เป้ย ให้สัมภาษณ์ระหว่างถ่ายทำที่บ้านปลายมา อ.ปากเกร็ด ว่า “ณ วันที่ผู้ใหญ่ติดต่อมา แพลนของเป้ยหลังจากจบละครเรื่องล่าสุดที่จบหลังจากที่เป้ยกลับมาเล่นละครอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะพักก่อนอยู่กับลูก คิดว่าจะกลับมารับละครอีกทีช่วงพฤษภาคมแต่ผู้ใหญ่โทร.มาเรื่องนี้ ตอนนั้นก็ 70% แหละ เราก็มีในใจอยู่แล้วว่าเราจะเล่น แต่ก็ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่เพราะว่าอยากขอดูบทก่อนว่าเล่นได้มั้ย เพราะถ้าอยู่ๆเรารับปากไปเลยแล้วเราทำไม่ได้ มันก็คงไม่ดี กับการที่จะมาสานต่อแทนโม ก็เลยขอผู้ใหญ่ว่าขอทำการบ้านก่อนที่จะให้คำตอบ เพราะค่อนข้างใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์เรื่องที่แล้ว ต้องเล่นยังไงให้แตกต่าง”

อยากสานต่อความตั้งใจของ “แตงโม” ทุกอย่าง? “เป้ยก็มีการคุยกับผู้ใหญ่อยู่แล้วเบื้องต้น คือเป้ยกับโมกลับมาในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน โมห่างหายจากการเล่นละครไป 2 ปี ส่วนเป้ยก็ 10 ปี ในช่วงที่รับละครมันเป็นช่วงที่ใกล้กันเลย ก็เลยถามผู้ใหญ่ว่าโมเป็นยังไงบ้าง ก็ฝากส่งกำลังใจ และเป้ยได้อ่านข้อความที่โมส่งหาผู้ใหญ่ ความรู้สึกเหมือนเราก่อนจะเปิดกล้องเรื่องที่แล้ว รู้สึกถึงความตั้งใจของโมที่วางคาแรกเตอร์ของบทที่อยากให้เป็นแบบนี้ พอเรามาสานต่อก็อยากตั้งใจทำให้เหมือนที่โมวางไว้ ก็คือ เล็บแดง ปากแดง เพื่อที่คนดูจะได้เพิ่มความอิน ผมก็เป็นสีเข้ม เป้ยก็มีไปตัดผมและย้อมสีผมให้เข้มขึ้น ตอนเห็นบทก็นึกถึงโม นึกในใจขออนุญาตเค้าก่อน ถ้าอนุญาตให้เล่นก็ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น พอได้มาเล่นฉากแรกที่เข้าน้ำตาไหลเลยหลังเล่นเสร็จ มันมีความรู้สึกกังวลกดดันหลายๆอย่าง คือเรากดดันตัวเองนะ สภาพแวดล้อมพี่ๆทีมงานทุกคนให้กำลังใจดีมาก แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง มันมีคำถามว่าเราจะเล่นได้มั้ย มีความกลัวไปทุกอย่าง จะทำได้ดีหรือเปล่า คนจะให้โอกาสเรามั้ย มันเลยกดดันทำให้เป้ยเครียด

เล่นฉากแรกก็น้ำตาไหลเลย พอถ่ายไปแล้วเรารู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องไม่กดดันตัวเอง เรารีบมาคุยกับตัวเองเลย เราตั้งใจจะทำให้โมไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับ กลายมาเป็นกดดันตัวเองแบบนี้ ก็เลยต้องเปลี่ยนความคิดว่าจะต้องมีความสุขที่ได้ทำให้โมมากกว่า โชคดีอย่างที่บอกทีมงานทุกคนรวมถึงนักแสดงทุกคนให้กำลังใจเลยดีขึ้น ตอนได้บทวันแรกไม่กล้าจับเลย พอเราจับจุดเราได้แล้วว่าเราเริ่มเครียดเริ่มกดดัน คนรอบข้าง สามี ลูก บอกทำไมดูเครียดกว่าเล่นละครเรื่องล่าสุด พอคนทักเราก็คิดว่าไม่ได้ๆ สิ่งที่เราตั้งเป้าว่าจะทำให้โมก็จะกลายเป็นว่าทำได้ไม่เต็มที่ เราต้องรีบปรับตัวเองให้ได้ ความคิดของเป้ยไม่อยากให้คนมองว่ามาเล่นแทน แต่ให้มองว่าเป็นการเล่นให้ หรือเป็นการมาเล่นเพื่อโม มาสานต่อสิ่งที่โมทำค้างไว้ให้สำเร็จไปได้ด้วยดี ความกดดันก็ลดลงคือต้องรีบเปลี่ยน หลังจากเข้าฉากเดียว ตงตงก็ส่งข้อความมาหาว่าสู้ไปด้วยกัน เราก็ดีใจ”

ได้อ่านฟีดแบ็กจากแฟนๆมั้ย คนให้กำลังใจเยอะมาก? “ก็มีเพื่อนมาบอก คือเราดูเฉพาะไอจีเราเท่านั้นเอง ต้องขอบคุณค่ะ เป้ยเข้าใจว่าคนที่รักหรือว่าคนที่เป็นแฟนคลับแตงโมก็จะเฝ้ารอติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป เป้ยก็ขออนุญาตเป็นคนที่มาสานต่อตรงนี้แทนโม ขออนุญาตแล้วกันค่ะ (ยิ้ม)”

มีความรู้สึกว่าเพื่อนมาหามั้ย? “เป้ยไม่รู้ว่าเป้ยคิดไปเองหรือเปล่า คือตรงนี้เป้ยก็ไม่อยากจะแตะค่ะ เอาเป็นว่าเรารับรู้ได้ถึงสัญญาณที่มันดี ความรู้สึกที่มันดี อันนี้ขออนุญาตเก็บไว้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะดูอะไรนิดนึง”

ก่อนหน้านี้มีไปวางดอกไม้ให้แตงโมด้วย? “ค่ะ ไปทำบุญให้เท่าที่เราทำได้ อย่างเป็นศาสนาอิสลามก็ทำในรูปแบบของเป้ย และยังมีแพลนอีกหลายๆแพลนที่เราจะทำให้โม จริงๆเดี๋ยวก็มีการส่งข้อความไปหา “แอนนา” ถามเรื่องอาหารของแมว ถ้าทำอะไรได้เราก็อยากจะทำ ในฐานะเพื่อนร่วมวงการ และเราก็มาทำตรงนี้ต่อด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้เป้ยกับเพื่อนก็บริจาคถุงห่อศพ”

เป้ยกับแตงโมก็ค่อนข้างผูกพัน เข้าวงการมาไล่ๆกัน? “เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมวงการที่อยู่ในช่วงสิบกว่าปีที่แล้วที่มีอีเวนต์เยอะ ก็จะเจอโมตลอด พอมีอะไรอย่างเป้ยมีปัญหา โมก็จะส่งข้อความมาประมาณนี้ แต่ไม่ได้ถึงขนาดไปกินไปเที่ยว ตอนนี้ภาวนาตลอดเวลาขอให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับโม เราก็มีความรู้สึกลูกผู้หญิงเหมือนกัน ทำไมในช่วงชีวิตของโมก็เจออะไรมากมาย มันค่อนข้างจะโหดร้ายสำหรับโม ก็นั่งคิดทำไมโลกช่างไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงตัวเล็กๆแบบโม ตอนอยู่ก็ใจร้ายแล้ว ตอนไปก็ใจร้ายอีก เลยภาวนาว่าอยากให้มีความยุติธรรมเกิดขึ้นกับโมค่ะ”.