แด๊กซ์ ร็อกไรเดอร์ กับ “เส้นขนาน” เพลงที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ชีวิต แตงโม นิดา


ให้คะแนน


แชร์

เป็นอีกหนึ่งศิลปินดังที่อยู่ในวงการเพลงไทยมานานเกือบ 30 ปี สำหรับ แด๊กซ์ เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด หรือ แด๊กซ์ ร็อกไรเดอร์ (DAX ROCK RIDER) ศิลปินจากค่าย Me Records ที่ในวันวานทุกคนคุ้นเคยกับภาพที่เคยเป็นนักร้องนำวง Big Ass (บิ๊กแอส) เจ้าของเพลงดัง อาทิ เล่นของสูง, พรหมลิขิต, เกิดมาแค่รักกัน, ฝุ่น, ดีแต่ปาก ฯลฯ แม้ในวันนี้เขาจะกลายเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนๆ ก็ยังคงจดจำภาพลักษณ์วันวานเมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกวง Big Ass อยู่เสมอ

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยถึงความทรงจำดีๆ เมื่อครั้งยังเป็นศิลปินวง Big Ass ก่อนจะตัดสินใจแยกวงและมาเป็นศิลปินเดี่ยวจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการทำงานเพลงล่าสุด “เส้นขนาน” เพลงที่เลือกไว้นานแล้ว แต่พอจะเริ่มทำก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักแสดงสาว แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ จึงปรับเนื้อหาให้เข้ากับความรู้สึกกับเหตุการณ์วันนั้น เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี แด๊กซ์ก็เคยร้องเพลง “กลับตัวกลับใจ” เพลงที่แตงโมมาเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ บอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตจริงของเธอเช่นกัน

Big Ass ในความทรงจำ

เมื่อเราถามแด๊กซ์ถึงความทรงจำดีๆ ในวันวานกับวงบิ๊กแอส นักร้องดังบอกว่า “เราโตมาด้วยกันครับ เป็นเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่เด็กๆ ไม่มีอะไร มีแต่ความสนุกอย่างเดียว ความอยากจะทำโน่นทำนี่ พอโตมาเรื่อยๆ มันลำบากหมดแหละครับ สตางค์ก็ไม่ค่อยมี อยากมีเพลง อยากซ้อมเพลง เที่ยว มีทุกเรื่อง ทั้งเรื่องความรัก ความบันเทิง โตขึ้นมาก็อย่างว่าแหละครับ ความเป็นผู้ใหญ่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ฉะนั้นก็ไม่แปลกที่เวลาเรามีความคิดที่แตกต่างกัน ถ้าจะต้องแยกกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่รู้จะเล่าอะไรดี เล่ามากเดี๋ยวออกอากาศไม่ได้ (หัวเราะ)”

เราถามต่อถึงเพลงในวันวานเมื่อแด๊กซ์ยังเป็นนักร้องนำ เจ้าตัวก็บอกว่า “จริงๆ ในชีวิตบิ๊กแอสในยุคเจนผมก็คือเคมีของ 5 คนที่เสนอเรื่องราวเป็นแนวทางเดียวกัน เพราะทุกอย่างเราเริ่มมาด้วยกัน ฉะนั้นมันก็มีเอกลักษณ์ในลักษณะนั้น พอเจเนอเรชันใหม่ก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบ เป็นอารมณ์เพลงอีกแบบ เพราะว่ามันผ่านระยะเวลาการเดินทางมาพอสมควรแล้ว ฉะนั้นย่อมแตกต่างครับ

ใครชอบเจเนอเรชันโน้นก็โอเค งานก็ยังมีให้ฟังอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาครับ ก็ฟังผมก็ได้ ผมก็ยังเล่นอยู่ครับ เวลาผมเล่นคอนเสิร์ต ผมก็เล่นเพลงนี้แหละ เผลอๆ เล่นหลายเพลงที่บิ๊กแอสไม่เล่นด้วยครับ ขิงหน่อยนิดนึง (หัวเราะ) อันนั้นเพลงยุคผมมันยังง่ายสำหรับผมที่นำเสนอไง พอเจเนอเรชันใหม่เขาก็ต้องเสนอเพลงในยุคใหม่เขา ดังนั้นผมอาจได้เปรียบเพราะวัตถุดิบมันเยอะหน่อย มีแต่เพื่อนๆ สายแก่ๆ ตามดูกันนี่แหละ ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ

