“ต่อ-ธนภพ” เริ่มต้นจากความสิ้นหวัง ส่ง “ใต้หล้า“ จุดประกายความหวัง


ให้คะแนน


แชร์

“ท้าทายอีกแล้วครับ เป็นความท้าทายและได้เอาวิชาที่ได้จากหนัง One for the road มาใช้คือเรื่องวัย เพราะเรื่องใต้หล้าเป็นการเดินผ่านช่วงวัย ผมพยายามทำความเติบโตของใต้หล้าให้ชัดมากขึ้น ต้องมีแก่นบางอย่างที่คนดูรู้สึกว่าอ๋อ สิ่งนี้ที่ ใต้หล้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ความตรงอะไรบางอย่าง เค้าจะบิ่นไปช่วงเดียวคือตอนเข้าคุกช่วงแรก”

เรื่องราวแตะถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม เราเองก็ยังไม่เคยแสดงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้? “ผมว่าเป็นเรื่องดีของนักแสดงนะ เพราะนี่คือพื้นที่ที่เราจะได้พูด ซึ่งมันไม่แปลกว่าทำไมผมกับพี่สันต์ถึงอินกับละครเรื่องนี้เพราะเราสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน และเข้าใจแบบนี้จริงๆ”

เรื่องนี้ต่อได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนบ้าง? “พูดภาษาจีน ขายของ ตัวละครติดคุก แล้วมาได้อาจารย์ดีจากการใช้ชีวิตที่ทำให้รู้ว่าโอกาสดีๆมันมีทุกที่แค่บางครั้งเราไม่รู้”

ตัดสินใจนานมั้ยกับการรับบทนี้?

“ไม่นานเลยครับ เป็นโปรเจกต์ที่เข้ามาถูกที่ถูกเวลา ในช่วงล็อกดาวน์ 6 เดือน ตอนนั้นก่อนล็อกดาวน์เป็นช่วงที่สถานการณ์มันไม่ดีอยู่แล้ว กองโดนยกเลิกไม่ได้ถ่าย เป็นช่วงที่ผมมีนัดเข้ามาคุยงานกับพี่ป้อน-นิพนธ์ ที่ช่องวันพอดีหลังจากละครขอเกิดใหม่ใกล้ๆเธอจบแล้ว ระหว่างช่วงนั้นที่ผมอยู่บ้านเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมสัมผัสได้ถึงคำว่า “สิ้นหวัง” ผมรู้สึกกับคำนี้ทั้งกับตัวเองในมุมที่เราเคยคิดว่าเราเป็นประโยชน์แต่พอเราไม่มีช่องทางให้เราไปทำประโยชน์ อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าทำไมเราไร้ประโยชน์ ซึ่งไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย บวกกับการเสพข่าวช่วงนั้นทั้งความสูญเสีย หรือภาพบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ถามว่าเราช่วยมั้ยเราแอบช่วยอยู่ข้างหลังอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ เราแค่รู้สึกว่าความหดหู่นี้ ผมแปลมันว่าความสิ้นหวัง วันที่ผมเข้ามาคุยกับพี่ป้อน ผมแค่บ่นว่ามันสิ้นหวังเนอะพี่ ซึ่งตอนนั้นโปรเจกต์นี้ก็เริ่มขึ้นจากคำนี้ เรียกว่าเป็นโปรเจกต์แรกที่เราเริ่มพร้อมๆกัน เอาส่วนที่เรามีมาประกอบกันพี่ป้อนบอกว่าชอบคำนี้เลย คำว่าสิ้นหวัง แต่ลองกลับด้านมันดูมั้ย ถ้าสิ้นหวังคือด้านลบ ตรงข้ามกับสิ้นหวังก็คือความหวัง และตอนนั้นโปรเจกต์นี้ก็ยังไม่มีชื่อแต่มันเริ่มต้นจากคำว่าเราจะทำเรื่อง “ความหวัง” อะไรก็ได้ที่ส่งพลังออกมาว่าคือความหวัง และมันก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆไปพร้อมๆกันกับทุกคน ใครมีโน่นนี่อะไรมาก็โยนเข้าไป จนมันเริ่มประกอบร่าง พอมันเริ่มมีโครงก็เป็นช่วงล็อกดาวน์ เราก็พลิกวิกฤติเป็นโอกาสคือเป็น 6 เดือนที่เราอยู่กับบทตลอด ตรงไหนที่รู้สึกเอ๊ะก็ปรับพัฒนามา ผมว่าทีมนี้แข็งแรงตรงที่ว่าพอเรามีหัวเรือพี่บอย-ถกลเกียรติ พี่ป้อน-นิพนธ์ ที่เค้ารับฟัง ทีมทั้งหมดพร้อมโยนทุกอย่างไปแชร์กัน เป็นครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้กับช่องวัน”

เค้าโครงเรื่องมาจากอะไร?

