เจษ เจษฎ์พิพัฒ กับบทพิสูจน์บทพระเอกเรื่องสุดท้าย สู้จนเหนื่อย


ให้คะแนน


แชร์

แม้ในวันนี้จะขึ้นแท่นเป็นพระเอกเรียกเรตติ้งอีกคนของช่องวัน แต่ใครจะรู้ว่า กว่า เจษ เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ จะได้ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกละคร เขาต้องผ่านบททดสอบในการทำงานมาเยอะจนบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย และมีคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง 

และหลายคนอาจจะสงสัย ที่บ้านก็มีฐานะแล้วทำไมจะต้องมาดิ้นรนและเหนื่อยกับการต่อสู้ในการทำงานในวงการบันเทิงที่มีการแข่งขันกันสูง และนอกจากเรื่องของฝีมือแล้ว ยังต้องพึ่งเรื่องของโชคและความดวงดีอีกด้วย 

เด็กปั้น พชร์ อานนท์ 

วันนี้ เราได้สัมภาษณ์พระเอกหนุ่มรูปหล่อ เจษ เจษฎ์พิพัฒ ที่ผลงานละครเรื่องวิมานทราย ที่เพิ่งจะลาจอไปหมาดๆ มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเอง 10 ปีในการทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งเจษเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาให้เราฟังว่า 

เจษเริ่มเข้าวงการจากการเล่นหนังของ พชร์ อานนท์ ที่เข้าไปหานักแสดงในโรงเรียน และได้เล่นหนังของนักปั้นชื่อดังอยู่ 2-3 เรื่อง

และเมื่อทำงานกับพชร์ได้พักใหญ่ นักปั้นชื่อดังก็จะส่งเด็กไปลองแคสต์งานตามช่องและค่ายใหญ่ๆ ซึ่งเจษนั้นก็ไปหลายที่เลย จนได้มาออดิชั่นเป็นนิวเจนของเอ็กซ์แซ็กท์และตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายนี้

เจษ เจษฎ์พิพัฒ เล่าถีงชีวิตของตัวเองให้เราฟังต่อว่า ในตอนแรกเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะยึดอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพ เพราะตอนนั้นไม่ได้รู้ว่าตัวเองชอบ แค่ตัวเองมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นๆ เป็นโอกาสที่คนหลายล้านคนที่อยากจะทำงานตรงนี้ แต่ไม่ได้รับโอกาส เมื่อตัวเองได้โอกาสนี้ก็เลยไม่อยากจะทิ้งมันไปก็เท่านั้นเอง 

ทายาทเจ้าของตลาด

เราถามพระเอกหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเราว่า เอาจริงๆ ครอบครัวฐานะที่บ้านของเจษก็ดี เป็นถึงทายาทเจ้าของตลาดใหญ่อย่าง ตลาดพรพัฒน์ ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี ไม่จำเป็นต้องมาทำงานในวงการบันเทิงก็ได้ ไปสานต่องานของครอบครัวก็น่าจะโอเคแล้ว ซึ่งเราได้รับคำตอบจากเจษว่า 

“บ้านผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยขนาดนี้ และผมกลับรู้สึกว่า ไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไร เราก็ควรได้เลือกงานที่เราอยากจะทำ และถ้าไม่ให้ผมมาเป็นนักแสดง จะให้ผมนั่งอยู่เฉยๆ แล้วรอรับเงินจากที่บ้านอย่างเดียวผมก็คงรู้สึกแย่กับตัวเอง 

และผมโชคดีที่ครอบครัวสนับสนุน ไม่คัดค้าน พ่อแม่ผมน่ารัก และเข้าใจลูกๆ ปล่อยให้ลูกๆ เลือกว่าอยากทำอะไรในชีวิต แต่ต้องทำอย่างจริงจังให้เขาเห็น ถ้าเราเลือกอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เราเลือกสามารถเอามาเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วเขาก็จะปล่อย”

เป้าหมายคือตำแหน่งพระเอก

แต่กว่า เจษ จะได้มาเป็นพระเอกของช่องวัน เจ้าตัวนั้นต้องผ่านบททดสอบของการทำงานมาเยอะมากมายหลายปีอยู่เหมือนกัน ซึ่งเจษเล่าให้เราฟังถึงความพยายามว่า 