ถามว่ามีเพลงไหนประทับใจพิเศษมั้ย ทุกเพลงครับ เราไม่ได้ทำมาง่ายๆ ครับ มันทำด้วยไอเดียกับความอยากทั้งนั้นครับ แต่มีเพลงนึงที่ผมชอบและเพิ่งเอามาเล่นคือเพลง “ดีแต่ปาก” มันเป็นเพลงที่ร้องยากจริงครับ ผมยังคิดเลยว่าตอนวัยรุ่นร้องไปได้ยังไง เพราะเสียงมันสูงครับ ขนาดร้องเองคิดเอง มาร้องปัจจุบันยังแย่เลยครับ (หัวเราะ) สนุกดีครับ

ทุกวันนี้ไปเล่นคอนเสิร์ตก็มีแฟนๆ ยังขอเพลงวงบิ๊กแอส อย่างตอนมีตติ้งที่ลานกางเต็นท์ ผมเล่นเพลงไม่บอกด้วย ผมเล่น 5 ครั้ง ผมเปลี่ยนสคริปต์ตลอด 20 กว่าเพลง แล้วเปลี่ยนสไตล์เล่นหมดเลย เพราะว่าบางคนมาดูทุกครั้งไง เขาจะจับทางได้ ผมเปลี่ยนทุกครั้งให้เขาจับไม่ได้ (ยิ้ม) เหนื่อยซ้อมเลยครับ แต่ก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบซ้อม แต่เดี๋ยวนี้ซ้อมอาทิตย์ละวัน ก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุกไปอีกแบบ ที่เมื่อก่อนไม่ซ้อมเพราะเล่นอยู่ทุกวันไงครับ พอมาเล่นทุกวันก็ไม่มีเวลา เวลาว่างก็อยากไปทำอย่างอื่นครับ”

ยังเป็นภาพจำ

แม้จะออกจากวงไปนานหลายปี แต่แด๊กซ์ก็มักจะยังถูกพูดถึงร่วมกับวงบิ๊กแอสอยู่เรื่อยๆ และที่ทำเอาแฟนๆ ฮือฮา เห็นจะเป็นภาพที่ เจ๋ง เดชา โคนาโล นักร้องนำวงบิ๊กแอสปัจจุบัน เคยถ่ายรูปคู่กับแด๊กซ์ในสมัยที่ยังเป็นนักร้องวงบิ๊กแอส ซึ่งแด๊กซ์บอกว่า “ผมจำหน้าเขาไม่ได้ตอนนั้น ผมมาเห็นรูปก็เลยนึกออกว่าที่เจ๋งโพสต์คือที่ซานติก้า ผมจำได้ว่าไปก่อนเวลา ก็มีวงมาถ่ายรูป ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาชื่ออะไร แต่พอผมเห็นก็ อ๋อ มิน่าเจ๋งถึงเก็บภาพไว้ เพราะว่ามันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวเขาเนอะ แต่ผมนึกเหตุการณ์ออกว่าวันนั้นเป็นยังไง สถานที่ตรงไหน เพราะความจำเรื่องนี้ยังค่อนข้างจำได้อยู่ครับ ก็ดีครับ ขอบคุณครับ ไม่มีปัญหาครับ ยินดีครับ”

หลายคนก็ทึ่งไม่น้อย เพราะเป็นภาพที่อดีตนักร้องนำกับนักร้องนำปัจจุบันของวงมาเจอกัน ตอนที่ถ่ายก็ไม่มีใครรู้ว่าปัจจุบันจะเป็นแบบนี้ แด๊กซ์บอกว่า “ใช่ อันนั้นนานมาแล้ว พอมานึกย้อนหลังก็อ๋อ คนนี้ทีมนี้วงนี้ เพราะจริงๆ แล้ววงดนตรีอาชีพที่เล่นในสถานบันเทิง เล่นกลางคืน วงหลักๆ จะมีไม่กี่วงหรอกครับ ส่วนใหญ่รู้จักกันหมด เราก็รู้จักต่อๆ กันมาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นยังไงในอนาคตก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

