เอก รังสิโรจน์ พระเอกนักบู๊นั่งแท่นผู้กำกับ กว่าจะมีวันนี้โดนด่ามาเยอะ


ให้คะแนน


แชร์

เอก รังสิโรจน์ ได้เปิดใจเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเอง จากจุดเริ่มต้นการเป็นพระเอกนักบู๊มาเป็นผู้กำกับละครให้ได้ฟัง ซึ่งบอกเลยว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ เจ้าตัวต้องเจอคำดูถูกสารพัด และคำด่าของครูผู้มีพระคุณอย่าง อาฉลอง ภักดีวิจิตร 

จากนักแสดงที่ไม่มีพื้นฐานการเล่นละคร จนได้มาเป็นผู้กำกับละคร คิดว่าตัวเองมาไกลมั้ย? 

ผมเข้าวงการปี 2548 ก็ประมาณ 17 ปี แต่ถ้าเข้าวงการก็เล่นทวิภพ หนังใหญ่ก็จะเป็น 18 ปี จากที่ไม่ได้มีความสนใจเลย ผมเป็นนักดนตรีที่เล่นดรตรีกลางคืนในผับ ไม่ได้สนใจทางนี้เลย ก็ถือว่ามาไกลมาก มีคนเคยพูดว่า ทุกคนไม่ได้เกิดมาเป็นดารากันได้ทั้งหมดหรอก

เอ็งมันถูกสร้างให้เป็นนักดนตรี ลองสร้างให้ดารามาเป็นนักดนตรีอย่างเอ็ง เขาก็ทำไม่ได้ เขาก็จะพูดอ้อมๆ ว่า ผมอ่ะเป็นดาราไม่ได้หรอก เขาพูดขนาดนั้นเลยนะ นั่นคือการเล่นละครเรื่องแรกของผม 

คงอยากจะให้ผมกลับบ้านไปเถอะ เล่นไม่ได้เรื่องเลย เขาพูดถึงขนาดนั้นนะ ผมก็จำไม่ได้ว่าพูดหรือว่าแค่คิดว่าถ้าเกิดผมตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ผมไม่ได้ทำทุกอย่างแต่ถ้าตัดสินใจแล้วผมจะทำให้มันสำเร็จให้ได้ 

ก็เลยมีความคิดในวันนั้นว่าจะต้องทำงานแสดงให้ได้เหมือนกับที่เล่นดนตรี สู้ไม่ถอย เพราะการเล่นดนตรีของผมคือนักดนตรีมืออาชีพ ขึ้นเวทีร้องเพลงไม่มีความกังวล ปล่อยอารมณ์ไปตามเพลง 

พอต้องมาเป็นนักแสดงก็ดูว่าตัวเองนั้นเป็นนักแสดงเลเวลไหนของความเป็นมืออาชีพ ซึ่งมันคือติดลบ ก็ถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรจากติดลบให้ขึ้นมาให้ได้ 

พอเรารู้ว่าการจะเป็นดารามืออีพได้ จะต้องทำงานอย่างมีความสุข ทำให้เป็นงานที่มีความสุข ไม่ใช่ความเครียด มันไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ต้องตั้งใจทำมากๆ ให้มันเป็นการตั้งใจทำงานแบบของมันเอง พอทำได้แบบที่เราตั้งใจ มันก็ทำขึ้นมาเป็นนักแสดงที่ทำงานอย่างมีความสุขได้ 

ผมจะบอกกับตัวเองว่า เราจะตั้งใจทำงานแบบเต็มร้อยไม่ได้ เพราะเริ่มต้นอาชีพนี้ตอนที่อายุมากแล้ว เป็นพระเอกในวัยใกล้จะ 30 จะมาทำเต็มร้อยไม่ได้ ต้อง 200 ทุกวัน เพื่อก้าวกระโดดให้ทันคนอื่นเขา 

พอมันผ่านการทำงานแบบตั้งใจในทุกๆ วันก็เริ่มรัก สนุกกับงานตรงนี้ จากที่ไม่รู้สึกอะไรเลย แค่อยากทำเพราะลบคำสบประมาทคนอื่น ที่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วก็ต้องทำให้ได้ 

