“ครูเต้ย อภิวัฒน์” ตื่นเต้นเล่นหนังเหมือนเป็นโบนัสชีวิต สุดเซ็งเจอ “ดราม่า” ด่าทุกวัน


ให้คะแนน


แชร์

โดยเริ่มจากมาแสดงภาพยนตร์ต้องปรับขนาดไหนไม่ใช่ศาสตร์ที่ครูเต้ยถนัด

“ปรับเยอะเหมือนกันครับ แรกๆทั้งแข็ง ทั้งเกร็งและอาย ก็ยากครับ”

มีแรงฮึดอะไรที่กระตุ้นทำให้เราเล่นผ่านไปได้

“น่าจะเป็นความท้าทาย เราอยากทำให้ได้ ปรับปรุงอย่างที่พี่ๆ เขาแนะนำ”

ร่วมงานกับพี่หม่ำเป็นยังไงบ้างดุมั้ย

“ไม่ดุครับ น่ารัก แกแนะนำดี ไม่ดุ มีสอน ฉากแรกวันแรกผมเดินเกร็งเลย เป็นฉากผมเดินเข้าหาพระ ผมกลัวดูไม่ดีในกล้องกลายเป็นเดินเกร็งนิดนึงให้ดูเท่ๆ เขาขำทั้งกอง แกสั่งคัตแล้วบอกให้เดินชิลๆเข้าไป เวลาจะคุยกัน จ้องหน้ากันก็เขินเพราะเราไม่ใช่สายนี้”

เล่นไม่ได้โดนเทกใจเสียมากน้อยขนาดไหน

“ใจเสียเหมือนกัน กลัวทำให้คนอื่นเสียเวลา พอเราเล่นพลาดปุ๊บต้องเริ่มใหม่ เรารู้สึกเกรงใจกลัวเขาว่า”

เข้าฉากกับใครเกร็งที่สุด

“ทุกคนเลยครับ เพราะไม่เคยร่วมงานกับใครเลย ผ่านวันที่ 2-3 พี่เขาเล่นด้วยก็สนิทกัน”

ตอนนี้ครูเต้ยทำงานวงการครึ่งตัว หลายๆ คนกลัวอาชีพครูจะลาออกมั้ย

“ช่วงมีงานเพลง งานคอนเสิร์ตใหม่ๆ มีความคิดตรงนั้นเหมือนกัน เพราะเราต้องวิ่งไปกลับ ขอนแก่น-กรุงเทพ เด็กๆ ก็จะพูดว่าดังแล้วครูจะลาออกมั้ยครับ? ผมน้ำตาคลอเลย เราก็เลยเปลี่ยนความคิดแล้วที่บ้านก็ขอไว้ด้วย ถ้าทำได้สอนไปเลย หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องลาออก มาช่วงโควิดก็มีคิดจะมาทำตรงนี้จริงจัง ถ้าออกมาก็มีคุยกับทางโรงเรียน ถ้าวันนึงผมลาออก สอนให้เหมือนเดิมแต่ไม่ได้สอนในตำแหน่งข้าราชการ จะสอนให้ฟรี ให้ความรู้เด็กๆ ผมบอกว่าอาชีพผมมันอยู่กับผมตลอดชีวิตมันทิ้งไปไม่ได้ ความผูกพันของผมกับเด็กที่โรงเรียนมันมี ทิ้งไม่ได้”

พอเจอที่บ้านค้านไม่อยากให้ลาออกทำให้คิดหนัก

“ก็มีบ้างเพราะช่วงนั้นผมเจอดราม่า จ้างสอน หรือไม่ไปสอน ดูตารางงานมันหนักจริงๆ คนทั่วไปทำไม่ได้หรอก ต้องเท้าความก่อน ผมอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วในมุมคนอื่นหนักแต่ผมทำมาจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่มุมมองคนอื่นทำไม่ได้หรอก มันจ้างคนอื่นไปสอน จนกลายเป็นดราม่า เขาไปแจ้ง สพฐ.ให้ไปตรวจสอบผมที่โรงเรียน ผมก็สอนปกติ สมัยเรียน ร้องในจังหวัด แต่ตอนนี้เราต้องมาร้องเพลงที่กรุงเทพฯ ต้องถึงสนามบินไฟลท์ตี 5 เพื่อบิน 6 โมง ผมต้องเหยียบรถไปโรงเรียน ถามว่าบินไปกลับแล้วคุ้มมั้ย ก็คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้าง งานคุ้มก็มี ไม่คุ้ม ก็มี เป็นการสร้างโปรไฟล์เอาประสบการณ์เฉยๆครับ”