ถามว่าหลังจากภาพวันนั้นมีโอกาสได้เจอเจ๋งตอนเป็นนักร้องวงบิ๊กแอสบ้างไหม นักร้องหนุ่มตอบว่า “ไม่เจอครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยได้ไปงานใหญ่ๆ ที่เป็นเฟสติวัล ถึงจะไปบิ๊กแอสก็เล่นคนละวัน ก็เลยไม่ได้เจอกันอยู่แล้วครับ แต่มีผมที่เพิ่งเจอไอ้โอ๊ค (พงศ์พันธ์ พลสิทธิ์ มือกีตาร์เบสวงบิ๊กแอส) เมื่อไปงานน้องนุ๊กซี่ (อัญพัชญ์ วัฒนาตันติรัตน์) ที่วัดบึงทองหลาง ผมจอดรถแล้วเห็นไอ้โอ๊คคุยโทรศัพท์อยู่ ก็ตะโกนเรียกมันว่าโทรอะไรตั้งแต่ลงรถ ไม่เดินเข้าไป เหมือนไม่ค่อยรู้ทาง ผมก็เรียกมันบอกว่ามานี่เลย (หัวเราะ) ไม่มีอะไรครับ ปกติผมเป็นคนพูดแบบนี้อยู่แล้วครับ”

เมื่อพูดถึงเรื่องที่หลายคนยังติดภาพแด๊กซ์กับวงบิ๊กแอสอยู่ นักร้องดังบอกว่า “ก็มันเป็นความทรงจำของตัวผม แฟนเพลงด้วย เรื่องที่มาทำเพลง ผมว่าเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เหมือนเดิมแหละครับ สไตล์การทำ การคิดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะกลับภาพมาให้เป็นเหมือนเก่า เหมือนทำหนังไตรภาค มันรีเมกใหม่แล้วอาจจะสู้ออริจินัลก็ไม่ได้ครับ ผมว่าดนตรีอยู่ที่ความสนุกครับ มันเป็นเรื่องของสิ่งที่คาดเดายาก อันนี้ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ครับผม”

ศิลปินเดี่ยว

หลังจากที่แยกจากวงบิ๊กแอส เขามาเป็นศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด Me Records แด๊กซ์บอกว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องซีเรียสมากหรือเป็นทางการ เพราะอยู่กันแบบสบายๆ ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว ทำงานแบบพี่น้อง ไม่ซีเรียส ค่อนข้างฟรีสไตล์มากๆ ซึ่งการมาร่วมงานกับ Me Records เกิดจากการที่ ฟองเบียร์ ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ชักชวนมา และมาพร้อมกับวงซิลลี่ ฟูลส์

“ตอนแรกผมก็เอ๊ะ เบียร์จะชวนผมไปทำไม ผมเป็นคนไม่มีอะไรมากมาย เล็งเห็นอะไร เราก็ไม่ใช่ว่าสกิลร้องเก่งกาจ เป็นนักแต่งเพลง ถ้าเปรียบเทียบผมก็เหมือนนักเล่านิทาน นักเล่าเรื่องที่ทุกคนรู้จักแค่นั้นเองครับ เผอิญเบียร์อาจจะเห็นอะไรบางอย่าง เขาก็บอกว่าเฮ้ยพี่ เดี๋ยวผมทำเพลงให้ เดี๋ยวผมเขียนเพลงให้พี่เลยดีกว่า ผมเห็นภาพอะไรบางอย่าง ผมก็ขอบคุณเบียร์ครับ ที่นี่เหมือนหมู่บ้านที่เราเดินไปทักคนนี้ได้ เหมือนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน มาช่วยกันทำโน่นทำนี่ ง่ายๆ สบายครับ สนุกครับ มีทั้งภาคเล่นสดกับภาคสตูดิโอ เหมือนเป็นคนวางอะไรต่างๆ ด้วยความชอบส่วนตัวเอง รู้สึกเป็นอิสระดีครับ”

ตลอด 5-6 ปีในการเป็นศิลปินเดี่ยว เขาเล่าถึงชีวิตในช่วงนี้ให้ฟังว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน “สมัยก่อนจะเป็นทีม ทำอะไรไม่ใช่คนเดียวคิด อาจจะมีกรอบหลายๆ อย่าง แต่อันนี้เป็นคนเดียว แล้วยุคสมัยของเพลงก็เปลี่ยนด้วย มันไม่ต้องทำเพลงเป็นอัลบั้ม มันแค่ทำเป็นซิงเกิล ด้วยอายุของการทำงานของผมมันเป็นอีกจุดนึงแล้ว

