“มาร์ช จุฑาวุฒิ” ตื่นเต้นเป็น “พระเอกวิก 3” แอบเกร็งร่วมงาน “มาร์กี้” ใน “มามี้ที่รัก”


ให้คะแนน


แชร์

ที่มาร์ชตัดสินใจรับเล่นละครเรื่องนี้เพราะอะไร

“ตอนแรกที่อ่านบทมามี้ที่รัก เรารู้สึกว่าเป็นละครน้ำดี นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ในมุมผู้ปกครอง มุมเด็กๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เขาแฝงวิธีการจัดการกับปัญหานั้น รู้สึกว่าอย่างน้อยเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง กับเด็กๆ ที่ดู เรื่องนี้จะสอนอะไรให้กับสังคมแน่นอน คาแรกเตอร์เราก็เป็นบทบาทที่ไม่เคยเล่นมาก่อน มีลูกที่โตมาประมาณ 5-6 ขวบ และเป็นไบเกอร์ด้วย ฉีกจากบทที่เราเคยเล่นมา”

ความยากของบทนี้อยู่ตรงไหน “ผมว่ามันที่ยากสุดคือการเรียนรู้ความเป็นพ่อ เจอลูกครั้งแรกตอนเขา 5 ขวบแล้ว เริ่มกลับเข้าไปในชีวิตลูก ต้องคอยปกป้อง ดูแลครอบครัว เรียนรู้ความเป็นพ่อเพิ่มขึ้นมา”

มันยากไหมที่เราจะต้องใส่จิตวิญญาณเป็นพ่อ “มันยากการเรียงลำดับมากกว่า เรื่องนี้ถ่ายหลายที่ ปัญหาโควิดและตอนถ่ายฉากโดดไปโดดมาเราจะต้องเรียงพัฒนาการตัวละครดีๆ บางทีถ่ายตอนจบก่อนค่อยมาถ่ายตอน 2 เพื่อให้ถ่ายทำง่ายเราต้องทำการบ้านดีๆ”

ก่อนเล่นเรื่องนี้ได้ดูหนังหรือดูใครเป็นแนวทางบ้างมั้ย “ดูครับ ดูซีรีส์เกาหลี ดูหนังฝรั่ง ดูว่าพ่อลูกความสัมพันธ์เป็นยังไง และดูชีวิตจริงด้วย นึกถึงสิ่งที่พ่อเราทำกับเราตอนเด็กๆ หรือเวลาไปบ้านเพื่อน เจอเพื่อน เจอพ่อแม่จัดการยังไงกับลูก เวลาลูกมาขอสิ่งนั้นสิ่งนี้”

กับดาราเด็กเรารู้สึกเหมือนพ่อลูกกันจริงๆ หรือเป็นเหมือนเพื่อนเล่นกันมากกว่า

“คือน้องแก้มใสเขามืออาชีพด้วย นอกจอเป็นพี่น้องที่เล่นกันในกอง พอแอ็กชันเข้าซีนเราคือแด๊ดดี้ของเขา คัตเสร็จเป็นพี่น้องกัน”

เรื่องนี้มาร์ชได้ร่วมงานมาร์กี้–ราศรี ด้วยเป็นยังไงบ้าง “เป็นการร่วมงานครั้งแรกครับ ก่อนหน้านี้เคยดูงานเขามาเรื่อยๆ แต่ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน เขาน่ารัก เฟรนด์ลี ไม่เหมือนที่เราคิดไว้ ทุกวันนี้คุยกับเขาได้ทุกเรื่องเลย มาร์กี้สำหรับเราคือเขาคือคนที่เราคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ ชีวิต เรื่องรถ”

ตอนแรกที่มองมาร์กี้คิดว่าเขาจะเป็นแบบไหน “เห็นเขาประมาณนึงในคลิปยูทูบ แต่ว่ามันเป็นเคมีคนมากกว่าเหมือนเราคุยภาษาเดียวกัน ทิศทางเดียวกันเลยจูนเข้าหากันง่าย”

ตอนแรกมาร์ชเกร็งๆ มาร์กี้อยู่เหมือนกันใช่มั้ย “แรกๆเกร็งครับ แต่หลังๆเจอกันบ่อยขึ้นกินข้าว เม้าท์ๆกันมากขึ้น เริ่มสนิทกัน สบายใจ ไม่เกร็งแล้ว”

