5 ปีที่รอคอย เต้-ตี๋ คัมแบ็กคู่จิ้นเรือล่ม เหมือนปลดล็อกสิ่งที่ค้างในใจ


ให้คะแนน


แชร์

เรียกว่าทำแฟนคลับใจฟูอย่างมากกับการกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 5 ปี ของคู่จิ้นชื่อดังอย่าง เต้ ดาวิชญ์ กรีพลฤกษ์ กับ ตี๋ ธนพล จารุจิตรานนท์ ในซีรีส์เรื่องใหม่แกะกล่อง “ทริอาช” นิยายขายดีที่สุดอีกเรื่องของหมอแซม อิสรีย์ ขึ้นมาทำเป็นซีรีส์ตามคำเรียกร้อง พร้อมดึง ผกก. มะเดี่ยว ชูเกียรติ มาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจาก “พฤติการณ์ที่ตาย” ซีรีส์จากนิยายในจักรวาลเดียวกันเมื่อปี 63 กับการสร้างกระแสซีรีส์ Boys’ Love

“ทริอาช” คือ “ระบบการคัดแยกผู้ป่วยเพื่อจัดลำดับก่อนหลังของการรักษา” โดยบอกเล่าเรื่องราวของ หมอติณห์ แพทย์ประจำบ้านปี 3 ที่ทั้งเก่งและเข้มงวด วันหนึ่งเขาต้องเจอกับเคสนักศึกษาหนุ่มที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ พร้อมๆ กับลุงขับซาเล้งคู่กรณีที่อาการสาหัส ถือเป็นทริอาชสีแดงทั้งคู่

แต่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตทั้งสองคนเอาไว้ได้ หลังจากลงเวร หมอติณห์ กลับห้องพักแพทย์เพื่อพักผ่อน แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่า ชีวิตของเขาติดอยู่ในลูปเวลา พบเจอเหตุการณ์ซ้ำเดิม เจอเคสนักศึกษาหนุ่มและซาเล้งคนเดิม หนทางเดียวที่จะช่วยให้เขาหลุดออกจากลูปเวลาคือ การช่วยชีวิตนักศึกษาคนนั้นให้รอดจากความตาย

ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 หนุ่ม เต้ ดาวิชญ์ และ ตี๋ ธนพล ถึงการโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้งในซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งทั้งคู่บอกว่า งานนี้หินมาก ต้องทำการบ้านอย่างหนัก โดยเฉพาะหนุ่มเต้ ที่รับบทเป็น หมอติณห์ แพทย์ประจำบ้านปี 3

ซึ่งทั้ง เต้และตี๋ ยอมรับว่าบทที่ได้รับมีความกดดันเป็นที่สุด เพราะกลัวทำจะออกมาได้ไม่ดี แต่หลังจากที่ซีรีส์ออนแอร์แล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะได้รับคำชมจากคุณหมอตัวจริงว่าทำออกมาได้ดีมาก สมจริงเหมือนอยู่ในห้องฉุกเฉินกันจริงๆ และแฟนคลับต่างชื่นชม รอคอยการกลับมาของทั้งคู่

โปรเจกต์คู่จิ้นสุดหิน ต้อนรับการกลับมาในรอบ 5 ปี

เต้ “ก็รู้สึกคนเคยๆ กันแล้วเนอะ (หัวเราะ)”

ตี๋ “คนคุ้นเคย แต่ก็กลับมานั่งจูนใหม่เหมือนกัน”

เต้ “ในพาร์ทการแสดงถือว่าต้องมาจูนกันใหม่ อย่างแรกเลยคือบททั้งคู่ค่อนข้างฉีกจากคาแรกเตอร์ที่เคยเล่นมา จากประสบการณ์หลายๆ อย่างก็ค่อนข้างทำการบ้านหนักทั้งคู่ ด้วยเราก็โตกันไปตามกาลเวลาเนอะ คือพอเรากลับมาเจอกันอีกที แต่ละคนก็จะมีประสบการณ์ในเส้นทางของตัวเองมาแล้วกลับมาเจอกัน ในระหว่างที่ถ่ายทำก็มีการแชร์กันด้วย ซึ่งเราก็สัมผัสได้ว่าตัวตี๋ก็โตขึ้นด้วย”