มันไม่ใช่การทำเพลงเพื่อสร้างตลาดใหม่ มันเป็นการทำเพลงเพื่อหาพื้นที่ที่เป็นของตัวเองมากกว่าครับ จริงๆ คนฟังเพลงก็คือเจเนอเรชั่นใหม่เรื่อยๆ อันนี้เราเข้าใจ ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้คือการอยู่กับคนที่ยังเป็นกำลังใจให้เราหรือแฟนเพลงที่โตมาด้วยกันมากกว่า ผมก็เลยทำอะไรง่ายขึ้น ติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้น การเจอทีมงาน การอธิบาย การเจอแฟนเพลงก็รู้สึกว่าคลี่คลายขึ้น”

แด๊กซ์บอกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยวได้เป็นตัวเองมากขึ้น อาจไม่ต้องคุยต้องเสนอเรื่องซับซ้อน แค่เสนอสิ่งที่คิดอยู่ตอนนั้นก็ได้ สมัยก่อนอยากมีคอนเสิร์ตเล็กๆ คนดู 100-200 คน เล่นอะคูสติกบ้าง เล่นอะไรเล็กๆ บ้างในสถานที่สวยงาม สุดท้ายก็ได้ทำ ปัจจุบันก็เหมือนได้มีตติ้งกับแฟนเพลง ก็เล่นคอนเสิร์ตตามจุดกางเต็นท์แคมปิ้ง แฟนเพลงดู 200 คน จัดมา 5-6 ครั้งแล้ว

“สนุกครับ อยากเล่นเพลงอะไรก็ได้ เล่นสไตล์ไหนก็ได้ คนมาดูก็สนุก กลายเป็นว่าอิสระดี อยากทำอะไรก็ได้เต็มที่เลย ชอบมากครับ คือตอนแรกเริ่มจากทำออนไลน์ เล่นไลฟ์สดเฟซบุ๊ก พอคนในเพจดูถามว่าทำไมพี่ไม่เล่นคอนเสิร์ตออนไลน์ ผมก็เลยลองเล่นดู ก็เซตทีมมาเล่นอะคูสติกออนไลน์ ก็เออ มีคนดูนี่หว่า คราวนี้ก็ขยายเป็นไลฟ์ออนไลน์ แต่ว่านอกสถานที่ ไปเล่นริมน้ำตก เอาระบบไปเซต เล่นไปเล่นมา คนก็ถามว่าทำไมไม่เล่นคอนเสิร์ตให้คนเข้าไปดูเลย เลยเกิดเป็นแด๊กซ์มีตติ้งนี่แหละครับ สนุกดีครับ มันทำให้เราต้องขยับการโชว์ตลอด ซ้อมตลอดเลยครับ เพลงไหนที่ไม่เคยเล่นก็เอามาเล่นครับ”

เมื่อถามว่าแตกต่างจากการทำงานเป็นทีมยังไงบ้าง แด๊กซ์ตอบว่า “ความมันก็ต่างกันครับ แต่ว่าผมรู้สึกว่าทำแบบนี้ง่ายกว่าครับ บางเพลงทำเร็วมาก เผอิญโชคดีคนที่ทำให้เป็นเจเนอเรชั่นเดียวกัน เป็นเพื่อนกันที่อยู่วงอื่น อย่างพี่เก่ง พี่โอ่ง AB Normal ฟองเบียร์ ซึ่งเป็นบอสในค่าย มีเพื่อนๆ ซิลลี่ ฟูลส์ มีเพื่อนคนโน้นคนนี้มาช่วยทำให้ ทุกคนจอยกันหมด ผมเลยมีความรู้สึกว่าผมโชคดีที่มีเพื่อนร่วมงานที่มีฝีมือระดับประเทศทุกคนมาช่วยทุกเพลงสลับเปลี่ยนกันไป ก็เป็นสีสันสำหรับตัวผมด้วย

ถามว่าคิดถึงการทำงานเป็นทีมมั้ย จริงๆ ผมว่ามันไม่ค่อยต่างเท่าไหร่ครับ แต่ผมว่าสิ่งที่แตกต่างจากเดิมก็คือคนร่วมงานกับเราเปลี่ยนหน้าตลอด เราเปลี่ยนสไตล์ได้ตลอด กำลังคิดอยู่ว่าเพลงต่อไปอยากฟีเจอริ่งกับศิลปินท่านอื่นบ้าง เพราะร้องคนเดียวมาตลอดชีวิตเหมือนกันครับ กำลังคิดอยู่ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะสมดี เดี๋ยวขอลองดูก่อนว่าอะไรเหมาะสม ถามว่าจะเป็นศิลปินร็อกเหมือนกันหรือเปล่า น่าจะข้ามสไตล์ กำลังคิดอยู่ว่าเป็นแบบไหนดี ตอนนี้ต้องหาหัวเชื้อก่อนครับ หาสารตั้งต้นก่อนว่าจะเป็นยุคใหม่หรือเก่าครับ”