มาร์กี้บอกว่ามาร์ชเป็นสายเอ็นเด็กๆ ในกองจริงมั้ย “(หัวเราะ) สายเอ็นเหรอ ใช่ๆ เจอเด็กๆก็ไปเล่นๆกับเขา เด็กๆพลังงานสูงมาก คือถ้าถ่ายเฉพาะบ้านเรามีลูกเราคนเดียวมันเป็นคนเล่นกับลูก แต่วันไหนไปถ่ายโรงเรียนอยู่ด้วยกัน 3 คนเมื่อไหร่ ผมจะถอยตัวเองออกมาเพราะว่าแรงสู้เด็กไม่ได้จริงๆ เลยไปเตรียมตัวบทของเราไป เด็กๆก็จะเล่นกันเองของเขา”

ทั้งๆที่เราเป็นสายบ้าพลังเหมือนกันนะ “แต่พลังงานเด็กมันแรงกว่าผู้ใหญ่เยอะอะ”

เรื่องนี้มาร์ชเป็นพระเอกเรื่องแรกกับทางช่อง 3 กดดันหรือตื่นเต้นมั้ย

“กดดัน ตื่นเต้น ทุกอย่างที่พูดมาเป็นหมดเลยครับ (หัวเราะ) แต่เราเปลี่ยนพลังตรงนี้มาเป็นแรงผลักมากกว่าในการเตรียมตัวให้มันดี มันเหมือนเขาให้เกียรติเรามาเล่นตรงนี้ เราก็อยากทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไม่อยากให้เขาต้องมาสะดุดหรือมาช้าเพราะเรา เราอยากถ่ายทอดคาแรกเตอร์นี้ตามที่เขาต้องการให้มากที่สุด พยายามคุยกับพี่ต่อ พี่เอิน ถ่ายไปแล้วอยากให้แก้ไขอะไรตรงไหน เราโชคดีที่เขาเปิดกว้างให้เราแชร์ความคิดเห็น ทำให้เราคลายความกดดันตรงนั้นไปด้วย”

บางคอมเมนต์จะแซวมาร์ชกับมาร์กี้จะดูเหมือนพี่น้องกันมากกว่าอ่านแล้วแอบนอยด์มั้ย “ผมไม่ได้รู้สึกตรงนั้น ต่อให้มาร์กี้เขามีลูกก็จริงแต่เขายังเป็นคุณแม่ที่มีความเป็นวัยรุ่นอยู่มากๆ เราไม่รู้สึกอะไร เรารู้สึกเป็นเจนเดียวกับเขา วัยเราใกล้กัน เราอยู่ในกองเหมือนเป็นเพื่อนกัน ไม่รู้สึกเขาโตกว่าหรือคนละเจน อายุโตกว่าเรานิดหน่อยผมก็ใช้วิธี ผมไม่ได้เรียกพี่มาตั้งแต่แรก เราเรียกเขาให้วัยเดียวกัน พออยู่ในละครจะไม่ได้รู้สึกเป็นคนละเจนกัน”

ไม่เรียกพี่ โดนแซวมั้ย เอ๊ะๆแอบปีนเกลียวรึเปล่า “กังวลนิดหน่อย ปิดไปแล้ว เราทำเพื่องาน ไม่ใช่คนไม่เคารพคน เราเรียกพี่ แต่เราเล่นเป็นผัวเมีย ถ้าเราไปเรียกพี่มันจะมีผลในละคร จริงๆ ทำเพื่อละครมากกว่า ถ่ายเสร็จปุ๊บจะกลับไปเรียกพี่เราก็ติดปากไปแล้ว เคยพูดกับเขาอยู่เหมือนกัน”

กี้มายังไงบ้าง เขาอยากให้เราเรียกพี่หรือไม่อยากให้เรียกพี่ “เขาไม่ได้ติดอะไรเลย เขาไม่เคยพูดหัวข้อนี้ขึ้นมา แต่เราก็แอบคิดจะเป็นการปีนเกลียวกับเขาหรือเปล่าที่เราไปเรียกเขาว่ามาร์กี้ ไม่ได้เรียกพี่ แต่ว่าพอเรารู้สึกว่าคงมีผลในแง่เข้าซีนด้วยกัน ตัดสินใจเงียบๆ ไม่ได้ขออนุญาต (มีความเนียน) สักพักเลยจุดขอไป กลายเป็นความเคยชินกันไปแล้ว”