จากที่ต้องทำให้ได้ พอทำได้ก็มีความสุข มีความสนุก ก็พัฒนาตัวเองต่อมา จนไม่หยุดที่จะเรียนรู้ที่จะพัฒนาต่อ ก็เลยมาเป็นงานเบื้องหลัง ก็ศึกษา เก็บเกี่ยวมาเรื่อยๆ จากคุณอาฉลอง 

อยากจะบอกว่าคุณอาไม่ได้จับมือสอน แต่สิ่งที่คุณอาทำมันมีคุณค่ากับเราเหลือเกินเพราะคุณอาได้ทำให้เห็นเลย เป็นโชคเป็นบุญของเราที่ได้มาอยู่ตรงนี้เป็นสิบปีกับคุณอา

เป็นสิบปีที่เป็นประโยชน์มากหาจากตำราจากที่ไหนไม่ได้ เวลาที่คุณอาด่าจะมีปริศนาซ่อนอยู่ในนั้น ถ้าเราเก็บมันเอามาคิดได้ ก็จะได้ข้อคิดแนวคิดจากมันมา 

จากที่ไม่เคยสนุก รักในการแสดงละคร เริ่มสนุกและรักอาชีพนี้ตอนไหน? 

ตอนปี 2550 เล่นละครเรื่องชุมแพ หลังจากที่ผมได้ละครเรื่องแรก 2 ปีผ่านไป แต่เป็น 2 ปีที่ผมเครียดทุกวันนะ ขึ้นรถไปก็ด่าตัวเอง ว่าทำไมไม่เล่นแบบนี้ ทำไมเล่นอย่างนั้น ขึ้นไปทะเลาะกับตัวเองบนรถทุกวัน เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่ดีเลย กลับไปเครียดต่อว่าตัวเองเล่นไม่ดี

และผมต้องวิ่งไปดูมอนิเตอร์ตลอดเพื่อไปให้ทันตอนที่เขาเช็กเทปเพื่อไปดูตัวเองเวลาเล่น ผมทำทุกวัน บางวันวิ่งไป ตากล้องตะโกนบอกว่าไม่ต้องไป เทค แต่ผมก็บอกว่าเทคผมก็จะดู เพื่อพัฒนาในเทคต่อไปว่าตัวเองผิดอะไร ไม่ดีตรงไหน ต้องวิ่งไปดูที่มอนิเตอร์

จนได้ฉายาเจ้าชายมอนิเตอร์ วิ่งปรู๊ดไปดูเพื่อแทรกตัวไปดูมอนิเตอร์กับอาฉลอง แล้วบางทีแกก็จะพูด เราก็จะเก็บเอาสิ่งที่อาบอกมาแก้ใหม่ 

พอได้ขึ้นเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของช่องในตอนนั้น พระเอกนักบู๊ต้อง เอก รังสิโรจน์ รู้สึกอย่างไร? 

มันเหมือนเรายกก้อนหินออกจากตัวเราเลย หลังจากที่แบกมันไว้ตลอด 2-3 ปีที่ได้เข้ามาทำงาน เช้าๆ มีความสุขมากในการขับรถไปกอง มันมีความรู้สึกว่าเหมือนมีฟิล์มบางๆ ที่กั้นเราไว้พอเราทะลุมันไปได้แล้ว เหมือนตัวเองจะทำอะไรก็ได้ในโลกของการแสดง

ฉากนี้อ่านปุ๊บเห็นทางสว่าง จะเล่นยังไง จะทำอย่างไรกับซีนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะหยุดเรียนรู้ เพราะในทุกวันก็จะเจอดาราที่เก่งๆ อยู่เสมอ ก็เข้าไปคุยขอวิชา ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ก็พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ในเมื่อเราได้มาระดับหนึ่งแล้ว เราก็เสริมเพิ่มเติมใส่ตัวไม่หยุด ยิ่งเจอดารารุ่นใหญ่ๆ ผมจะชอบเขาไปคุยกับเขา 

จำตอนที่อาฉลองชมว่าเล่นดีได้มั้ย หรือคำพูดไหนปลดล็อกตัวพี่เอกเอง? 