เส้นขนาน

แด๊กซ์พูดถึงการทำงานเพลงใหม่ล่าสุด “เส้นขนาน” ซึ่งมีที่มาที่ไปว่า “เพลงนี้เป็นเพลงที่เลือกไว้นานเป็นปีแล้วครับ ผมคุยกับโปรดิวเซอร์คือคุณเก่ง คุณโอ่ง AB Normal เราทำงานด้วยกัน ก็มาเอาเพลงในคอมฯ ดูว่ามีเพลงอะไรที่น่าสนใจจะได้เอาไปขยายต่อ ก็มีเพลงนึงเป็นเพลงเก่า ผมเห็นในสต๊อกเขาปีไหนก็ไม่ทราบ เป็นเพลงที่ทุกคนลืมไปแล้ว ผมก็เลยเปิดฟังแล้วรู้สึกชอบ ผมเลยขอเก็บเพลงนี้ไว้ ผมก็บอกฟองเบียร์ไว้ว่าขอเพราะชอบส่วนตัว ก็พยายามมาฟังเรื่องราวในเดโมนั้น เดโมเนื้อเพลงมันไม่เหมือนแบบนี้ ผมก็บันทึกคร่าวๆ คือมันพูดถึงคนที่อยู่ตรงข้ามกัน การเดินทางบนเส้นทางของแต่ละคน

ผมก็ชอบเพลงลักษณะอย่างนี้ แต่ดนตรีมันมีแนวโน้ม มันเห็นภาพในหัวว่าเป็นแบบไหน ก็เลยเลือกเอาไว้ พอต้นปีจะเริ่มทำเริ่มคุย ไปๆ มาๆ จังหวะที่ทำเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับน้องแตงโมพอดีเลยครับ ก็เลยขอปรับแก้เนื้อหาอีกนิดนึงให้มันเข้ากับความรู้สึกเราที่อยู่กับเหตุการณ์ ณ วันนั้น เปลี่ยนแค่บางประโยค สื่อถึงสิ่งที่เราคิด คือคนที่ยืนกับความถูกต้องจะเป็นเส้นขนานกับความโกหกหลอกลวงที่เกิดขึ้นในสังคม ก็เลยกลายเป็นเพลง “เส้นขนาน” นี่แหละครับ”

ในส่วนของมิวสิกวิดีโอ แด๊กซ์เผยเหตุผลที่เลือก ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด มาเป็นนักแสดงในเอ็มวีไว้ว่า “ช่วงนั้นคุยกับคุณฟองเบียร์ก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันต้องทำเลย ช่วงนั้นผมเพิ่งเตรียมงานกันเองครับ ฟองเบียร์ก็บอกว่าเอาเลยดีกว่า มีเวลา 1 อาทิตย์ แม้กระทั่งตอนเลือกทนายตั้มกับตอนอัดเสียงก็เป็นช่วงเวลาเดียวกัน รู้สึกว่าคนที่จะสื่อสารเนื้อหาในเพลงได้มันน่าจะเป็นคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับความถูกต้อง คนที่เป็นตัวแทนของอะไรบางอย่าง

ก็นึกถึงทนายตั้ม เพราะว่าเราเห็นในข่าวบ่อยว่าเป็นคนที่ช่วยเหลือสังคม คนที่ต้องการที่ปรึกษาทางกฎหมาย มันก็เป็นภาพคนคนนึงที่ยืนอยู่ฝั่งความถูกต้องและความจริง คนคนนี้แหละน่าจะเหมาะ ทีมงานก็ติดต่อไป ทนายตั้มบอกว่าโอเคอย่างสายฟ้าแลบเลยครับ ตอนนั้นเพลงยังอัดไม่เสร็จเลย ก็แบบเฮ้ย เขาเอาแล้วเหรอเนี่ย จะถ่ายแล้วเหรอ เราก็ต้องตั้งใจในส่วนของเราให้เต็มที่ ถือว่าโชคดีมากครับ

