โม อมีนา เตรียมขออนุญาตแม่ ทำสารคดีชีวิต แตงโม ระลึกถึงพี่ไม่อยากให้คนลืมชื่อ 


ให้คะแนน


แชร์

โม อมีนา เตรียมขออนุญาตคุณแม่ ทำสารคดีชีวิต แตงโม ระลึกถึงพี่ที่น่ารัก ไม่อยากให้คนลืมชื่อ ออนแอร์ครบรอบ 1 ปีที่จากไป

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

นักแสดงสาว โม อมีนา พินิจ มาร่วมเดินแบบในงาน Club Hi Class ในธีมมหาเศรษฐีดูไบ ณ โรงแรม Almeroz Hotel รามคำแหง เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 65 โดยก่อนเริ่มงาน เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ถึงโปรเจ็กต์สารคดีแตงโมที่มีแพลนจะทำขึ้นมาเพื่อระลึกถึงดาราสาวผู้ล่วงลับ โดยคนเสนอไอเดีย คือ แอนนา และกลุ่มเพื่อนลงทุนเองทั้งหมด เตรียมขออนุญาตคุณแม่ คุณแม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ นิก คุณาธิป และป้าแตง แม่บ้านของแตงโม ออกมาตั้งโต๊ะแถลง รวมถึงเรื่องที่เธอเปิดเผยในรายการหนึ่งว่าเคยขึ้นคอนโดฯ ดาราชายแล้วแก้ผ้าต่อหน้า แต่ถูกเมิน

โดย โม อมีนา เผยว่า “อะไรที่เป็นตัวเรา เราก็บอก อะไรที่ใครเขาอยากรู้เราพูดได้เราก็พูดหมด อย่างที่โมบอกทุกๆ รายการว่าเวลาทำงานก็คือทำงาน จะไม่มีการเป็นดารา 24 ชั่วโมง โมไม่ได้ทำแบบนั้น เวลาเสร็จงานอยู่ข้างนอก ก็จะเป็นสังคมของเราโลกของเรา”

คอนเทนต์แบบนี้หลายคนก็ชอบให้เราเล่าเรื่องแบบนี้? “คือไม่เคยรู้เลยแต่ด้วยความที่เวลาใครถาม เราก็พูดและพยายามเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด มันก็เหมือนการบ่งบอกความเป็นตัวเรา”

ไม่กลัวคนจะมองเป็นผู้หญิงแรง? “โมเชื่อว่าชีวิตคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่างไปจากเราเพียงแต่เขาไม่ได้พูดเท่านั้นเอง”

เรื่องสารคดีแตงโม?คือมันเป็นการพูดคุยโดยแม่แอนนาเป็นคนเสนอไอเดียว่าเธอฉันอยากทำสารคดีผู้หญิงที่ชื่อแตงโม ซึ่งถามว่าเราเห็นด้วยไหม เราเห็นด้วย เราก็เลยมีพล็อตตัวอย่าง ซึ่งเราก็จะมีทีมขึ้นมาเลยแหละ มันไม่ใช่งานง่าย มันคืองานใหญ่มากๆ เลยแล้วก็ต้องใช้ระยะเวลาในการทำ มันยากตรงที่ว่าเราจะต้องรวมฟุตของพี่แตงโมตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่ทำงานแล้วพี่ก็ทำงานมาค่อนข้างเยอะ ออกงานมาก็บ่อย ชีวิตพี่มีเรื่องราวอะไรหลายๆ อย่างที่คนอื่นยังไม่เคยรู้ เช่นเวลาที่โมทำเอ็มวีออกมา เวลาที่เรามีภาพวิดีโออะไรที่คนอื่นยังไม่ค่อยเห็นแล้วมองว่าอ๋อพี่เขาก็มีมุมน่ารัก ก็มีมุมแบบนี้อย่างนี้ที่เขาก็ไม่เคยเปิดเผยกับคนอื่น แล้วพอเราเสนอในมุมพี่เราน่ารักแบบนี้เชื่อว่าทุกคนรักเขาแล้วก็อยากให้ทุกคนที่ดูสารคดีของพี่แล้วรู้สึกว่านี่แหละคือ แตงโม นิดา หรือ แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์