เต้ “จริงๆ เรื่องนี้เราหนักคนละส่วนเนอะ ของเต้ต้องไปรับบทเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 3 คือเรียนแพทย์ 6 ปี ใช้ทุน 2 ปี แล้วต่อเฉพาะทางอีก 3 ปี คือประสบการณ์โดยรวมประมาณ 10 ปี เรากดดันมาก ด้วยเวลาไม่กี่เดือน เราจะสวมบทการเป็นแพทย์ห้องฉุกเฉินได้มากน้อยแค่ไหน เราจะทำให้คนเชื่อได้มั้ย หรือมีจุดผิดพลาดน้อยที่สุดได้ยังไง มันกดดันมากๆ เลยครับ”

ตี๋ “ต้องอาศัยการซ้อมอย่างหนักเนอะ กว่าจะได้ขนาดนี้”

เต้ “ใช่ครับๆ ตอนแรกก็กดดัน กังวล แต่พอเรามานั่งตั้งสติ ก็ด้วยเวลาเพียงเท่านี้เราต้องทำอะไรบ้าง เต้ก็ทำสิ่งที่เต้ต้องทำ โอเค เรามีศัพท์แพทย์ที่ต้องเข้าใจ ต้องท่องให้ได้ ไม่ใช่แค่พูดให้ได้ แต่เราต้องพูดยังไงให้เหมือนแพทย์เขาใช้จริงๆ ใช้ในชีวิตประจำวันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

แล้วก็เราต้องเข้าใจในการรักษามากๆ เข้าใจวิธีการจริงๆ เพราะว่าเต้มานั่งดูแล้ว ถ้าเราแค่จำ เราไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้เลย แล้วสิ่งสุดท้ายที่เต้ไฮไลต์ไว้เลย คือต้องเข้าใจมายเซ็ทหรือว่าแอทติจูดของแพทย์ห้องฉุกเฉินให้ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่มีแก่นตรงนี้ เราจะไม่มีเสาหลักยึดเลยว่าตัวละครนี้เขามีแอทติจูดในการใช้ชีวิตยังไง อันนี้ก็คือช่วงที่ตอนเต้ทำการบ้านครับ”

ตี๋ยอมรับว่าคาแรกเตอร์ที่ได้รับมันยากมาก ถึงขนาดที่รู้สึกผิดในตัวละครเลยก็ว่าได้ เพราะไม่เคยทำนิสัยแบบนี้กับใคร

ตี๋ “ของตี๋ก็จะยากในเรื่องของคาแรกเตอร์ครับ เพราะว่าที่ผ่านมา ตี๋ รับคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงกับตัวเอง หรือว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ตัวเองพอจะทำได้ บทที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษาที่ใกล้กับตัวเอง แล้วก็การพูดจา การแสดงออก ก็คือการสดใส ตรงไปตรงมา ขี้เล่น

แต่พอมาเป็น ต้อล ในเวอร์ชันนี้มันถูกอัปเกรดขึ้น มันเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่แค่ลูกคุณหนูธรรมดา แต่ว่าเป็นคุณหนูที่หยิ่งๆ แล้วก็ไม่แคร์ใคร ตี๋มองว่าการที่ไม่แคร์คนพูด โดยที่โผงผาง ไม่แคร์ความรู้สึกของคนเลย มันทำยังไง เพราะว่าอย่างตี๋เองไม่เคยทำอย่างนี้กับคนอื่นมาก่อน”

เต้ “ตี๋รู้สึกว่าการเป็นตัวต้อลมันรู้สึกผิด เลยเกิดการต่อต้าน”