ถามว่ากลัวคนมองว่าดึงทนายตั้มมาเล่นเพื่อหวังดึงกระแสสังคมมั้ย ไม่ได้มองถึงเรื่องนั้นครับ อย่างที่บอกว่าธีมของเพลงมันเป็นการยืนของคนสองคนที่แตกต่าง แต่ถ้าเกิดมันเป็นสัญลักษณ์ของคนคนหนึ่งที่ยืนข้างความถูกต้อง ผมว่าการที่เลือกคนที่ชัดเจนมันไม่ใช่กระแสหรอกครับ พอเห็นปุ๊บ ทุกคนจะไม่มีคำถามว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไรในนี้ คนเห็นปุ๊บคือทนายความที่พยายามจะค้นหาความจริงอะไรบางอย่างให้สังคมได้รู้ครับ

บางภาพที่เห็นในเอ็มวีก็คือเหตุการณ์จริง เช่น การสัมภาษณ์ ส่วนภาพที่เป็นขาวดำคือมันดูเป็นหนังดีฮะ เป็นหนังแอ็กชั่นสืบสวนสอบสวน จริงๆ ตอนดูตัดต่อคือภาพสี ผมก็คิดว่าเอ๊ะ ถ้าเป็นภาพขาวดำคือมันมีความขลังกว่า ทีมงานก็ชอบ ทุกคนก็ชอบ ภาพรวมตอนที่เห็นก็พอใจนะครับ เป็นอะไรที่สั้นๆ ได้ใจความ ได้ผู้กำกับชื่อดังมาช่วยทำ เผอิญแกเป็นรุ่นน้องของผมที่สมัยเรียนมัธยมด้วย ทุกอย่างง่ายและรวดเร็วเหมือนเป็นงานด่วน ทุกคนไปหน้าสถานที่แล้วถ่าย เราก็ทำในส่วนของเรา เก็บความรู้สึกทุกอย่างที่มันเรียลจริงๆ มารวมกัน”

กลับตัวกลับใจ

เราถามต่อถึงการทำเพลง “เส้นขนาน” ซึ่งเนื้อหามีความเกี่ยวโยงถึงแตงโม นิดา และก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีก็เคยทำเพลง “กลับตัวกลับใจ” ก็มีแตงโมมาเล่นมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ด้วย แด๊กซ์บอกว่า “ตอนเพลง “กลับตัวกลับใจ” เป็นเพลงแรกที่ผมกลับมาร้องเพลงใหม่ ทำงานกับทีมงานใหม่ แล้วโมสนิทกับฟองเบียร์ด้วย เผอิญช่วงนั้นโมมีเรื่องราวในชีวิตเขาอยู่พอดี

ซึ่งพอได้คุยกันเขาก็โอเค เดี๋ยวหนูเล่นเอ็มวีให้ อย่างที่ฟองเบียร์เคยบอกว่าโมเล่นให้ด้วยใจ ยอมเอาชีวิตส่วนตัว ภาพส่วนตัวในบ้านมาเผยแพร่ให้ดูว่าชีวิตผู้หญิงคนนึงเวลาเจอปัญหา เขายืนหยัดกลับมาด้วยอะไร ผมมีความรู้สึกว่าเออ ถ้าไม่ได้น้องเขามาซัพพอร์ตในตัวเพลง ผมว่าเพลงอาจจะยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ผ่านมา ช่วงที่ร่วมงานกัน จริงๆ ทุกคนก็ทราบว่าเขาเฟรนด์ลี่ พูดจาเป็นกันเอง มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากๆ ด้วย ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ครับ”

พอมีเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตของแตงโม นิดา ก็มีคนกลับมาดูเอ็มวีเพลงนี้อีกครั้ง และเข้าไปคอมเมนต์แสดงความอาลัย ยอดวิวพุ่งขึ้น แด๊กซ์บอกว่า “ก็ขอบคุณทุกคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับน้องโม ผมว่ามันเป็นเรื่องดี ถึงแม้ตัวเราไม่อยู่แล้ว แต่บางสิ่งบางอย่างมันยังอยู่ในความทรงจำของทุกคน ทุกคนสามารถเข้าไปแสดงความรู้สึกร่วมได้ โชคดีมากๆ ที่บันทึกเรื่องราวเพลง “กลับตัวกลับใจ” มันเป็นเรื่องในชีวิตของโมเขาจริงๆ ทุกคนเห็นปุ๊บก็รู้สึกว่าเออ…คิดถึงเขาครับ รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ยืนหยัดได้ด้วยความรักครับผม”