“กว่าจะได้มาเป็นพระเอก ผมผ่านบททดสอบมาเยอะมากครับ ผมเคยรู้สึกเหนื่อยกับการทำงาน แต่ไม่ถึงขั้นท้อและอยากจะเลิก แค่เหนื่อยและตั้งคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไหร่จะดีกว่านี้

และในตอนนั้นด้วยความที่ครอบครัวผมเขาอยากเห็นว่าสิ่งที่ผมเลือกสามารถดูแลตัวเองได้ ผมก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันประสบความสำเร็จ

ผมต้องทำให้ครอบครัวเห็นว่าผมมีรายได้ มีตำแหน่งในการแสดงอย่างชัดเจน และอย่างที่บอก ผมไม่ได้เริ่มต้นมาจากการเป็นพระเอก

ผมเป็นนักแสดงรุ่นลูก มาเล่นร้าย เป็นพระรอง ผมเล่นมาเยอะมาก และรู้สึกว่าผมเล่นมาเยอะแล้ว แต่ไม่ได้ขึ้นเป็นพระเอกซะที 

ฟังดูอาจจะแปลกที่คำตอบผมไม่เหมือนคนอื่น ที่เขาชอบพูดกันว่า ไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นพระเอกก็ได้ แต่ตอนนั้นผมต้องเป็นพระเอกให้ได้

เพื่อที่จะได้ให้ที่บ้านรู้ว่าผมทำงานตรงนี้ได้อย่างมั่นคง มันเป็นเหมือนเป้าที่ผมไม่สามารถจัดการให้มันสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แต่จะสำเร็จได้ก็ต้องมีคนอื่นด้วย

มีทั้งผู้ใหญ่ คนดู ผมไม่ได้อยู่ในจุดที่ผู้ใหญ่วางเอาไว้ว่าจะต้องดันให้เป็นพระเอก ตอนนั้นก็เครียด เพราะผมทำเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าผลของมันจะได้เมื่อไหร่ ผู้ใหญ่จะเห็นว่าผมพร้อมเมื่อไหร่ ช่วงนั้นก็คิดอยู่เรื่อยๆ”

และแล้ววันนั้นก็มาถึง

เพราะมีความตั้งใจ มุ่งมั่นและพยายาม ซึ่งเจษนั้นก็พยายามมันอยู่นาน จนในวันหนึ่งก็ถึงวันที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ เจษเล่าย้อนถึงความทรงจำในวันวานให้เราฟังว่า 

“เหตุการณ์ตอนนั้นน่าจะประมาณ 6-7 ปี วันนั้นเป็นวันบวงสรวงละครเรื่องแรกที่เป็นพระเอก เขาไลน์มาบอกว่า เห็นผมมาถึงจุดนี้เขาดีใจมากนะ

มันทำให้ผมนึกถึงเส้นทางที่เคยลืมไปแล้วว่าตัวเองเจออะไรมาบ้าง ลำบากอย่างไรมาบ้าง ทำให้ผมเห็นว่าผมก็เดินมาไกลเหมือนกันนะ ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมก็ผ่านอะไรมาเยอะกว่าเดิมอีกจากตอนนั้นที่คิด และรู้สึกว่า ดีแล้วที่ยากก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกฝนฝีมือมา

ผมไม่ใช่คนเก่งในทางการแสดง และถ้าถามว่าอยากเป็นพระเอกเมื่อไหร่ ในตอนนั้นก็คงอยากจะเป็นตอนนั้นเลย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้พร้อม 

หรือบางทีเราอาจจะคิดว่าเราพร้อมไปเอง แต่จริงๆ ไม่ได้พร้อม แต่ผู้ใหญ่คนมีประสบการณ์เขาเห็น เขามองดูเราอยู่ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ พร้อมหรือไม่พร้อม

เพราะฉะนั้นมันดีแล้วที่ในตอนนั้นผมไม่ได้เป็นพระเอก แล้วได้มาเป็นในตอนนี้ ในวันที่ผมรู้ว่าผมพร้อมกว่าตอนนั้น (หัวเราะ)