ตี๋ “ใช่ครับ ก็คือรู้สึกผิดกับตัวละครในตอนแรก เรารู้สึกว่าทำไมเขาถึงพูดไม่ดี แต่เอาไปเอามาเราได้ทำความเข้าใจกับตัวละครแล้ว จริงๆ ตัวละครตัวนี้เขาถูกสปอยล์มาโดยตลอด แล้วเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำคือผิดหรือถูก แต่ว่าสิ่งที่เขาทำ ทุกคนโอเค เพื่อนๆ โอเค ครอบครัวโอเค คนรอบข้างโอเค เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาแสดงออกไป มันไม่มีผิดหรือถูก มันเป็นสิ่งที่ทุกคนโอเค เพราะฉะนั้นเราต้องมานั่งปรับแอทติจูดกับตัวเองใหม่ในการเข้าถึงตัวละครตัวนี้”

เต้ “ความท้าทายของทั้งคู่คือการเข้าไปในแอทติจูดของตัวละครที่ค่อนข้างเหมือนไม่ได้มีในใจมาก่อน แล้วก็ไปคุ้ย มันเหมือนทำให้เราเติบโต แล้วพอเราคุ้ยเจอ เลยทำให้เรารู้ว่าการที่เราเล่นเป็นตัวละครนั้นๆ ได้ มันก็เป็นประสบการณ์ที่วันหนึ่งเราอาจจะไปรับบทอื่นได้”

ตี๋ “ตัวของต้อลเอง คาแรกเตอร์ที่เขาแตกต่างจากตี๋เลยคือเป็นคนใจร้อน แล้วก็พูดจาห้วนๆ หยิ่งๆ ไม่ค่อยพูดเยอะ พูดน้อยต่อยหนัก แต่ตี๋เป็นคนขี้เล่น ชอบแกล้ง และเป็นคนใจเย็น มีอะไรก็ยอม แต่ต้อลมีอะไรไม่ยอมเด็ดขาด เราก็กว่าจะสวมบทบาท กว่าจะทำความเข้าใจก็ใช้เวลาพอสมควรอยู่ครับ 

ก็โชคดีที่เราได้มารับบทนี้ ทำให้เราเติบโตทางด้านการแสดงด้วย แล้วก็ได้ปลดล็อกตัวเองด้วย จากสิ่งที่เราไม่เคยทำ ก็ได้มาทำในเรื่องนี้ มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ครับ”

ต้องทุ่มเทอย่างมาก เวิร์กช็อปเป็นเดือนกว่าจะเริ่มถ่ายทำจริง

ตี๋ “เวิร์กช็อปใช้เวลาเป็นเดือนเลยครับ”

เต้ “ต้องบอกว่าการที่ได้มาร่วมงานกับทางทีวีธันเดอร์ อย่างเต้ เต้ได้ร่วมงานมาตั้งแต่เรื่องที่แล้วคือ ใส่รักป้ายสี แล้วมาถึงเรื่องนี้ เต้บอกเลยว่าทางทีวีธันเดอร์ให้ความสำคัญกับการเวิร์กช็อป การทำการบ้านที่จะเป็นตัวละครเยอะมากๆ ดีใจที่ได้มาร่วมงาน

แล้วรู้ว่าการที่จะเป็นตัวละครนั้นๆ ที่มันไม่ใช่ตัวเรา มันต้องใช้เวลา และใช้วินัยมากๆ เลย เขาเลยให้ความสำคัญกับการเวิร์กช็อป การทำการบ้าน แสดงเป็นอาชีพไหน ต้องไปเรียนเป็นอาชีพนั้น คลุกคลี ใช้เวลาอยู่กับมันก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำ เต้ว่าอันนี้เป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยครับ”

ตี๋ “ทีวีธันเดอร์ใส่ใจทุกขั้นตอนเลยครับ จริงๆ แล้วตั้งแต่เรารับบทเนอะ ก็มีการแคสติ้งเข้ามา ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะเป็นเต้กับตี๋เลย เราสองคนก็ได้มาแคสติ้งแล้วดูความเหมาะสมว่าเราสองคนจะได้รับบทบาทตัวนี้ได้มั้ย แล้วก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ทุกๆ ฝ่ายครับผม แล้วเขาก็ให้โอกาสเราสองคน อยากจะขอบคุณมากๆ ที่ให้โอกาสพวกเราในการมารับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ครับ”