ใครเป็นคนลงทุนในการทำ? “เราค่ะ โมไม่ได้ขอสปอนเซอร์จากใครเลย ต้องบอกไว้ก่อนว่าเราไม่ได้มีสปอนเซอร์ เราทำด้วยใจของเราจริงๆ เราอยากทำเพราะเรานึกถึงพี่เรา อยากทำเพื่อเก็บไว้ ไม่อยากให้คนลืมชื่อพี่โม

ถ้ามีคนที่รักแตงโมอยากร่วมทุนด้วย? “เราก็ไม่ได้ขัดอะไรนะคะ เพราะมันก็เป็นการร่วมกันเองระหว่างโมกับแม่แอนนา แต่ถ้าเกิดใครที่ยินดีจะช่วยเหลือเรา เราก็ขอบคุณ แต่ว่าความยากอ่ะมันอยู่ที่การรวมฟุตจริงๆ โมอาจจะต้องขอฟุตจากพวกพี่ๆ นักข่าว จากช่องต่างๆ ที่พี่เคยร่วมงาน งานเบื้องหลัง งานละคร งานเดินพรมแดงที่พี่เคยไป ก็ใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ ตอนนี้คือด้วยเรื่องราวหลายหลายอย่างก็ยังไม่ได้จบ 100% แล้วก็เหลืองานที่อีก 11-13 มีนาคมที่ผ่านมาและอีกวันนึงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สี่วันนี้ก็ต้องไปอยู่ในฟุตของสารคดีพี่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็จะต้องเสร็จงานนี้ก่อน แล้วก็ต้องมานั่งรวมทีมกันอีกทีนึง ประชุมกันอีกทีนึงว่าจะยังไง ที่คาดการณ์ไว้อ่ะอยากจะให้เผยแพร่หรือว่าออนแอร์ วันครบรอบหนึ่งปี ถ้าทันนะคะ แต่ว่าสโคปงานมันใหญ่มากจริงๆ”

ต้องขอทางคุณแม่ไหม? “คุณแม่ก็ต้องมีการพูดคุย เป็นการขอแบบกิจจะลักษณะ ยังไงก็ต้องขอให้คุณแม่อนุญาตด้วยเพราะคุณแม่ก็คือส่วนที่สำคัญเหมือนกัน

มีการพูดคุยไปบ้างหรือยัง? “ยังเลยค่ะ มันเป็นแค่ไอเดียที่พวกเราคิดกันไว้ ถ้าเสร็จงานพี่ทุกอย่าง 100% ก็คงเข้าไปคุยกับคุณแม่ อย่างที่เราบอกว่า มันคือโปรเจ็กต์ที่เราอยากจะทำเพื่อระลึกถึงพี่ มันไม่น่าจะมีอะไรที่เสียหายแล้วก็คงไม่มีผลต่อเรื่องอะไรต่างๆ”

26 เม.ย.นี้ตำรวจจะจะแถลงปิดคดีแล้วเรามีความคิดเห็นยังไง? “หนูพูดมาตั้งแต่แรกว่าหนูก็ยังเชื่อมั่นกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงจะดีหรือไม่ดีเราจะไม่มีคอมเมนต์ เราถือว่าตอนนี้ตำรวจทำหน้าที่ของเขาได้เต็มที่แล้วและสุดความสามารถแล้วจริงๆ หลังจากนั้นก็ขอให้เป็นเรื่องของอัยการต่อไป”

มันจะแบ่งเป็นสองฝั่งว่าเป็นอุบัติเหตุและไม่ใช่อุบัติเหตุ ส่วนตัวเรามองยังไง? “โมมองในภาพที่มันเป็นไปได้ เช่น พยานหลักฐานมีอะไรบ้าง ข้อเท็จจริงเป็นยังไง อะไรที่มันจับต้องได้และเราจับต้องได้ด้วยตัวของเราเอง ด้วยตาของเรา โดยที่ไม่ได้มีการคิด อ๋อ..ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ทุกอย่างที่โมเชื่อมันต้องผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ความคิดของคนอื่นๆ จะเป็นยังไงโมไม่ก้าวล่วงเขาก็แล้วกัน หนูบอกเลยว่าสองเดือนที่ผ่านมา ต่อให้มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหนูเหนื่อยแต่หนูเต็มใจทำ แล้วหนูก็ยังบอกอยู่ว่าหนูไม่เคยหยุดหาความยุติธรรมให้พี่ แล้วก็ถ้าหนูจะทำอะไรได้หนูก็ทำ แล้วก็ไม่ได้กลัวอะไรต่างๆ คือเรารักตัวเองนะ แต่ว่าเราก็รักพี่ด้วย”