ต้องเป็นไบเกอร์ ตอนขี่เข้าฉากรอดมั้ย

“ผมเคยขี่มอเตอร์ไซค์เป็นแต่มันคนละทักษะกัน ก็กังวลเลยไปเรียน มีเวอร์ชันมาร์กี้ต้องมาซ้อนอีก ยิ่งต้องกังวลเพราะเขามีลูกสอง ก็จะเป็นห่วง กลัวทำให้นักแสดงร่วมเดือดร้อน เลยต้องขอคิวไปเรียนเยอะมาก ลองขี่ซ้อมมีคนซ้อนในสนามแข่งกลัวทำเขาอันตราย พอผ่านซีนนี้ไปได้คือโล่งมาก”

ตอนขี่เข้าฉากตื่นเต้นมือไม้เย็นมั้ย “แรกๆ มันมีบางอันขี่โดยที่ยังไม่ได้ไปเรียน เหวอๆเหมือนกัน จริงๆไปเรียนรู้ว่าขี่มอเตอร์ไซค์ สนุกดี มีโอกาสขี่เขาใหญ่ลมเย็นๆ อ่อ เริ่มเข้าใจแล้วว่าขี่มอเตอร์ไซค์ไปทริปเขารู้สึกยังไง เริ่มเข้าใจพวกเขามากขึ้น จริงๆผมเคยฝังใจเพราะเคยมอเตอร์ไซค์ล้ม ทำให้ไม่ค่อยกล้าขี่เท่าไหร่ แล้วหม่าม้าก็ขอเอาไว้ด้วย เมื่อก่อนมีมอเตอร์ไซค์พอล้มนอน รพ.ก็ขายไปเลย ทำให้ไม่อยากขี่แค่เริ่มจับความสนุกที่เขาไปทริปกันได้”

ป๊ามีห้ามเรื่องขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนหม่าม้า “ไม่ค่อยๆ เขาเลี้ยงผมแบบชิลมาก ตอนนี้ทำอะไรเรื่องของมึง (หัวเราะ) ทำอะไรชีวิตตัวเองตัดสนใจเอง มีเป็นห่วงบ้าง เตือนบ้างอะไรที่เห็นว่าอันตราย”

ตอนนี้พระเอกค้ำคอ เราจะต้องคีพลุครักษาภาพลักษณ์อะไรด้วยมั้ย

“(หัวเราะ) คำนี้ใช้กับผมไม่ค่อยได้เลยครับ ผมเป็นคนไม่รู้สึกจะต้องมีลุคอะไรแบบนี้ คือถ้าใครเจอผมตามงาน ตามยูทูบรู้อยู่แล้วผมเป็นแบบไหน เราแฮปปี้ที่จะเป็นตัวเราเอง จะดีดกว่านี้หน่อยเพราะเราจะต้องทำรายการ คือ ผมเอง ถ้าเราถ่ายละคร 2 เรื่องพร้อมกัน 3 วันเป็นคนนี้ อีก 4 วันเป็นคนนี้ พอวันหยุดจากถ่ายละครทำไมผมไม่อยากเป็นใครแล้ว ผมอยากเป็นมาร์ชแล้ว ผมจะไม่ค่อยคีพลุคในวันหยุดของผมเท่าไหร่”

จริงๆตัวตนของเราเป็นแบบไหน ดื้อๆซนๆมั้ย “จริงๆผมเป็นคนไม่ชอบอะไรเครียดๆ เป็นคนแฮปปี้ ชอบคุยไปเรื่อย ชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ แต่ว่าพอโตมาเป็นตามวัย เด็กๆเอนเนอจี้เยอะกว่านี้ ชอบเล่นสนุก ติดเฮฮา แต่โตมามีเรื่องให้คิดเยอะ มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบเยอะขึ้น บางทีเราออกกองถ่าย วันแรก 10 ปีก่อน เราไม่ได้มองเป็นงาน เป็นวิชาชีพ แต่วันนี้เรามองมันคืออาชีพที่เราเลือกแล้ว เรามีแพชชันให้กับมัน เราอยากทำมันให้ดี ด้วยการเรียนรู้ด้วยวัยแต่พื้นฐานเฮฮาไม่ชอบอะไรเครียดๆ”

ความรักตอนนี้เป็นยังไงบ้างโสดไม่โสด

“โอเคครับ ก็มีคนคุย ศึกษากับคนคนนึงอยู่ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เรื่อยๆ”

