผมไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่อยากเฟกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็เป็นคนกวน ปากหมา แบบนี้ แต่ก็จะไม่ให้มันเกินเลยข้ามเส้น”

ขอ 5 เคสสุดจึ้ง?

“1. คงเป็นเรื่องครูตีเด็กที่ ร.ร.สารสาสน์ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำผม เวลาที่ผมสัมภาษณ์ ผมเข้าใจบริบทของผู้ปกครองและสิ่งที่ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ครูที่ตีเด็กแบบตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว จำได้ผมถามคำถามหนึ่ง คุณโตมายังไงโตมาแบบไหน ทำไมถึงไปตีเด็กแบบนี้ เคยโดนตีหรือทารุณกรรมไหม เขาบอกว่าไม่เคย หนูคงไม่ต้องตอบอะไร สุดท้ายก็ผิดอยู่ดี เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เขายอมรับผิดชอบและยอมติดคุก เคสที่ 2. เป็นเทปแรกของโหนกระแส เคสน้องแอ๋มที่ถูกฆ่าหั่นศพ พ่อแม่เขามาร้อง และคนที่ฆ่าชื่อ “เปรี้ยว” ครอบครัวของแอ๋มมาออกกับผมคนแรก ที่ผมจำได้และประทับใจคือแม่ของแอ๋มเผาศพลูกแล้วมานั่งในรายการและเอากระดูกของแอ๋มมาวาง ผมเลยขอดูและมาวางในมือผม เทปนี้พี่สรยุทธดู ผมก็โทร.ไปปรึกษาว่าเทปนี้ดีไหม แกบอกว่าทำดีแต่ควรระวังกระดูกอย่าเอาไปจับ เผื่อญาติเขาถือ ก็เหมือนครูสอนเรา เราได้เรียนรู้อะไรที่ไม่เคยรู้ 3. เทปของโป้ อานนท์ และเก่ง ลายพราง ผมก็ชอบ หลายคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องของขยะสังคม แต่ผมมองมุมกลับ ถึงคนจะด่าผมทั้งประเทศ เพราะรู้สึกว่าทำให้กลุ่มคนที่เรียกว่าเป็นอันธพาลได้ยุติความบาดหมางกัน”

“เทป 4. ล่าสุดเลย น้องฟ้า โดนนายจ้างชื่อกั้ง ตีจนใบหน้าผิดรูป อวัยวะเน่า ผมได้เห็นความโอบอุ้มของสังคม เรื่องนี้เขาร้องเรียนมาทางผม เพราะเคยไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆแล้วคดีไม่คืบ ช่วงนั้นผมโทร.ไปปรึกษาจิตแพทย์ อัยการ ตำรวจ ทนายก่อน พอเขามาออกเสร็จกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ทำให้เห็นพลังของสังคมในการช่วยเหลือคนคนหนึ่งทำให้หน่วยงานต่างๆขยับตัว ทำให้เห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งเลี้ยงหมาดีกว่ามนุษย์ด้วยกัน เรื่องนี้ผมขอให้ทนายช่วยดูคดีนี้ และไปหาหมอที่จะมารักษาเขาให้อวัยวะใช้งานได้จริง เรียกว่าเราเริ่มตั้งแต่แรกและไปให้สุด 5.ลุงจรูญ กับครูปรีชา หวย 30 ล้าน ที่ผมเอามาออกพร้อมกันครั้งแรก ครั้งแรกเป็นลุงจรูญมาก่อนกับทนายตั้ม วันรุ่งขึ้นครูปรีชาติดต่อมาว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ขอเจอหน่อย พอเจอกันเท่านั้นเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องต่อเนื่อง เป็นกระแสสังคมไม่จบไม่สิ้น กลายเป็นเกิดตัวละคร ทั้งทนายตั้ม อัจฉริยะ ทนายสุกิจ ฟ้า น้ำเต้าหู้ เจ๊เกียว เจ๊บ้าบิ่น เยอะมาก และหลายเทปมากเป็นปีๆกับหวยอลเวง”

คนอยากเห็น หนุ่ม–กรรชัย เล่นละครอีกสักครั้งจะเป็นไปได้ไหม?