เต้ “ตอนแรกผู้ใหญ่ก็แอบกังวลบอกว่ายากนะ ตอนนั้นเราก็เพิ่งผ่านเรื่อง ใส่รักป้ายสี มา คาแรกเตอร์มันก็ห่างจากตัวเราพอควร เราก็คิดว่าเราน่าจะเล่นได้นะ แต่พอได้มาอ่านบทเวิร์กช็อป ก็รู้เลยว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงกังวลว่าเราจะทำได้มั้ย มีทั้งเรื่องของวิชาชีพแพทย์และเรื่องของการย้อนเวลา ทฤษฎีของลูปเวลา ความแฟนตาซี มารวมกันเป็น 1 เรื่อง เลยเหมือนเราต้องถืออะไรหลายๆ อย่าง”

ตี๋ “ยิ่งวิชาชีพแพทย์มันสำคัญมาก เราต้องสวมบทบาทและให้เกียรติเขาด้วย มันเลยจะต้องเหมือนจริงและเรียลมากๆ”

เต้ “คือเต้ได้ไปสวมบทบาททางการแพทย์และชื่นชมบุคลากรมากๆ เลยนะครับ ก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องร่ำเรียนวิชามาได้นานขนาดนี้ มันเป็นการยื้อชีวิตของคนด้วย เกี่ยวกับความเป็นความตายด้วย แล้วก็ขั้นตอนในการรักษามันมีรายละเอียดเยอะมากๆ แม้กระทั่งแค่การ CPR มันก็มีหลักการหลายอย่าง”

เครียดและกังวล มีทุกอารมณ์กว่าจะมาเป็น “ทริอาช” 

เต้ “ผมกังวลมากๆ แต่เต้มองว่ามันเป็นข้อดีในข้อที่เรากังวลนะครับ มันทำให้เราไม่ประมาท คือตั้งแต่ตื่นมาจนถึงเข้านอน เต้จะมีเรื่องที่บอกกับตัวเองตลอดคือจะไม่ทำอะไรที่มองกลับมาแล้ว ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่น่าทำอย่างนี้เลย 

แต่เรื่อง ทริอาช พอวันที่ปิดกล้อง เต้รู้สึกโอเค เราไม่ติดค้างอะไรแล้ว ถ้าเกิดจะเกิดอะไรขึ้นเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว และความกังวลมันทำให้เราพยายามผิดพลาดให้น้อยที่สุด และมันทำให้เรามีวินัยกับมัน คือเราเริ่มจาก 0 แค่จับอุปกรณ์ยังมือสั่นเลย แล้วเราเอาอุปกรณ์มาฝึกจับทุกวันๆ จนมันเริ่มเข้ามือ เราก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น”

ตี๋ “กังวลมาก เครียดมากครับ โดยส่วนตัวตี๋เป็นคนที่จำอะไรยาก และด้วยความที่เราถ่ายทำเป็นระยะเวลาเดือนครึ่ง เราต้องปิดกล้องแล้ว ทุกอย่างคือพลาดไม่ได้ ทุกคนต้องทำงานเป๊ะมาก อย่างตี๋เองก็ได้รับบทบาทเต็มตัวครั้งแรกเหมือนกัน

เพราะที่ผ่านมาตี๋เล่นเป็นตัวสอง บทบาทก็จะไม่ได้เยอะ แต่คราวนี้เรามารับบทบาทที่เป็นตัวนำ มีน้ำหนักแบกเส้นเรื่องมากขึ้น และน้ำหนักเราเยอะขึ้น บทของเราก็จะมากขึ้น จากที่แบบปกติตี๋ถ่ายครึ่งวัน มาตอนนี้ตี๋ถ่ายทุกซีนเลย แปลว่าเราต้องทำการบ้านหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว

แล้วก็ตี๋ก็มีการแบบว่าทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องทั้งหมดก่อน อ่านทั้งเรื่องเลยว่ามันมีความเป็นมายังไง แล้วก็ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวมันก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นตี๋ลงรายละเอียดกับตัวละครตัวนี้ค่อนข้างเยอะมาก เพราะเวลาเข้าฉากกับเพื่อนๆ มันจะได้ออกมาแบบว่าเป็น ต้อล ที่มีชีวิตจริงๆ”