ไม่มีหรอก (หัวเราะ) ตอนที่เล่นเสาร์ห้าด้วยกัน เพื่อนนักแสดงจะรู้ว่าผมโดนด่าหนักมาก ผมจะโดนมาตลอด วันไหนที่คุณอาชมไม่มี แต่ถ้าไม่ด่านั่นคือชม หรือเรียกใช้งานคือชม เราจะรู้กันว่าฝีมือเราเริ่มใช้ได้แล้ว 

มีครั้งหนึ่งที่ไปถ่ายทิวลิปทองที่เนเธอร์แลนด์ ผมกำลังเข้าฉากกับผู้ร้าย ก็เลยถามว่าจะต้องออกซ้ายหรือว่า อาก็บอกว่า ออกซ้ายดิ ดูบ้างจะเป็นผู้กำกับอยู่แล้ว คำนี้ทำให้ผมอึ้ง เงียบกันทั้งกอง ผมงงว่าใครจะเป็นผู้กำกับ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 4 ปีแล้วมั้ง เป็นคำพูดที่ประทับใจของผมมาตลอด พูดเหมือนด่าอ้อมๆ และผมจะจำคำพูดของคุณอาตลอด ถ้าเป็นความผิดผมจะไม่ทำอีก ไม่ทำซ้ำ จะจำ

มีชื่อเสียงถูกแฟนๆ ละครรุม จำความรู้สึกตอนนั้นได้มั้ย? 

ตอนอังกอร์ละครดังมาก แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักผมเท่าไร ที่โดนแฟนละครรุมเลย ตอนนั้นเล่นละครเรื่องที่ 2 ฝนเหนือ เล่นเป็นพระเอก ตั้งแต่วันนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไป

จากที่ตอนแรกเห็นคนอื่นโดนรุมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันมีความรู้สึกยังไง พอมาเรื่องที่ 2 ไปงานวัด โดนรุมตั้งแต่ลงรถ จากที่เคยเห็นแต่เพื่อนๆ โดนรุม วันนี้โดนแล้ว ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ตอนนั้นละครดังมาก ไปเข้าห้องน้ำก็มายืนรอเต็มไปหมดเลย 

วันที่โดนกรี๊ดหนักๆ วันแรก โทรหาพ่อ บอกพ่อว่าวันนี้มีคนมารุมเยอะมากเลยนะพ่อ กลายเป็นดาราดังไปแล้ว เป็นวันแรกที่โดนคนรุมจากที่เคยเห็นแต่ ยุ้ย จีรนันท์ โดนรุม วีรภาพ โดนแฟนคลับรุม เราได้แต่นั่งมองเพราะยังไม่มีชื่อเสียง พอโดนรุมก็โทรหาพ่อ จากที่โนเนมก็เริ่มมีชื่อเสียง 

จากนักแสดงมาเป็นผู้จัดละครแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?

หนักมากครับ (หัวเราะ) ถ้าจะนึกถึงคำแรกคือ มันสนุกมากในการที่เราออกไปทำงานในแต่ละวัน ผมเป็นคนที่อยู่กับกล้องได้ทั้งวัน อยากจะเรียนรู้เรื่องการถ่ายทำมานานแล้ว

พอได้มาทำงานตรงนี้ เหมือนช่างภาพออกไปถ่ายรูป มีความสุขกับการได้เห็นภาพ มีความสุขที่คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ภาพแบบนี้ เป็นโจทย์ที่เราทำการบ้านก่อนออกกองถ่าย ทำได้มั้ย ถ้าไม่ได้ต้องแก้ไขอย่างไร

มันเป็นความสนุกผสมกับงานหนัก แต่ความสนุกในการทำงานก็ทำให้เราลืมความหนักและเหนื่อยไป ทำงานทุกวันก็สนุกทุกวัน ตั้งแต่เริ่มเขียนบทให้ตัวละครมีชีวิตเป็นความสุขอีกแบบ ทำให้เราทำงานได้ทุกวันอย่างราบรื่น 

และทีมงานก็ทำงานกันด้วยหัวใจ ทุกคนอยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ได้วางตัวว่าเราเป็นเจ้านาย ก็ทำให้งานยากๆ ออกมาได้ง่าย 

ทำงานเบื้องหน้าอยู่กี่ปีถึงมีความพร้อมว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะมาเป็นผู้จัดละคร? 