เราบอกว่าเหมือนแด๊กซ์ทำเพลงในช่วงชีวิตของแตงโมหลายครั้ง แด๊กซ์บอกว่า “มันบังเอิญทุกอย่างครับ มันไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า แล้วมันแมตช์กันพอดี ผมเชื่อว่าจริงๆ แล้วคนเรามันมีทุกปัญหาของชีวิตให้ก้าวข้ามครับ แล้วบังเอิญเป็นจังหวะเดียวกันพอดี ตอนที่เห็นข่าววันแรกรู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะได้ข่าวว่ามีอุบัติเหตุคนพลัดตกจากเรือ เราก็อ้าว น้องโมนี่หว่า มันก็แปลกใจ แล้วถึงขั้นเสียชีวิต เราก็รอดูความจริงที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าอุบัติเหตุน่ะแหละ แต่สุดท้ายทุกคนที่ทราบเรื่องก็อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เชื่อว่าทุกคนก็รออยู่ครับ และผมเชื่อว่าสุดท้ายความจริงต้องปรากฏครับ”

ปัญหาที่ต้องเจอ

อีกเรื่องที่หลายคนยังเป็นห่วงคือปัญหาสุขภาพเส้นเสียงของนักร้องหนุ่ม ซึ่งแด๊กซ์บอกว่า “ก็ยังมีครับ มีปัญหากับเพลงเสียงสูงนี่แหละครับ พออายุต่าง เพดานสูงที่สุดไม่เหมือนเดิมครับ ถ้าสูงกว่านี้ผมต้องทะลุออกจากแม่สายไปท่าขี้เหล็กแล้วแหละครับ (ยิ้ม) ผมไม่สามารถออกเสียงสูงกว่านี้ได้แล้ว มันก็ได้อยู่ แต่ว่าอาจจะไม่เหมือนสมัยวัยรุ่นที่ทำยังไงก็ได้ครับ ตอนนี้มันก็จะเตรียมตัวเวลาถึงท่อนนี้ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง

ถามว่าเป็นปัญหาอย่างที่นักร้องส่วนใหญ่ประสบหรือเปล่า นักร้องหนุ่มเล่าว่า “จริงๆ ส่วนใหญ่ที่ผมเจอไม่ใช่เกี่ยวกับเส้นเสียงอักเสบนะครับ เป็นการใช้เสียงสู้กับเสียงดนตรี จนร่างกายไปจดจำการออกเสียงอีกแบบนึงผิด เหมือนคนเราทำอะไรย้ำๆ ตลอดเวลาแล้วไม่รู้ตัว ผมสังเกตหลายคนเวลาร้องเพลงกับเครื่องดนตรีดังๆ จะมีปัญหา แต่เวลาร้องปกติในห้องอัดหรือกีตาร์โปร่งไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย แสดงว่ามีปัญหากับการป้องกันเสียงกับเสียงดังด้วยครับ แล้วร่างกายคือคอมันล็อก กล้ามเนื้อล็อกทุกอย่าง จำในสิ่งเดิม ต้องรื้อฟื้นใหม่เลย

ที่เขาบอกว่าใช้หนัก ถ้าเกิดคนดื่มเยอะดูดเยอะอาจจะมีอยู่แล้วครับ ก็ไม่ใสหรอกครับ แต่อย่างที่บอก ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องการใช้เสียงดังเบาแตกต่างกันมากกว่า ทุกวันนี้เรื่องเส้นเสียงก็ดูแลปกติ ไม่ประคบประหงมอะไรครับ ออกกำลังเบาๆ ตามวัยครับ ไม่ได้ใช้รุนแรงอะไร ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตทุกวันเหมือนสมัยก่อน ได้นอนเยอะขึ้น ปกติผมเป็นคนชอบตื่นเช้าผิดปกติไปหน่อย พอนอนเยอะขึ้นก็ไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าไร มันมีปัญหากับบางเพลงที่เสียงสูงๆ ไม่ค่อยเนียนครับ”

เรื่องการทำเพลง แด๊กซ์บอกว่าก็จะเลือกเพลงที่เหมาะกับคีย์ของตัวเอง อย่างแรกเลยคือดูว่าระดับคีย์สูงสุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาจนต้องไปหาหมอ ตอนซ้อมถ้าตรงไหนมีปัญหาก็มานั่งซ่อม มานั่งทบทวนว่าประมาณไหนดี แล้วจำจากที่ซ้อมไป เรียกว่ารู้วิธีเอาตัวรอด