เรื่องระหว่างเรากับนิก (คุณาธิป)มีการได้เคลียร์กันหรือยัง? “ไม่ได้คุยกันเลยค่ะ เราแค่พูดในรายการ ซึ่งถามว่าพี่เคยพูดไหม พี่เองก็เคยพูด ไปย้อนดูตามคลิปต่างๆ ได้ พี่ไม่ได้เล่าให้โมฟังคนเดียว โมว่าพี่เล่าให้ทุกคนฟัง บอกก่อนนะคะว่าไม่ได้อยากจะพูดถึง แต่เป็นการอธิบายเผื่อว่าใครที่ยังเข้าใจโมผิดๆ อยู่ ก็คือมันเป็นการพูดคุยกันในรายการตามที่ทุกคนเห็น หลักฐานทุกอย่างมีหมด มันก็เป็นการเล่า ซึ่งพี่ก็ไม่ได้เล่าให้เราฟังคนเดียว เรื่องนี้หลายๆ คนก็รู้ อันนี้คือข้อแรก ข้อที่สองเรื่องที่น้องพูดว่าพี่โมยิ้ม พี่โมต้อนรับอย่างดี พี่โมมาพูดคุยด้วย มันไม่จริง เพราะโมบอกก่อนว่าโมใส่แมสก์ 2 ชั้น น้องไม่น่าจะเห็นว่าเรายิ้ม ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นก็เป็นข่าว คือวันที่พี่เต้ไปจิ้มหัว ก็คือวันเดียวกัน ซึ่งโมได้รับวอเข้ามาว่าน้องมา แต่เราเห็นว่าน้องนั่งฝั่งแฟนคลับ ซึ่งเรารู้สึกว่าน้องเขาเป็นเซเล็บดาราก็ควรมานั่งฝั่งวีไอพี และโมก็เลยบอกให้คนไปพาเขามานั่งฝั่งวีไอพี เราก็ยืนรอเขาอยู่ตรงนั้น ก็ให้คนไปเชิญน้องมา เพราะหนูไม่รู้จักน้อง หนูก็ไม่รู้จะไปเชิญน้องมาด้วยตัวเองอย่างไร พอน้องมาเราก็ชี้ไปที่เก้าอี้ว่าให้นั่งตรงนี้ อย่าไปนั่งตรงนู้น เท่านี้เลย ไม่ได้มีการชี้หน้าอะไรใดๆ ชี้แค่ว่านั่งตรงนี้ แล้วหนูก็เดินไปรับเซเล็บคนอื่นเพื่อให้เข้ามานั่งในงาน เพราะฉะนั้นหนูไม่ได้มีการพูดคุยกับน้องใดๆ นอกเหนือจากนี้แน่นอน และหนูก็บอกน้องที่เดินตามหลังน้องเขามาว่าฝากดูแลด้วยนะ อันนี้คือคำพูดจากโม นอกเหนือจากนั้นที่ใครพูดอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ความจริงค่ะ”

ที่เขาบอกว่าจะถีบมอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่ว่าเขาจะถีบแตงโม ตรงนี้คืออาจจะเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?
“เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เราไม่รู้หรอกค่ะ แต่ว่าสิ่งที่เรารับรู้มาคือคำพูดจากพี่ เพราะฉะนั้นทางเขาก็ไม่น่าจะมาโทษโมได้นะ เราไม่ได้นึกเองแล้วเอามาพูด แต่เราฟังมาจากพี่ เราก็รับรู้ตามที่เรารับรู้”

วันที่เขาแถลงข่าว เรามีอะไรติดใจไหม? “เฉยๆ ค่ะ ปล่อยให้น้องพูด เราแค่มองว่าเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของเขา เราไม่ยุ่งก็แล้วกัน แต่เรื่องอะไรที่มันไม่ใช่ความจริงโมจะพูด”

แสดงว่าเราไม่มีอะไรติดใจ? “ไม่มีนะคะ เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้สนิทหรือไม่ได้รู้จักกับน้อง”