คร่าวๆ นะ ก็ประมาณ 18 ปี (ยิ้ม) ผมก็ได้ประสบการณ์จากการทำงาน และครูพักลักจำจากการทำงานมาทำงานตรงนี้ เพราะเราไม่ได้ไปเรียนโดยตรงมา อาศัยการเรียนรู้ทุกๆ วันจากการทำงาน 

แต่เอาจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะมาเป็นผู้สร้างนะ เพราะจุดเริ่มต้นเป็นคนที่ไม่มีพื้นฐานทางการแสดงเลย ซึ่งต้องขอบคุณคุณอาฉลอง ภักดีวิจิตร ศิลปินแห่งชาติ ที่ให้โอกาสกับผม 

เรียกว่าผมไม่มีแววเลยในการเป็นนักแสดงเลย ซึ่งอาจะต้องเหนื่อยกับผมมากที่จะต้องเข็นผม คือต้องบอกว่าน้องๆ หน้าใหม่ที่เข้ามาเขาพอแสดงละครเป็นกันบ้าง 

แต่สำหรับผมไม่เลย แข็งมาก แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณมากที่คุณอาฉลองยังสร้างผมขึ้นมา ยังยอมใช้เวลากับผม ยอมเทค คุณอาก็ปรับแก้ผมมา ซึ่งเป็นบุญคุณที่ผมต้องขอยกเอาไว้เลยที่คุณอาให้ความเป็นนักแสดงกับผม 

ผมก็เก็บประสบการณ์มาเรื่อบ จนเวลาผ่านมา 10-12 ปี ก็เริ่มสนใจที่จะเรียนรู้การทำงานเบื้องหลัง ผมสังเกตคุณอาฉลองว่าทำไมคุณอาถึงเป็นคนที่รู้ไปหมดเลย รู้เรื่องกล้อง สามารถที่จะยันกับตากล้องได้ 

คุณอาทำให้ผมรู้สึกอยากจะเป็นแบบคุณอา ก็เลยเรียนรู้จากคุณอา ผมก็เริ่มมีกล้อง เรียนรู้จากที่คุณอาทำให้ดู เรียนรู้ที่จะหาเสน่หจากภาพเคลื่อนไหวว่าทำอย่างไรเราถึงจะมีความสุขกับมันได้ จนพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ

ตอนที่มาบอกกับช่อง 7 ว่าจะขอเป็นผู้จัดละครสักเรื่อง ตอนนั้นกลัวมั้ย? 

กลัว เพราะว่าผมไม่มีแววที่อยากจะเป็น หรือมีข่าวว่าผมไปเป็นผู้ช่วยเรียนรู้งานอยู่นะ ก็กลัวว่าช่องจะไว้วางใจเราหรือเปล่า

แต่ก็ได้โอกาสจากค่ายโคลีเซียม คุณพรพิมลให้โอกาสให้บันไดก้าวแรกกับผม กำกับละครเรื่องคนเหนือคน ผลงานเรื่องนั้นผมก็เขียนขึ้นมาด้วย ก็ประทับใจมาก ก็พยายามทำเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้เพราะความตั้งใจของเรา ก็ทำเต็มที่จะมาถึงเรื่องหุบพญาเสือ เริ่มตั้งแต่คิดโปรเจคละครว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหมือนเรื่องที่แล้ว และแฟนคลับขอมาว่าอยากจะดูละครพีเรียดและเป็นแนวคงกระพัน ก็เลยเขียนเรื่องหุบพญาเสือขึ้นมา

ถนัดละครบู๊อย่างเดียว หรืออยากจะลองหลายๆ แนว? 