เต้ “ผมชื่นชมน้องเขานะครับ เราทำงานกับเขามา 5 ปี เรารู้ว่าตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานด้วยกันจนถึงวันนี้ พอได้กลับมาร่วมงานกัน เราก็ชื่นชมนะ เห็นเอาบทมานั่งกาง แล้วก็มีเขียนอะไรไว้เยอะมาก คือน้องโตขึ้นเยอะครับ

ตี๋ “ผมทำการบ้านหนักมากครับ เอาฉากแต่ละฉากมาแยกตามวัน ว่าวันนี้จะถ่ายฉากไหน แล้วเรียงตามฉาก ว่าวันนี้จะถ่ายฉากอะไร ไปทำอะไรที่ไหน ก็จะพยายามจำแล้วใส่รายละเอียดให้ได้มากที่สุดครับ”

เต้ “คือมันเหมือนเราจับมือกันแล้วเนอะ บางทีเราต้องปรึกษาเขาว่าน้องคิดยังไง เราคิดอย่างนี้ คือเขาทำการบ้านมาดีมาก เลยช่วยเหลือตรงนี้ได้เยอะ คือเราโตขึ้นเลยมีกระบวนการทำงาน วิธีการ”

กาลเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน

เมื่อเราถามว่า เต้กับตี๋ ดูโตขึ้นมากจากวันแรกที่เคยเจอ ทั้งคู่บอกว่า ใช่

เต้ “ใช่ครับ”

ตี๋ “ด้วยความที่เราเหมือนรู้จักการแสดงเพิ่มขึ้นด้วยครับ ด้วยที่การแสดงเราเข้าใจประมาณนี้ มันเป็นในระดับนี้ แต่พอได้ไปทำงานกับคนเก่งๆ ที่เป็นมืออาชีพ ทำให้เราได้รู้วิธีการทำงานที่ถูกต้อง และการสื่อสารที่ถูกต้องว่าตัวละครมีการสื่อสารกันยังไง เราจะได้เรียนรู้และมาถ่ายทอดในซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างดีขึ้นจากเดิมมากๆ”

ชื่นชมในการทำงานของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ 

เต้ “ก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ดีใจมากๆ เลยครับ เต้ก็ได้ชมผลงานของเขาอยู่แล้ว ได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว ดีใจมากๆ ที่ได้มาร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว พี่เขาเก่งมากๆ ครับ ครั้งหนึ่งที่ได้มาร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยครับ อยากให้ตามไปดูในซีรีส์กันนะครับ ว่าพี่มะเดี่ยวจะแต่งเติมลวดลายยังไงบ้าง บอกเลยว่ามันกลมกล่อมกว่าเดิมมาก”

ตี๋ “ของตี๋ได้ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นเรื่องที่ 2 แล้วครับ เรื่องแรก ส้มป่อย กลับมาครั้งนี้ได้มาร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว รู้สึกดีใจมากๆ และรู้สึกดีที่ได้ทำงานกับคนบ้านเดียวกันด้วย พี่มะเดี่ยวเป็นคนเหนือด้วยครับ (ยิ้ม) แล้วพอได้มาร่วมงานด้วยกันครั้งนี้ พี่มะเดี่ยวได้ทำซีรีส์แบบเต็มตัว

แล้วก็มีการเข้ามาดูรายละเอียดของมุมกล้อง มุมมองแบบใหม่ๆ ที่ตี๋มองว่ามุมมองที่เสนอออกมาเหมือนกับหนังฝรั่งเลย มันเป็นการนำเสนอที่ไม่ใช่ซีรีส์ทั่วไปแล้ว แต่มันเป็นซีรีส์ที่มาตรฐานดีขึ้น ตี๋ก็มองว่าพี่มะเดี่ยวเก่งจริงๆ ทั้งมุมมองบท ขยี้บท ให้บทธรรมดาๆ ที่เล่นทั่วไป ทำยังไงให้มันมีซีนแต่งเติมให้มันสนุกมากยิ่งขึ้น น่าติดตามน่าค้นหามากยิ่งขึ้น หรือจะเป็นเลิฟซีนที่ฟินจิกหมอนให้มันดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น และน่าติดตาม รู้สึกดีใจที่ได้มาร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว”

