แจม ชรัฐฐา รับวิวาห์ล่มทั้งที่อีก 2 เดือนจะแต่ง สุดทางยื้อใจขอยอมปล่อยเอง


ให้คะแนน


แชร์

กระทั่งวันนี้ แจม ก็ได้ออกมายอมรับตรงๆ ว่า งานวิวาห์ได้ล่มแล้ว ส่วนสาเหตุมาจากไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แม้จะพยายามปรับ แต่สุดท้ายก็ทำให้ทุกข์ใจ จึงเป็นฝ่ายที่ยอมถอยออกมาเอง 

สถานะตอนนี้?

“โสดค่ะ 100%”

มันเกิดอะไรขึ้น?

“มันค่อนข้างกะทันหัน หลายๆ คนอาจจะตกใจ จริงๆ แจมเริ่มไล่บอกเพื่อน บอกแขกแล้วว่าอีก 2 เดือนเราจะแต่งงาน เราคบกันมานาน 7 ปี แต่ว่ามันมีหลายๆ อย่างที่พอ 7 ปีผ่านไปมันไม่เหมือนปีแรกๆ ที่เรารู้จักกัน

พอเราเริ่มรู้จักกันดีมากขึ้น ก็เริ่มเห็นว่ามีหลายๆ อย่างที่มันไม่ตรงกันในหลายๆ เรื่อง โดยรวมก็เป็นเรื่องของทัศนคติในการคิด การพูด หรือว่าการใช้ชีวิต การเรียงลำดับความสำคัญในการใช้ชีวิตมันไม่ตรงกันเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็ตัวแจมเอง อาจจะเป็นตัวเราด้วยที่เราเติบโตขึ้นและเรามีมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปที่มันมากขึ้น

แล้ว 2-3 ปีมานี้พยายามที่จะปรับทุกอย่างเข้าหากัน โดยที่ตัวเราพยายามปรับทุกอย่างเข้าหาเค้า แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ใจ และแจมคิดว่าการที่เราจะแต่งงานกันหรือใช้ชีวิตร่วมกันมันอาจจะดึงให้เราเข้ามาใกล้กันขึ้น แต่พอเราได้ใช้ชีวิต ได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น เราเห็นว่าไม่สามารถเข้ากันได้ คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องว่าเรารัก ไม่ได้รัก หรือหมดรัก แจมยังรักเค้าอยู่ แล้วก็ยังหวังดี (เสียงสั่น)”

ช่วงไหนที่ตัดสินใจว่าหยุดดีกว่า?

“จริงๆ แล้วเราเป็นคู่รักที่ไม่ได้เข้ากันเลยในเรื่องของไลฟ์สไตล์หรืออะไร แต่ว่ามันเหมือนอยู่ได้ด้วยความรัก แต่ว่าพอเราใกล้การแต่งงานสิ่งที่เราคิดมีมากขึ้น เราได้เรียนรู้ว่าการจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนตลอดชีวิตมันไม่ได้มีแค่รักอย่างเดียว”

ตัดสินใจบอกเค้านานหรือยัง?

“ก็จริงๆ เราคิดอยู่มาประมาณ 2-3 เดือนแล้วว่าเราควรจะต้องทำยังไง เราจะเดินต่อหรือเราจะหยุดแค่นี้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันทำร้ายจิตใจเราข้างในด้วย แล้วเราก็รู้ว่าเราไม่สามารถเป็นคนที่เติมเต็มให้เค้าได้แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์สมบูรณ์ เรารู้ตัวเราดีถ้าเราฝืนทำ เราก็ไม่ได้มีความสุขและเราจะเป็นทุกข์จากสิ่งๆ นั้น”

เราคิดเองหรือคุยกับคนรอบข้างหรือกับเค้า?