ชื่อเสียงที่โด่งดังมาพร้อมดราม่าเรารู้สึกยังไงบ้าง

“มันเป็นจุดที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต เกิดมาไม่เคยมีใครมาด่าเยอะขนาดนี้ คนไม่รู้จักก็มาคอมเมนต์ด่า เอาเปรียบเพื่อน ไม่ไปสอน จ้างสอน หลายๆอย่าง ดราม่าแรกมาจากเรื่องเลิกแฟนเก่ามีแฟนใหม่ พอดราม่านี้เสร็จเขาก็โยงไปเรื่องสอน มันเจ็บปวด ร้องไห้กับพ่อกับแม่เลย สภาพจิตใจย่ำแย่ ช่วงโควิดรอบแรก คนว่างงานเราเลยมีเวลาอ่านเยอะ ก็มีพี่ในวงการทักมาให้กำลังใจเยอะ อย่าไปเสพ สื่อเยอะ ปล่อยมันไป อย่างมีพี่ก้อง ห้วยไร่ ก็บอกอย่าไปอ่าน ยุคสมัยคีย์บอร์ด คนไม่พอใจอะไรพิมพ์ด่ากัน ต้องตั้งสติ”

ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

“ประสบความสำเร็จครับ แต่มุมมองคนอื่นผมไม่รู้นะครับ อย่างแรกผมเป็นครูให้ครอบครัวเพราะว่าเป็นความฝันของที่บ้านที่อยากให้ผมรับราชการ สองผมได้เป็นนักร้องเป็นความฝันของผมตั้งแต่เด็ก แถมฟลุกได้แสดงหนังอีก เป็น โบนัสให้ตัวเองไม่ได้คิดว่าเราอยาก เป็นนักแสดง”

ความรักตอนนี้ล่ะยังไงบ้าง

“ปกติครับ ยังแฮปปี้ดีครับ”

ช่วงหลังๆไม่ลงรูปคู่แฟนแบบนี้เค้ามีบ่นน้อยใจบ้างมั้ย

“ไม่ครับเขาเข้าใจเพราะตอนที่ลงแล้ว มีดราม่าคนด่าเยอะ ที่ลงรูปคู่กันไป เราทำงานตรงนี้เขาก็ไม่อยากให้เรามีแฟน เขาก็หวง แต่ตอนนี้เอฟซีไม่ได้อะไร เข้าใจอายุเยอะแล้วก็อยากให้เรามีความรัก มีครอบครัว ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว”

แฟนคนนี้เติมเต็มความสุขให้เราขนาดไหน

“ดีครับ ช่วยให้กำลังใจเรา เขาเป็นที่ปรึกษาได้ เวลาบางครั้งบางเรื่องพูดกับเพื่อนไม่ได้ พูดกับที่บ้านไม่ได้ บางเรื่องครับเหมือนเพื่อนกัน เป็นเพื่อนที่สนิทคุยกันได้ บางเรื่องเครียดไม่อยากให้ที่บ้านรู้ก็ปรึกษาเขาได้ คอยให้กำลังใจ ร้องไห้ด้วยกัน”

เริ่มคิดเรื่องแต่งงาน สร้างครอบครัวบ้างหรือยังล่ะ

“ขอดูก่อนครับ มีแต่ทำงานครับ”

ถือว่าลักกี้อินเกม ลักกี้อิน เลิฟเลย

“ครับ แต่ยังมีโดนด่าทุกวัน เวลาเพจเอารูปเราไปลงได้รับรางวัล มีคอมเมนต์สอนบ้างหรือเปล่า มาแซะมาปั่นไม่ไปสอน อ่อ ยังเป็นครู เคยอธิบายไปแล้วคนไม่ชอบเขาไม่ฟัง เรารู้สึกไม่ดีกลายเป็นตราบาป จ้างสอนทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2280617
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2280617