เรื่องป้าแตงล่ะ? “อย่างนี้ (หัวเราะ) ขำนาง ก็เอ็นดูนางกันเถอะนะคะ คือตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อป่วย ถามว่าโมไปเยี่ยมมั้ย โมก็ไปเยี่ยม คุณพ่อก็นอนอยู่ข้างๆ เราก็นั่งอยู่ แล้ววันรับปริญญาพี่ ถามว่าโมเจอป้าแตงมั้ยก็เจอ ก็เห็นยืนเต้นกับพี่อยู่ จะบอกว่าไม่เคยเจอก็แปลกๆ เนอะ แต่เขาอาจจะไม่อยากจำเราก็ไม่เป็นไร แต่โมก็บอกตลอดว่าเราไม่ได้ไปอยู่กับบ้านชั้นสอง เราไม่ได้ไปนั่งเกาะพี่ขนาดว่าฉันจะต้องอยู่ทุกซีซั่น ฉันจะต้องอยู่ทุกวันเวลา โมเคยพูดแล้วว่าโมจะอยู่ในวันที่พี่เขาโทรมาหาเรา วันที่เขาต้องการเรา เราถึงจะไปหา ที่เหลือเป็นชีวิตของเขา เขามีความสุขให้เขามีไป เขามีปัญหาเขาเคลียร์เองได้ เขาโตแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเป็นพี่หนู เขาไม่ได้เป็นน้องหนู เพราะฉะนั้นอะไรที่เขาเคลียร์ได้เราให้สิทธิเขา จะผิดจะถูกเราเข้าข้างเขา เราซัพพอร์ตเขา แต่วันใดที่เขารู้สึกว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เขาสะกิดเรามา เมื่อนั้นเราถึงจะไป”

ที่เขาบอกว่าตอนป่วยไม่เคยเห็นพวกเราเลย? “เราก็ให้กำลังใจกัน บอกว่าพี่ไม่เป็นไรนะ แต่เราไม่ได้ไลน์หาทุกวัน โทรหาทุกวัน เป็นยังไงเล่า มีอะไรเล่า ไม่มี โมไม่เคยเข้าไปถามเซ้าซี้ ไม่เคยเลย”

เขาบอกว่าเขาไม่ใช่แม่บ้าน ไม่ใช่คนใช้? “ผู้จัดการบ้าน หน้าที่คืออะไร ก็แม่บ้านไง”

เรื่องเงินเดือนเราก็ได้ยินแบบนั้นใช่ไหม? “ใช่ ฮิปโปกับแอนนาพูดมั้ยล่ะ เขาแค่ไม่ชอบคำว่าแม่บ้านเท่านั้นแหละ”

ตอนที่ได้ฟังเขาแถลง เรารู้สึกยังไงบ้าง? “ก็คิดว่าอู้หูแถลงข่าวเลย แต่หนูก็เฉยๆ ไม่ได้อะไร ฟังแล้วก็ไม่ได้โกรธ เฉยๆ”

ไม่มีอะไรจะโต้แย้งใช่ไหม? “หนูไม่เคยโต้แย้งเขาเลย และเราก็ไม่เคยพูดชื่อใครตั้งแต่แรก ถ้าโมไปพาดพิงตั้งแต่แรกก็ว่ากันไป เราเล่าแค่ของเราก็น่าจะจบ ไม่น่าจะมีอะไร แต่เขาน่าจะเก็บทุกอย่างไว้ในหัวสมองและในหัวใจของเขา แต่เราพูดแล้วเราจบ”

จะมีดราม่าอะไรอีกไหม? “หนูไม่เคยอยากจะมีดราม่าอะไรเลย โมเห็นนะคอมเมนต์ทั้งดีและไม่ดี ที่บอกว่าออกมาพูดเรื่องพี่อยู่ได้อะไรแบบนี้ เธอ คนถามเรา เราก็พูด คนถามเรา เราถึงจะบอก ถึงจะอธิบายจุดที่เราอธิบายได้ แต่ถ้าไม่มีใครพูดอะไร เราก็อยู่ของเราเงียบๆ เท่านั้นเอง อย่างพี่ๆ สื่อมาถามเราก็ตอบไปและเรามีความสนิทกันมากพอที่จะพูดกัน หนูไม่ได้ลงโพสต์อะไรทุกวัน พูดทุกวัน ไม่ใช่ หนูก็พูดในสิ่งที่หนูสามารถพูดได้เท่านั้น”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7013577
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7013577