“อันนี้เราคิดของเราเอง แล้วเราก็พยายามที่จะบอกและปรับเข้าหากัน แต่ว่าพี่เค้าก็เป็นตัวของเค้า 100% สมบูรณ์ แล้วเค้าเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ว่าตัวเราเองที่ไม่ซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเอง คือแจมเป็นคนที่ (นิ่ง) คือเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เห็นคุณค่ากับความต้องการของตัวเองมากพอ

แล้วพอมันใกล้ถึงเวลามันยาวนานมา 7 ปี จนสุดท้ายแล้วเรารู้ว่าเราไม่สามารถฝืนมันได้ ถามว่าเรื่องความรักที่เรามีให้เรามี 100% แต่ว่าอย่างที่บอกค่ะเรื่องของความรักกับการใช้ชีวิต คือชีวิตคู่มันต้องมีเรื่องของไม่ใช่แค่แฟนกัน คบกัน เธอรักฉัน ฉันรักเธอ มันมีแค่นั้น

แต่พอเราจะแต่งงานมันเป็นเรื่องของไดเร็กชั่นของการใช้ชีวิต การเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตว่าเราให้ความสำคัญสิ่งไหนกับการใช้ชีวิตมากกว่ากัน”

แจมกลัวการมีครอบครัวเหรอ?

“ไม่ได้กลัวการมีครอบครัวค่ะ แต่แจมมองว่าการที่เราจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนที่เค้าจะมาเป็นสามีของเรา เราต้องมองไปในทิศทางเดียวกัน แล้วสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ที่เรารับรู้ ที่เราเห็นมันไม่ใช่ทิศทางเดียวกัน แล้วเราพยายามคุยแล้ว มันขัดแย้งมาโดยตลอด”

เรารู้สึกว่าเค้าไม่พยายามปรับเหมือนที่เราพยายามปรับ?

“สำหรับแจมคือพี่เค้าเป็นตัวของเค้าเองอยู่แล้ว เค้าไม่ใช่คนไม่ดีหรือว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรืออะไรเลย เค้ามีไดเรกชั่นมีทิศทางในการใช้ชีวิตของเค้าอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราพึ่งมาค้นพบเป็นจุดที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางของเรา

และเราพยายามคิดและปรับที่ตัวเราเองแล้วว่าเราจะเดินไปกับเค้าได้มั้ย แต่สุดท้ายเรารู้แล้วว่ามันฝืน มันควรจะมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ แต่มันไม่เป็นแบบนั้น มันก็เหมือนสร้างความทรมานให้กับคนสองคน แจมก็เลยรู้สึกว่า โอเคเราอาจจะต้องยอมรับความจริง สิ่งที่ทำให้มันเลยมานานขนาดนี้คือการที่แจมไม่ได้ยอมรับความจริง”

มันยื้อจนสุดทางจนหมดแพสชั่นไปแล้ว?

“(เสียงสั่น) จะบอกว่ายื้อก็ใช่ค่ะ ตัวแจมเองที่ยื้อความสัมพันธ์นี้ให้มันเนิ่นนาน เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น แต่ว่าพอถึงจุดๆ หนึ่ง เรารู้ว่าเรายอมรับความจริงว่ามันคืออะไร เราเข้ากันไม่ได้ ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน

แต่ว่ามันไปด้วยกันไม่ได้เลยถึงแม้ว่าเราจะรักกันขนาดไหน แจมก็เลยคิดว่าอยากจะยุติความสัมพันธ์นี้ลง เราต้องการให้พี่เค้าได้มีชีวิตในแบบที่ได้เจอคนที่สามารถไปกับเค้าได้ 100% ซึ่งคนคนนั้นเรารู้ว่าไม่ใช่เรา เราไม่อยากจะเห็นแก่ตัว แล้วก็ยื้อความสัมพันธ์นี้ต่อไป(ร้องไห้)”

เราต้องการปล่อยให้พี่เค้าเป็นอิสระ?