เรื่องหุบพญาเสือแม้จะเป็นบู๊ แต่เรามีดราม่า แต่มันมีทุกๆ อารมณ์ในเรื่องนะ มีความรักกุ๊กกิ๊ก ตลกคอมเมดี้ มีดราม่าแบบจัดหนัก แต่ถ้าจะเปลี่ยนแนวไปเลย ขอทำการบ้านเพิ่มอีกหน่อยก็น่าจะได้ 

สำหรับหุบพญาเสือที่บอกว่ามีครบทุกแนว บู๊ ดราม่า รักกุ๊กกิ๊ก ตลก ซึ่งในพาร์ทตลกได้ตลกรุ่นครูอย่าง อาเด๋อ ดอกสะเดา มาเล่นให้ เล่นไม่กั๊กเลย เวลาเข้าฉากกันครบ 3 คนมันคือเป็นอะไรที่สุดยอดมาก 

หุบพญาเสือ น่าดูอย่างไรบ้าง? 

จุดขายคือเนื้อเรื่องที่เราไม่อาจจะคาดเดาได้ มันพลิกไปจนเราเดาทางไม่ออก นักแสดงชอบบ่นเวลามาโปรโมตจะอึดอัดเพราะพูดไม่ได้ (ยิ้ม) เดี๋ยวคนดูด่าเรามาบอกทำไมจะไปรอลุ้น (หัวเราะ) คนดูจะได้ค้นหาปริศนาของเรื่องราวที่มันคาดเดาไม่ได้ตั้งแต่แรกจนถึงตอนจบ

ความยากของการทำละครเรื่องนี้คืออะไร? 

อุปกรณ์พิเศษของเรื่องนี้คือม้าครับ ใช้ม้าค่อนข้างเยอะ นักแสดงต้องขี่จริง ซึ่งมันต้องเสี่ยง และรถโบราณที่เราต้องชุบชีวิตขึ้นมา การขนย้ายก็ยาก และเรื่องฉากที่ค่อนข้างยากสำหรับละครเรื่องนี้

นักแสดงของละครเรื่องนี้ ในมุมของผู้กำกับรู้สึกอย่างไรบ้าง? 

ต้องขอบคุณทางสถานีมากๆ ที่ส่งนักแสดงชุดนี้มา เราสบายใจมาก คุณภาพทุกคน ทำให้ตัวละครสมบูรณ์มากขึ้น อย่าง น้ำ รพีภัทร ก็สามารถตีบทได้แตกแทบไม่ต้องแตะอะไรเลย 

ส่วน อ๊อฟ ชนะพล เขาก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานสูงมาก ยิ่งดราม่ายิ่งเก่ง ก็ยิ่งเหมาะกับละครเรื่องหุบพญาเสือ ส่วน เกรซ พัชร์สิตา เป็นนักบู๊ได้เพราะมีหัวใจที่เป็นนางเอกสูงมาก คนที่จะเป็นนางเอกหรือพระเอกต้องเก่งและต้องมีสัญชาตญาณในการแสดงสูงมาก เรียกว่าเขามีสมาธิดีมากๆ ผมประทับใจมาก

นักแสดงอีกคนที่ผมอยากจะขอพูดถึงคือ กิ๊บ สุพัชชา น้องเล่นมาหลายเรื่องแล้ว อยากจะชมน้องมาก ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปีที่ผมอยู่ในวงการนี้มา น้องมีความหลงใหล มีความรักในงานแสดงที่สูงมาก

หลายๆ ครั้งที่ผมเทค ไม่ใช่เพราะเขานะ แต่เป็นเพราะคนอื่น และน้องจะเล่นเหมือนกันเป๊ะทุกครั้ง เหมือนเพลย์เทปเดิม มันยากมากที่จะคอนตินิวอารมณ์ตัวเองให้มันต่อเนื่องเข้ากันตลอด

เขามีสมาธิและมีความตั้งใจสูงมาก ผมขอชมเชย อยากให้น้องเก็บและรักษาความตั้งใจนี้เอาไว้ เป็นนักแสดงที่ผมตั้งใจมาก และมี โน้ต วิบูลย์ ที่เราเป็นเพื่อนนักแสดงที่รู้ใจกันมาตั้งแต่เล่นเสาร์ห้าด้วยกันแล้ว 

การทำละครบู๊มันยากจริงๆ มั้ย พอได้มาเป็นผู้กำกับ ไม่ใช่นักแสดง? 