และอีกปัญหาที่ศิลปินทุกคนเจอคือยุคโควิดทำให้งานต่างๆ หดหาย โดยเฉพาะงานคอนเสิร์ตที่เรียกว่าเป็นรายได้หลัก ซึ่งแด๊กซ์ก็ได้รับผลกระทบเหมือนทุกคน งานถูกแคนเซิลหมด แม้กระทั่งงานไปต่างประเทศก็ปิด ที่ไปยุโรปก็เคยได้ไปแค่ที่เดียว ทั้งที่เซ็นสัญญาว่าต้องไป 2-3 ที่ ก็ต้องกลับเพราะทุกอย่างปิด แต่ก็ยังพอมีอะไรทำบ้าง คือการเล่นคอนเสิร์ตออนไลน์ จัดมีตติ้งแคมป์ ขายเนื้อวัว เนื้อสเต๊ก ก็สั่งจากร้านที่ซื้อเป็นสต๊อกมาขายเองเป็นเนื้อสเต๊กแช่แข็ง ลอตเตอรี่ก็เคยขาย แต่ตอนหลังไม่ขายแล้ว ก่อนจะพูดติดตลกว่า “ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตังค์ไม่ค่อยมีให้ใช้อยู่แล้วครับ เลยไม่รู้จะใช้อะไร (ยิ้ม)”

ถามว่าหมดโควิดจะมีโอกาสได้เห็นคอนเสิร์ตใหญ่ของเขาหรือไม่ นักร้องดังบอกว่า “ตอนนี้คอนเสิร์ตใหญ่ไม่ได้คิดอยู่ในหัวเลยครับ คือคอนเสิร์ตใหญ่มันผ่านมาเยอะแล้วครับ แต่ผมมีแด๊กซ์มีตติ้งแคมป์ ผมชอบแบบนี้สนุกกว่า ผมทำพร้อมกับซิลลี่ฟูลส์ พี่หรั่งเป็นคนคิด ก็คุยกันตอนนั้นว่าลองแยกกันดูว่าทำแบบนี้แล้วเป็นยังไง มันก็เวิร์กครับ แฮปปี้ คอนเสิร์ตใหญ่ก็โอเค เป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่ แต่อย่างนี้ผมว่าสนุกกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนมาดูคือแฟนเพลงเรานี่แหละ ทำให้เราได้ผ่อนคลายด้วย”

ส่วนโอกาสที่จะไปร่วมแจมกับวงบิ๊กแอสถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ แด๊กซ์บอกว่า “ถ้าไม่แก่ตายไปก่อนนะครับ หรือใครตายไปก่อน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ มันก็เป็นไปได้หมดแหละครับ ผมก็เห็นเมืองนอกบางคนเขาก็มีคอนเสิร์ตใหญ่เป็นประวัติศาสตร์จริงๆ แต่มันต้องอยู่กับเรื่องราวที่จะเดินต่อไป อันนี้ตอบไม่ได้จริงๆ ถ้าเรื่องราวน่าสนใจหรือมีอะไรให้บอกเล่า โอเคมันอาจถึงจุดนั้น แต่ตอนนี้ผมยังไม่การันตีว่ามันมีอะไรครับ ถ้ามีคงตอบได้ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นึกอะไรครับ ตอนนี้ยังสนุกครับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คุยกัน เพราะต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ถ้าแฟนเพลงไม่แก่ตายก็ฟังเพลงไปก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าวงหรือแฟนเพลงใครจะแก่ตายก่อน (ยิ้ม)”

ปิดท้ายแด๊กซ์ฝากถึงแฟนเพลงว่า “บางคนอาจยังไม่รู้ว่ามีเพลงใหม่ออก ยังไงก็ฝากเพลง “เส้นขนาน” ด้วย และก็มีแด๊กซ์มีตติ้งแคมป์ ครั้งต่อไปยังไงเข้าไปดูในเพจ DAX ROCK RIDER แล้วกัน สำหรับคนที่ติดตามก็เข้าไปดูในนั้นนะครับ ก็ขอบคุณที่ยังซัพพอร์ตกันอยู่ บางคนเดินทางไกลเพื่อมาดู ยังคอยถามไถ่กันอยู่ ถ้ายังมีแรงก็สนับสนุนกันต่อไป ถ้าผมยังมีแรง ยังสนุกอย่าง ก็คงทำงานและจัดคอนเสิร์ตให้ดูต่อไปครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Me Records, แฟนเพจ DAX ROCK RIDER
กราฟิก :

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2367290
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2367290