เต้ “จริงๆ ทีมงานทุกคนก็เก่งมาก อย่างพี่อั้มก็เป็นผู้กำกับอีกท่านหนึ่งที่มาร่วมกำกับด้วย ด้วยความที่พี่อั้มเขาเป็นนักแสดงมาก่อน เขาจะมีวิธีการในการสื่อสารให้ออกมาในรูปแบบยังไง”

กลับมาเจอกันในรอบ 5 ปี แค่มองตาก็เข้าใจ

เต้ “มันมีเรื่องที่ต้องจูน และมีเรื่องที่ไม่ต้องจูน”

ตี๋ “มันจะมีบางอย่างที่มองตาก็รู้ว่าเราคิดอะไร ไม่ต้องพูดแล้ว เราโอเคนะ”

เต้ “ด้วยความที่เราสนิทกันแล้ว ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว เพราะเรารู้แล้ว กับบางเรื่องที่ต้องจูน เช่น การที่เราต้องมาเล่นเป็นคนที่รู้จักกันครั้งแรกครับ ซึ่งทางผู้จัดเขาก็กังวลมาก เพราะเราสนิทกันมาก แต่ในเรื่องต้องกลับมานับหนึ่งกันใหม่ ต้องเริ่มรู้จักกันใหม่ เลยทำให้ในทางกลับกันเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน”

เต้ “เรื่องนี้ถ่ายทำที่เชียงใหม่ทั้งเรื่องเลยครับ เพราะทางผู้จัดอยากให้ได้โลเกชั่นที่สวยๆ ในมุมที่ไม่ค่อยได้เห็น พอเราไปดูก็จริง ได้ภาพออกมาเป็นภาพสวยๆ ที่ไม่เคยได้คุ้นชิน”

ตี๋ “หรือมีสถานที่ที่อันซีน ที่ไม่เคยไปถ่าย อย่างเช่นในหอนาฬิกาที่ไม่เคยมีใครได้เข้าไปถ่ายเลย แต่เราก็ได้รับอนุญาตให้ได้เข้าไป ถ่ายออกมาแล้วสวยมากๆ ครับ”

เต้ “ฟีดแบ็กจากแฟนๆ ก็ดีใจครับ เรารู้สึกว่ายิ่งฟินมากๆ หายเหนื่อยมากๆ เลยครับ ที่ได้ฟีดแบ็กของแฟนๆ เรากลับมา ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แฟนๆ เขาซัพพอร์ตเรามาโดยตลอด ไม่ไปไหน และเขาเชียร์เราในช่วงที่เรามีงานหรือไม่มีงาน เต้รู้สึกว่าเขาทำให้เราด้วยใจมากๆ ขอแค่เรามีผลงานนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ดีใจมากๆ

เขาตามเชียร์สุดใจ แล้วสิ่งหนึ่งที่คุยกันตลอด เราไม่รู้จะตอบแทนเขายังไง คือสิ่งที่เราพอจะตอบแทนเขาได้ก็คือทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด พอวันหนึ่งโชคชะตามันโคจรให้เราได้มาทำงานด้วยกัน เรียกว่ามันเติมเต็มมากๆ เลย มันเป็นสิ่งที่ไม่กี่สิ่งที่เราพอจะตอบแทนแฟนคลับเราได้

แล้วต้องขอบคุณทีวีธันเดอร์ที่มาทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แล้ว ทริอาช อยู่ในมือของทีมงานที่เก่งๆ เขาทำออกมาได้ดีมาก ต้องยอมรับว่าทีมงานเก่งมากจริงๆ”