คนนอกวงการเหมือนเดิมมั้ย “ใช่ครับ คนนอกวงการ”

ความรักที่ผ่านมาเลยทำให้เราค่อยๆ เป็นค่อยๆไปหรือเปล่า “เอาจริงๆ เด็กๆผมจะเป็นคนใจร้อนเรื่องแบบนี้ อย่างที่บอกทุกครั้งมีสิ่งดีหมดถ้าเราจบความสัมพันธ์นี้ไป เราเรียนรู้กับมันว่า เราทำไม่ได้ตรงนี้ ครั้งต่อไปเราจะไม่ทำสิ่งที่เราทำไปมันไม่ทำ จนวันนี้เรียนรู้จุดนึง วันนี้เราเป็นมาร์ชเวอร์ชันอายุ 29 ที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มา ยังต้องเรียนรู้ต่อๆไปกับเรื่องนี้อยู่ดี ไม่มีวันจบสิ้น บางคนอายุ 40 ยังทะเลาะกับแฟน ปรับความเข้าใจกันใหม่ ยิ่งคนสองคนไม่มีวันลงรอยทุกวัน มันต้องมีเหตุการณ์ต่างๆ พิสูจน์กัน เรียนรู้กัน เราใจเย็นกับมันมากขึ้น เรารู้แล้วเปลี่ยนจากเด็กๆ ยังไง”

ตอนนี้คิดจะเปิดตัวมั้ย “ไม่ได้ปิดนะครับ แต่เปิดตัวมันเป็นเหมือนคนสองคนจะต้องแฮปปี้ เราสบายใจเปิดตัวนะ ถ้าเขายังอยากเก็บความเป็นส่วนตัวอยู่เราก็ต้องหาทางที่มันพอดีกัน เขาแฮปปี้ เราแฮปปี้ ทุกวันนี้เราไม่ถึงขึ้นปิดซ่อน ไปไหนมาไหนด้วยกัน”

จะไม่ค่อยเห็นโพสต์รูปคู่ในไอจีสักเท่าไหร่

“ใช่ๆ เพราะเขายังไม่ให้ลงขนาดนั้น”

ครั้งนี้ที่เราไม่เปิดไม่ปิดเป็นเพราะคนคุยด้วยเขาไม่อยากอยู่ในสปอตไลต์กับเราด้วยหรือเปล่า “จริงๆผมเป็นคนจับความรู้สึกของอีกคนเสมอถ้าถึงจุดโอเค เขาพร้อมผมคงสบายใจที่จะลงเหมือนกันแต่ตอนนี้อาจจะยัง ยังไม่ถึงเวลาด้วยครับ”

คบมานานหรือยัง “คบกันมาประมาณครึ่งปี รุ่นๆ เดียวกัน ใกล้ๆกัน”

ใครโตกว่า “จริงๆผมโตกว่าประมาณปีนึง”

ความเป็นมาร์ช–จุฑาวุฒิ ทำให้เขากลัวเรามั้ยที่เราเข้าไปหาเขา “(หัวเราะ) มีผลมั้ยก็มีครับ ผมว่าแล้วแต่คน แต่บางคนจะรู้สึกเราทำงานตรงนี้เจอคนเยอะ เราแบบ มันเป็นความกังวลประสาผู้หญิงที่เขารู้สึก มันก็ได้แต่พิสูจน์ตัวเอง เขามีสิทธิ์ที่จะคิด เราก็มีสิทธิ์พิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน”

อะไรของเขาที่ชนะใจเรา “สบายใจมั้ง มันเป็นความรู้สึกสบายใจ โอเค คุยกันได้ คุยกันได้ทุกเรื่อง”

ครึ่งปีที่คบกันมีถกเถียงมีทะเลาะกันบ้างมั้ย “มีอยู่แล้วเป็นปกติ มีบ้าง แต่ว่าอะไรที่ทะเลาะกัน เรามีเป้าหมายที่ให้ความสัมพันธ์ไปต่อได้มันก็ต้องช่วยกันในทิศทางเดียวกัน จะทะเลาะกันไม่นาน”

แฟนคนนี้พาไปแนะนำกับป๊าหรือยัง “มีเจอๆแล้วครับ แต่อย่างที่บอกปะป๊าชิลไม่ค่อยอะไร ให้ผมตัดสินใจเอง”.

เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยาน

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/novel/news/2380757
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/novel/news/2380757