เพราะตอนนี้ผมมีประสบการณ์ มีชั่วโมงบินแล้ว มีหลายๆ อย่างที่ผมเก็บเกี่ยวมา ก็น่าจะพร้อมแล้วกับตำแหน่งนี้มากกว่าตอนนั้นเยอะ”

บทพระเอกเรื่องสุดท้าย

พอได้เป็นพระเอกแล้ว มีความกดดันมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ งานนี้ เจษ เจษฎ์พิพัฒ บอกความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเราแบบไม่อายว่า 

“ผมมีความกดดันกับงานทุกเรื่องของผม ผมจะบอกกับตัวเองเสมอว่า นี่จะเป็นบทพระเอกเรื่องสุดท้ายของผมอยู่ตลอด เพราะผมก็เคยได้เป็นพระเอก แล้วก็ถูกให้กลับลงมาเล่นบทอื่น ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่า ถ้าได้เป็นพระเอกแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นพระเอกตลอดไป 

ในตอนนั้น มุมมองในการทำงานของผมก็เปลี่ยน เพราะพอได้เป็นพระเอกมันก็จะทำให้ได้รู้ว่า ไม่เป็นพระเอกก็ได้ (หัวเราะ) เพราะในแง่ของการทำงาน ในความรู้สึกผม ผมแค่อยากทำงานที่ผมรู้สึกแฮปปี้ที่ได้ทำ บางทีบทที่ดี บทที่สนุกไม่ได้อยู่ในบทพระเอกก็มี แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์เอาไว้ด้วย

เพราะบางบทถ้าเล่นแล้ว อาจจะกลับไปเล่นบทพระเอกไม่ได้อีกแล้วก็มี ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมมีโอกาสที่จะได้เล่นบทที่ดี สนุกและท้าทายความสามารถของผม ผมก็ยอมที่จะไม่เล่นเป็นพระเอกก็ได้

เพราะมันคงทำให้ผมมีความสุขในการทำงานกับการที่ได้เล่นบทที่สนุก ท้าทายตัวเอง เพราะผมทำงานในวงการบันเทิงมา 10 ปีแล้ว รู้ว่าตัวเองคงไม่สามารถเล่นแต่บทพระเอกแบบเดิมๆ ได้”

ยังไม่พร้อมเป็นพระเอก

ในวันที่ถูกดึงให้กลับมาเล่นเป็นบทอื่นที่ไม่ใช่บทพระเอก หลังจากที่ได้ขึ้นไปเล่นในบทพระเอกแล้ว ตอนนั้นความรู้สึกเจษเป็นอย่างไร ได้อะไรจากเหตุการณ์นั้น พระเอกหนุ่มบอกเราว่า 

“ตอนนั้นบอกเลยว่าผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจในบทบาทการทำงานในวงการบันเทิง ในวันที่ได้บทนั้นมา ผมรู้แค่ว่าผมจะต้องทำงานให้เต็มที่ เล่นให้เต็มที่เพื่อสักวันนึงผมจะได้กลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ผมเคยได้อีกครั้งนึงก็เท่านั้นเอง 

ตอนนั้นผมไม่มีไปถามผู้ใหญ่ด้วยว่าทำไมผมถึงถูกเลือกให้มาเล่นอีกบท ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมได้เป็นพระเอกแล้ว อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นผมยังไม่พร้อมมั้ง

หรืออาจจะเป็นที่ดวง โชคของเรา ช่วงละครที่ออนแอร์มันไม่ดี หรือปัจจัยอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้วในตอนที่ได้เป็นพระเอกมันไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

ผมก็บอกตัวเองว่า เราได้โอกาสมาอีกแบบนึง ถ้ามัวแต่นั่งน้อยใจ โกรธ โทษคนอื่น แล้วยังทำงานที่ได้รับมาไม่ดีอีก อันนี้ผมว่าหนักนะ (ยิ้ม) และมันจะไม่มีทางอีกเลยที่เราจะได้งานดีๆ บทดีๆ จากผู้ใหญ่อีก