เป็นเหมือนโชคชะตาที่ได้กลับมาเจอกัน

ตี๋ “ถ้าคำว่า โชคชะตา คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่าแฟนคลับของ เต้-ตี๋ จะเข้าใจเลย และ เต้-ตี๋ ก็จะเข้าใจมากๆ ว่าซีรีส์เรื่องนี้ดูเหมือนจะแค่เกิดขึ้นมาแค่นั้นเอง แต่ว่าสำหรับเรามันไม่ใช่แค่ซีรีส์แค่เรื่องหนึ่ง แต่ว่ามันคือความรักที่พวกเราตั้งใจ ทุ่มเทมาด้วยกันตั้งแต่แรกเริ่มครับ

มันเป็นความรักที่เริ่มมาด้วยกันตั้งแต่แรก จนถึงวันนี้ความรักมันได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว คือการที่ได้มามีซีรีส์ด้วยกัน แล้วก็ทำให้สิ่งที่อยู่ในใจแฟนคลับได้ปลดล็อก มันทำให้ทุกอย่าง ทุกคนมีความสุขครับ ก็เป็นตัวแทนความรักของเราทั้งหมดครับผม”

เต้ “ยังคุยกับกับตี๋เลยวันที่ถ่ายทำเสร็จ เราสองคนมองเลยว่า ไม่ว่าซีรีส์จะเป็นที่นิยมมากน้อยแค่ไหน แต่พวกเราคอมพลีตแล้ว พวกเราตั้งใจและทำเต็มที่ที่สุดแล้ว เราถือว่าเราสำเร็จแล้ว เรามีความสุขที่สุดแล้ว ขอบคุณทางผู้ใหญ่ที่เลือกเราและให้โอกาสเรา”

เต้ “จริงๆ ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้โคจรกลับมาเจอกัน”

ตี๋ “เพราะต่างคนต่างก็แยกกันแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจแฟนคลับมาโดยตลอดก็คือ อยากให้พี่เต้มีซีรีส์คู่ตี๋ ขอสักเรื่องหนึ่งด้วยกันก็ได้ มันเป็นสิ่งที่แฟนคลับของทั้งคู่รอคอยกันมาตลอด แล้วก็ที่ผ่านมามันมีซีรีส์มาด้วยกันก่อนหน้า แต่ฉากความสัมพันธ์ของเรายังไม่เริ่มต้นเลย

กระทั่งมีงานด้านนอก ถูกจิ้น ถูกฟินกันอยู่ข้างนอก แต่ว่าในพาร์ทของละครมันยังไม่มี เขาก็เลยอยากให้มีสักครั้งหนึ่ง ด้วยเวลาที่ผ่านเลยไป รู้สึกว่ามันไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้แล้ว เพราะว่าตี๋เองก็ไปอยู่กับช่อง และพี่เต้เองก็เป็นอิสระ มีงานนอก ต่างคนต่างก็มีงานของตัวเอง และเติบโตในสายที่ตัวเองเลือก

แล้ววันหนึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเจอกันอีก เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ยากมากๆ แต่ก็ตอบขอบคุณทางผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเรา ทำให้ทุกอย่างได้ปลดล็อก ทำให้คนมีความสุข แม้กระทั่งตัวเราเองทั้งพี่เต้และก็ตี๋ อยากจะมอบของขวัญสักชิ้นให้แฟนคลับ ตอนนี้เราก็สามารถทำได้แล้ว รู้สึกปลดล็อกหัวใจตัวเองเหมือนกัน ขอบคุณทุกๆ ฝ่ายที่ทำให้เกิดขึ้นมาได้”

เราถามต่อว่า ช่วงที่ไม่เจอกันใน 5 ปีที่ผ่านมา มีคิดถึงกันบ้างไหม ทั้งคู่บอกว่า

เต้ “จริงๆ ก็เจอกันตลอดครับ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงโควิดที่ห่างกัน แล้วก็มีช่วงที่น้องบวช พอน้องบวชเสร็จ น้องก็ไปถ่ายละครยาวเลย ของเต้ เต้ก็ไปทำงานอย่างอื่นด้วย มีช่วงนั้นที่จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน”

ตี๋ “แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ทำงานร่วมกันอยู่ครับ”

หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับฟีดแบ็กที่ได้รับ

เต้ “หายเหนื่อยมากๆ เลยครับ เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ถ่ายทำซีนลองเทคที่ถ่ายไป อันนั้นทำการบ้านมา 3-4 เดือนแล้วครับ เพื่อเทคไม่กี่เทคเองครับ ไม่ใช่แค่เต้นะครับ แต่เป็นทีมงานที่ต้องวางแผนทั้งหมด ถ้าสังเกตเห็นจะเป็นกล้องตัวเดียวที่ใช้ถ่ายทำ แล้วใช้เก็บนักแสดงทั้งหมดด้วยกล้องตัวเดียวครับ แล้วคือกล้องห้ามผิดพลาดเลย

ทีมงานต้องทำการบ้านหนักมาก ทุกคนที่อยู่ในซีนนั้นห้ามหลุด ถ้าหลุดต้องเริ่มใหม่หมดเลย ในระหว่างนั้นเราก็มีท้อมากว่าจะทำได้มั้ย ทำไมต้องทำการบ้านหนักเพื่อเทคๆ เดียว แต่พอมันออนแอร์ออกไป รู้สึกว่าทุกวินาทีที่ทำการบ้านหนัก มันคุ้มค่ามากๆ”

ตี๋ “ต้องบอกว่าเป็นความพิเศษที่พี่มะเดี่ยวเขาอยากจะนำเสนอ แล้วทุกคนจะเห็นว่ามุมมองของซีรีส์เรื่อง ทริอาช ไม่เหมือนเรื่องอื่นเลย เพราะเป็นเทคนิคในการเล่าเรื่องแบบพิเศษ และเป็นการนำเสนอซีรีส์ในรูปแบบใหม่มากๆ รู้สึกดีใจที่ได้พี่มะเดี่ยวมาทำตรงนี้ครับ” 

เต้ “ขอบคุณทุกคนนะครับที่รอวันนี้ วันที่เรามีผลงานร่วมกัน แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนอย่างมากเลย คือไปตามในทวิตเตอร์ ทุกคนพยายามรีทวีตช่วยเราในทุกๆ ช่องทางเลย เราเองก็ประทับใจอย่างมากเลย แล้วหวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้

แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เพิ่งเข้ามาดู เข้ามาเจอเราเป็นครั้งแรก หรือว่าอาจจะเพิ่งได้ตามเราจากผลงานในเรื่องนี้ ยังไงก็ฝาก ทริอาช ไว้ด้วยนะครับ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่พวกเราตั้งใจทำมากๆ เลยนะครับ

แล้วก็ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนเลยนะครับ ที่ให้คำชมกับพวกเรา คือตอนแรกเราคาดหวังว่าให้ผิดพลาดน้อยที่สุด มีตำหนิน้อยที่สุด ไม่คิดว่าจะได้รับคำชมจากคุณหมอหลายๆ ท่าน ซึ่งเป็นเกียรติอย่างมากครับ”

ตี๋ “ตี๋ก็อยากจะเชิญชวนนะครับ ทุกๆ คนมาดูซีรีส์เรื่อง ทริอาช ครับ เป็นซีรีส์เมดิคอล-ดราม่าแฟนตาซี เป็นซีรีส์แนวใหม่ที่อยากจะสื่อสารเกี่ยวกับวงการแพทย์ ว่าจริงๆ แล้วหมอมีหน้าที่อย่างไร เวลาเขาอยู่ในห้องฉุกเฉิน เขาทำยังไงบ้าง หรือบรรยากาศห้อง ER เป็นยังไง

ก็อยากจะให้ทุกคนได้เข้ามาดูซีรีส์เรื่องนี้ และเข้าใจการทำงานของหมอว่ามีการทำงานที่หนักขนาดไหน และเข้าใจในมุมของหมอด้วย และนอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องราวความรัก ที่อยากจะให้ทุกคนเอาใจเชียร์ที่คนคนหนึ่งจำเรื่องราวในทุกๆ วันได้ แต่อีกคนกลับลืมนับหนึ่งใหม่ เราจะมารักกันได้ยังไง ต้องมาติดตามกันครับ”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

กราฟิก : Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2386757
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2386757