“ใช่ค่ะ เรารู้ว่าหลายๆ อย่างในตัวเราไม่ได้เป็นแบบที่เค้าต้องการได้ ซึ่งเราจะพูดแค่ว่าเรารักเค้าไม่ได้ คือ การที่เราจะรักใครสักคนหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น อนาคตที่ต้องใช้ร่วมกัน มันต้องรักโดยที่เราไม่ต้องพยายามอะไร นั่นคือความรักในอุดมคติของแจม แต่ในเมื่อมันต้องพยายามทุกๆ อย่าง มันทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ ถอยห่างออกไป 

ตัวเราเองยอมรับว่าช่วงหลังๆ มานี้ก็คือ มันเหมือนรักแบบถูกใจค่ะ เราก็ไม่อยากจะทำให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปค่ะ แล้วเราต้องการให้เค้ารับรู้ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถปรับได้เลยจริงๆ ค่ะ”

เลยตัดสินใจ?

“ค่ะ ก็คือมันเป็นสุดทางของเค้าแล้วเหมือนกันค่ะ เค้ายื่นมือมาหาเราได้เท่านี้ค่ะ ส่วนตัวเราเราสามารถยื่นไปได้ แต่ว่าเรารู้ตัวว่ามันไม่ได้มาจากความสบายใจทั้งหมด ก็เลยคิดว่ามันเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่มันท็อกซิกค่ะ มันไม่ใช่ความรักที่จะต่อยอดไปได้ไกลมากกว่านี้ค่ะ”

ครอบครัวว่ายังไงบ้าง?

“สำหรับครอบครัวก็เคารพความคิดเห็นของเรา เค้าก็ถามว่าคิดดีแล้วใช่มั้ย คือแจมทบทวนเรื่องนี้มานานมาก ตอนแรกไม่ได้บอกใครเลย เพราะเราไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นแค่สิ่งที่เราคิดไปเองรึเปล่า แต่มันก็ลากยาวมาเป็นปี แล้วก็มาคิดทบทวนหนักมากขึ้นช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ เลยต้องตัดสินใจที่จะหยุดอยู่ไว้เพียงแค่นี้ เพราะต้องการที่จะให้ความรักครั้งนี้มันหยุดอยู่แค่ภาพจำตรงนี้ ภาพที่เรามองเค้าว่าเป็นคนยังไง แล้วเราเป็นแบบไหน 

ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าแจมไม่รักเค้าเลย แจมขอบคุณเสมอที่เค้าเคยอยู่เคียงข้างแจม และซัพพอร์ตทุกสิ่งอย่าง และแจมขอโทษที่ไม่สามารถเป็นคนๆ นั้นให้เค้าได้ วันนี้แจมก็ยังเป็นห่วงเค้าอยู่ แต่แจมรู้ว่าถ้าเค้าได้เจอกับคนที่เค้ารัก และคนที่สามารถเข้ากับเค้าได้ทั้งหมด เค้าจะมีความสุขมากกว่านี้”

ชุดแต่งงานที่ตัดไว้แล้ว?

“ตอนนี้ชุดอยู่ฝรั่งเศส ตัดเสร็จเรียบร้อยกำลังเตรียมส่งกลับมา (หัวเราะ) ส่วนการ์ดแต่งงานตอนนี้ทำบัตรเชิญแบบอีการ์ดแล้วค่ะกำลังเตรียมส่งให้กับทุกๆ คน ก็คือสิ่งที่เสียดายไม่ใช่เรื่องของเวลาที่เราคบกันมานาน หรืองานแต่งงานที่เราอยากจะจัดค่ะ

สิ่งพวกนั้นไม่ได้สำคัญเลย แต่สิ่งที่แจมเสียใจคือเราพยายามไม่มากพอที่จะเป็นคนๆ นั้นของเค้าได้ เราไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่เราเป็น และเราไม่สามารถปรับเข้าหากันได้ค่ะ มันเลยทำให้เราเสียใจค่ะ แล้วก็สิ่งที่เราคาดหวังว่าเค้าจะเป็นเพื่อเรา หรือสิ่งที่เค้าคาดหวังว่าเราจะเป็นเพื่อเค้า มันไปด้วยกันไม่ได้เลย