“ยากเลยครับ แทบจะไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีติดต่อมานะครับ ทางผู้จัดก็น่ารักติดต่อมา แต่มันไม่มีเวลาจริงๆ วันจันทร์-ศุกร์ ผมต้องทำงาน วันเสาร์มีประชุม วันอาทิตย์อยู่กับมายู ถามว่าคิดถึงละครไหม คิดถึงนะอยากเล่น ผมเชื่อว่าคนเคยเล่นละคร อยากกลับมาเล่น ดูจากพี่แซม-ยุรนันท์ ไม่จำเป็นต้องกลับมาเล่นก็ได้ ยังกลับมาเลย แต่ผมไม่ได้จริงๆเวลาไม่ได้”

จัดสรรการทำงานและชีวิตครอบครัวอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน?

“ผมเองทำงานจันทร์-ศุกร์ วันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีเวลาอยู่ที่บ้าน ผมไม่ค่อยไปไหน บางทีก็พามายูไปเดินเล่นบ้าง ส่วนภรรยาคุณเมย์เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาก็อยู่ของเขาปกติ เขาก็รู้ว่าผมทำงาน เขาก็มีงานต้องทำ ทำละครของเขาไป ต่างคนก็ต่างทำงาน ตอนนี้มายูก็เริ่มโต 7 ขวบแล้ว มายูก็ไม่มีมาเรียกร้องอะไรจากเรา เขาเข้าใจ ตัวเขาเองก็เคยทำรายการ เขารู้ตลอดว่าเราทำงาน ไม่มีมางอแงว่าไม่ให้ไปทำงาน ไม่เคยเลย เราก็ทำงานของเราและอีกอย่างสำคัญมากคือคอยระวังไม่เอาโควิด-19 กลับบ้าน เพราะเราเจอคนเยอะ ตัวผมเองผมตรวจโควิดทุกวัน”

รู้สึกอย่างไรกับคนในสังคมที่ยกให้เราเป็น “คนต้นแบบ”?

“ไม่รู้ว่าเป็นคนต้นแบบหรือเปล่า ถ้าคิดอย่างนั้นก็ขอบคุณ แต่ก็จะเขินๆหน่อย ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน ผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์นะ มันก็มีอะไรที่ไม่ดี ถ้าจะเป็นคนต้นแบบ คงต้องบอกว่าเอาสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีไปใช้ในชีวิตแล้วกัน สิ่งที่ไม่ดีอย่าเอาไปใช้ ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์”

หลายคนชื่นชมที่เราใช้หน้าที่การงานช่วยเหลือคนในสังคม?

“ผมอยากใช้โอกาสที่ได้มาให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเราได้โอกาสมาแล้วเราก็รู้สึกว่ามันควรจะต้องเอาโอกาสนี้ไปต่อยอดในการทำสิ่งที่ถูกที่ควร ผมก็ยังมั่นใจว่าสื่อปัจจุบันไม่ได้เป็นสื่อเหมือนสมัยก่อนที่พูดว่าเป็น “สื่อกลาง” ได้อย่างเดียวแต่เป็น “คนกลาง” ไม่ได้ ผมยืนยันว่าสื่อปัจจุบันมันต้องเป็น “สื่อกลาง” ด้วยและเป็น “คนกลาง” ด้วยในบางเหตุการณ์ที่เราสามารถทำให้สังคมมันอยู่อย่างสงบสุขได้ ไม่งั้นเราจะมีโอกาส มีเสียงของสื่อเอาไว้ทำไม ปัจจุบันเรารู้อยู่แล้วว่าสื่อเป็นกำลังหลักของประชาชนอีกด้านหนึ่งในการร้องขอความเป็นธรรม เพราะบางหน่วยงานต้องใช้คำว่าเหลวแหลกไม่เข้าไปดูดำดูดี หรือวัวหายล้อมคอก ประชาชนก็มีสื่อนี่แหละเป็นที่พึ่งส่วนหนึ่ง ที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมขึ้น”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2276560
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2276560