มันก็ยากจริงๆ แหละ แต่ผมเคยเล่นละครดราม่า ซึ่งมันก็หนักไปคนละอย่าง ถ้าไม่ใช่ละครบู๊จะมีซีนเยอะ โลเกชั่นเยอะ แต่พอเป็นหนังบู๊โลเกชั่นไม่เยอะ จะแตกต่างกัน ยากกันคนละแนว ละครรักบทจะต้องกินใจ 

แต่ละครบู๊ต้องคาดเดาแฟนๆ ว่าจะบู๊ถูกใจแฟนละครมั้ย มากก็ไม่ดี น้อยไปแฟนละครก็เหงาอีก ก็ต้องจัดสรรให้ดี มันมีความยากกันคนละแบบ 

มีความกดดันมั้ย เพราะเรื่องแรกทำไว้ได้ดีมาก? 

ไม่ค่อยกดดันครับ เพราะไม่ค่อยได้คิดถึงความกดดัน โลกเปลี่ยนไป ทำให้มันเต็มที่ผลออกมาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ห่วง แต่ถ้าทำไม่สุดก็จะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองปล่อย

พอมาดูงานมันไม่เต็มร้อย ก็จะรู้สึกเจ็บใจ ก็พยายามทำงานให้เต็มร้อยทุกวัน ผลออกมาจะเป็นอย่างไรก็จะไม่โทษตัวเอง ไม่เจ็บใจ ไม่รู้สึกเสียดาย ความสำเร็จในเรื่องที่แล้วผมก็เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจ ไม่เอามาสร้างเป็นความกดดันให้ตัวเอง

จะมีโอกาสกลับมาเล่นละครอีกมั้ย หรือจะเป็นผู้กำกับเต็มตัวแล้ว? 

เป็นเรื่องของเวลา เพราะตอนนี้ผมยังเต็มร้อยกับการทำตรงนี้อยู่ วันหยุดก็ต้องเตรียมการบ้านในการทำงาน อะไรเสียก็ต้องซ่อม ประชุม ไปดูโลเกชั่น

ผมเลยไม่ค่อยมีเวลาไปไหน ขอกำกับอีกสักเรื่อง 2 เรื่อง จัดการระบบงานของตัวเองได้ ก็อาจจะได้กลับมาเล่นละครให้แฟนๆ ดูอีกครั้ง 

กลับมาอีกครั้งก็จะเล่นแนวบู๊เหมือนเดิมมั้ย? 

มันเหมือนเราเป็นขุนศึกที่มีดาบคู่ใจ จะไปรบก็ต้องเอาดาบเหล็กไปด้วย เพราะฉะนั้นการเล่นบู๊ก็เป็นความมั่นใจของเราว่าทำเล่นบู๊เราทะลุทะลวง ออกรบด้วยความมั่นใจ (ยิ้ม) แต่แนวอื่นก็มั่นใจว่าทำได้ ถ้าทางสถานีให้โอกาส

ฝากละครหุบพญาเสือ เข้มข้นใกล้ตอนจบแล้ว? 

สำหรับละครเรื่องหุบพญาเสือ เราได้นักแสดงที่เก่งมากๆ และทีมงานที่มีความตั้งใจในการทำงาน เลยทำให้หุบพญาเสือฝ่าฟันมาจนใกล้จะถึงตอนจบแล้ว เรื่องราวกำลังสนุกเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยากให้ติดตามกันนะครับว่าบทสรุปของตัวละครจะเป็นอย่างไร 

และผมก็อยากจะขอบคุณผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่ให้โปรเจกต์นี้ผมผ่านมาได้ และอาฉลองที่ให้โอกาสผมได้เข้ามาเป็นนักแสดงและให้วิชากับผมมา ขอบคุณช่อง 7 ที่ให้ความไว้วางใจผม เป็นพระคุณที่ชั่วชีวิตก็ตอบแทนไม่หมด ก็อยู่รับใช้กันไปยาวๆ ครับ (ยิ้ม) 

ฝากแฟนๆ ที่เคยดูละครบู๊ของผมมา เรื่องหุบพญาเสือผมตั้งใจเต็มที่ นึกถึงแต่ประชาชนว่าเขาจะสนุกกับผม เหมือนที่เคยดูผลงานของผมที่เคยเล่นมา หวังว่าจะได้อยู่สร้างความสุขให้ประชาชนตลอดไป.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2384211
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2384211