ไม่ว่าเราจะพยายามปรับ พยายามคุยกันแค่ไหน สมมติว่าถ้าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เราควรจะเป็นคู่รักที่เห็นแก่ตัวไปด้วยกัน แต่ว่ามันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นมันเลยต้องหยุดค่ะ”

เหตุผลเรื่องครอบครัวแต่ละฝ่ายมีส่วนมั้ย?

“เหตุผลของครอบครัวไม่เกี่ยวเลยค่ะ ครอบครัวของพี่เค้าน่ารักมากๆ เค้ารักและเอ็นดูแจมตลอดเสมอมา ดีกับแจมมากๆ ซึ่งแจมก็รู้สึกเสียใจมากๆ ที่ทำให้ครอบครัวของเค้าผิดหวัง คุณแม่ของเค้าผิดหวัง แต่แจมคิดแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจเพื่อที่ทุกคนจะได้เดินหน้าต่อไปอย่างถูกต้องค่ะ”

คนรอบข้างหรือเพื่อนๆ ให้กำลังใจยังไง?

“เพื่อนก็เป็นห่วง เพราะเค้ารู้ว่าเราเป็นคนคิดมาก เพื่อนก็จะแวะเวียนมาหาไม่ขาดสาย (หัวเราะ) กลัวเราฟุ้งซ่าน แต่มันเป็นความโล่งใจที่เราไม่ได้ยินดีที่จะให้มันเกิดขึ้นค่ะ มันเป็นสิ่งที่รู้สึกว่า แจมตัดสินใจดีและตัดสินใจถูกที่สุดเท่าที่เราจะกลั่นกรองออกมาได้แล้ว

แต่ไม่ใช่ความยินดีที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น และ 7 ปีที่ผ่านมาเป็นความรู้สึกที่เราคงไม่ได้ทิ้งมันไปค่ะ เป็นความรู้สึกที่เราจะเก็บมันไว้ตลอด เพราะเราไม่ได้เกลียดเค้า ไม่ได้โกรธเค้า และแจมน้องขอบคุณที่เค้าเข้าใจและเคารพการตัดสินใจครั้งนี้ของแจมด้วยค่ะ พี่เค้าก็จะยังเป็นหนึ่งคนที่แจมจะยังรักอยู่เสมอค่ะ”

ยังไดัติดต่อเค้าอยู่มั้ย?

“ก็มีคุยกันบ้างค่ะ แต่สุดท้ายแล้วถ้าเราจะเลิกกัน เราก็ต้องตัดออกไปให้หมด เพื่อที่เค้าจะได้ก้าวเดินออกไปแล้วใช้ชีวิตในแบบที่เค้าต้องการได้ โดยที่เค้าไม่ต้องมายึดติดกับเราอีกต่อไป”

จะมีผลต่อการจะคบหาใครใหม่ในอนาคตมั้ย?

“เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นบทเรียนสอนแจมครั้งที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะเรารู้แล้วว่าถ้าในอนาคตจะมีใครเข้ามาในชีวิต เราคงต้องซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเองให้มากกว่านี้ เราไม่ควรที่จะปล่อยความรู้สึกของเราไป สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันพังลงเพราะว่าแจมไม่ได้รักตัวเองเลย

แจมไม่ได้เห็นความสำคัญในความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเอง ทำให้ทุกอย่างมันเกิดการสะสมจนมาถึงตอนนี้ แต่ถามว่าตอนนี้อยากจะคุยกับใครหรือเปิดใจอะไร ก็อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เราอยากจะคุยกับใครค่ะ ต้องการอยากจะอยู่กับตัวเองสักนิดนึงค่ะ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2386715
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2386715