ผมมองมุมบวกเข้าไว้ ไม่มองลบ ไม่ทิ้งตัว เพราะผมมองว่า ทุกๆ งาน มันทำให้งานของเราดีขึ้น ถ้าเราตั้งใจทำมัน” 

ความสุขของพ่อแม่สำคัญที่สุด

ในระหว่างที่รอโอกาส รอความพร้อมให้ตัวเอง ครอบครัวมีกดดัน หรือให้เลิกล้มความตั้งใจหรือเปล่า งานนี้พระเอกหนุ่มยิ้มกว้าง และพูดถึงความน่ารักของครอบครัวของตัวเองให้ฟัง

“ครอบครัวไม่กดดัน แต่ก็ไม่ได้ซัพพอร์ตอย่างชัดเจน และก็มีเดตไลน์ให้ว่า ถ้าเล่นแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้ก็ไปเรียนต่อ ตอนนั้นผมทำงานมาได้ 5 ปีแล้ว และเขาบอกให้อีก 2 ปีนะ และตอนนั้นผมก็ได้โอกาสนั้นมาพอดี และเขาก็เลยปล่อย

แต่สุดท้ายผมก็กลับไปเรียน ป.โท ต่อ แต่ว่าไม่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศตามที่ครอบครัวต้องการ ที่กลับไปเพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้พ่อแม่มีความสุข อะไรที่ทำได้ก็อยากทำ”

มุมมองชีวิตเปลี่ยนได้เป็นนักแสดง

แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า เจษ เจษฎพิพัฒ ในวัยเด็ก เขาคือเด็กเรียนเก่ง และเมื่อวันหนึ่งต้องมาเป็นนักแสดง เขาต้องฝึกฝนและใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก

และเพราะอาชีพนักแสดงนี้แหละที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเจษให้เป็นคนที่เห็นใจและเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น ซึ่งเจษเล่าให้เราฟังว่า  

“ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กเรียนเก่ง เก่งเลข เก่งภาษา ใช้ชีวิตด้วยหลักการแบบ 1+1= 2 ตลอดเวลา แล้วได้โอกาสมาเข้าวงการบันเทิง ต้องมาแสดง มันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเลย

เพราะตอนเด็กๆ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมมีความรู้สึกกับอะไรบ้าง เพราะผมไม่ค่อยมีความรู้สึกกับอะไร เพราะทุกอย่างเป็นหลักการไปหมด เป็นเหตุผลไปหมด 

จนผมต้องมาปรับตัวเองเยอะมาก ตอนเข้าวงการ ผมไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงอารมณ์ออกมาไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกอย่างเดียวคือโกรธ (หัวเราะ) อันนั้นเล่นได้ แต่พอความรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง เล่นไม่ได้ เข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไร 

ตอนนั้นก็เลยต้องไปเรียนการแสดง ดูหนัง และเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ถามตัวเองว่ารู้สึกอะไรบ้างในวันวันหนึ่ง และมันก็เปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนอีกแบบนึงไปเลย เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ

ผมจะมีความเห็นใจคนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในเรื่องของเหตุผลอย่างเดียว แต่มองเห็นคุณค่าของแต่ละคนในแต่ละแบบที่ไม่เหมือนกัน อาชีพนักแสดงทำให้ผมมีมุมมองได้แบบนี้ 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ถ้าผมเห็นคนมาเช็ดกระจกรถตาม 4 แยกไฟแดง ผมก็จะโกรธมาทำรถเราเลอะ แต่เราไม่ได้คิดไงว่าเพราะอะไรเขาถึงได้มาเช็ดกระจกรถ นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่มีเงิน เขานั่งอยู่ 4 แยกไฟแดง อากาศร้อนๆ แต่เรานั่งในรถแอร์เย็นๆ นะ

เขาต้องทนร้อนกี่ชั่วโมงต่อวันเพื่อแลกกับเงินจากการเช็ดกระจก หลังๆ ผมมองอีกมุมในของแต่ละคนก็ทำให้ผมได้เริ่มเห็นใจคน รู้สึกเข้าใจคนมากขึ้น หลังๆ ไม่ค่อยโกรธกับอะไร รู้สึกว่าชีวิตตัวเองก็ดีขึ้นจากอาชีพนี้”

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2283087
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2283087