“จริงๆมันมีพื้นมาจากเรื่องที่ผมมีประสบการณ์ในชีวิตผม แต่มันแค่ถูกขยี้และหาสัญลักษณ์บางอย่างเช่น เรือนจำ เราแค่ต้องทำให้เป็นรูปธรรมให้ได้ ช่วงก่อนหน้านี้ผมดันไปอินเรื่องเรือนจำ เริ่มจากการดูสารคดีและต่อยอดไป มันพอดีมากที่นักโทษเป็นเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนมากว่าคนมีชีวิตติดลบเป็นยังไงและถูกหยิบยกมาใช้ในเรื่องนี้ หลายคนมองว่าเรื่องใต้หล้าพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ แต่ในมุมตัวละครสิ่งที่ผมพยายามเล่าคือ อย่าตัดสินกันเลย เพราะคนเรามันผิดอยู่ทุกวันแต่อยู่ที่ว่าคุณจะเริ่มใหม่ยังไง คุณจะยอมรับความผิดนั้นยังไง แล้วสังคมพร้อมหรือยังที่จะให้โอกาส เอาเป็นว่าเราต้องการเห็นสิ่งนี้ในสังคม ทุกคนมีทั้งด้านดีและเลว ใต้หล้าก็เหมือนกัน พอคิดได้แล้วคนนั้นก็มีโอกาสหลงได้อีก ผมชอบที่พี่เผือก-พงศธร พูดคำนึงว่า ถ้าใครได้เห็นชีวิตใต้หล้าน่าจะมีกำลังใจว่าใต้หล้ายังลุกได้เลย ทำไมเราจะไม่ได้”

การร่วมงานกับนักแสดงอย่างไบร์ท เพลงขวัญ เบญ เป็นอย่างไร?

“ผมนับถือในความเต็มที่กับงานสำหรับนักแสดงเลือดใหม่ ผมรู้สึกว่ามันไม่มีข้อแม้เลย ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจริงๆ ผมประทับใจที่ผมได้เจอทีมนี้ ใต้หล้าจะไม่ได้เล่าความเป็นพระเอกนางเอก 4 ตัวละครนี้ ไม่ใช่รัก 4 เส้า แต่มันเป็นตัวละครที่มีความสัมพันธ์ที่เป็นปมต่อกันไปหมด”

ปะทะอารมณ์กับไบร์ท? “ความเซอร์ไพรส์คือผมเจอไบร์ทนับครั้งได้ เป็นวิธีใหม่ที่เราลองทำ มันคือการปะทะกันผ่านคนอื่น ทุกเหตุการณ์คือสองคนนี้ปะทะกันแต่สองคนนี้ไม่ได้แอ็กชันใส่กันโดยตรง มันเลยทำให้นักแสดงในเรื่องนี้ไม่ว่ารับบทไหนก็มีความสำคัญ เด่นทุกตัวละคร”

การร่วมงานปะทะรุ่นใหญ่ล่ะ? “เรื่องนี้นักแสดงรุ่นใหญ่เยอะมาก อาตู่-นพพล,พี่ดอม เหตระกูล, อาดาว-ดวงดาว, พี่ต๊งเหน่ง-รัดเกล้า, พี่โอ-อนุชิต, พี่ภูริ หิรัญพฤกษ์, พี่อ๋อม-สกาวใจ, พี่เผือก-พงศธร ทำให้ผมรู้สึกแอ็กทีฟตลอด รอบตัวมีแต่ความรู้ให้ดู ผมว่าแต่ละคนจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน เช่น ผมรู้สึกถึงความรีแลกซ์จากพี่เผือก ได้ออร่าจากการเล่นที่ทรงพลังจากอาตู่ อาดาว และเรื่องการใช้เสียงจังหวะจากพี่ต๊งเหน่งหรือเห็นพี่ภูริพี่โอเล่นมันเป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ”

รักอะไรในตัวละครใต้หล้า?

“ผมรักและหวงตัวละครที่ผมเล่นเสมอเลยไม่ได้หาข้อดีของเค้า แต่ถ้าถามว่าคนดูจะรักอะไรในตัวใต้หล้า ผมว่าเป็นความจริงใจที่สัมผัสได้”

ใต้หล้าให้อะไรกับการใช้ชีวิตของเรา? “มุมมองส่วนตัวของผม ผมมองว่าคนเรามันผิดได้ และผิดบ่อยก็ได้ ผิด รู้ ยอมรับ เข้าใจ ไปต่อ ตัวผมเองก็เคยผิด เราพยายามปรับตัว เราก็ยังผิดได้อยู่ มันทำให้ผมกล้ามองคนที่เค้าทำผิดมากขึ้น เราไม่มีทางรู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่เลย ได้เห็นการไม่ยอมความอยุติธรรม ซึ่งมันไม่ได้แค่วิธีการสู้เท่านั้น มันมีวิธีการมากมาย มันมีลูปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆแต่พอใต้หล้าโตขึ้นวิธีการแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลย อยากให้ทุกคนโตไปพร้อมกับพวกเค้า จุดเริ่มต้นเป็นแค่วัยรุ่นสองคนที่ทะเลาะกันแต่มันพาทุกอย่างไปไกลกว่านั้นมาก”

เรื่องนี้มีมุมเสียดสีสังคมเราตั้งรับกระแสต่างๆไว้มั้ย? “พวกเราพูดถึงสังคมจริง เราไม่ได้ตั้งใจเสียดสีแต่เราไม่ได้เล่าอย่างโกหก ผมไม่รู้หรอกว่ามันเสียดสีมั้ยเพราะสุดท้ายพวกเราทำดีที่สุดในหน้าที่ของพวกเราแล้วและเรารักโปรเจกต์นี้”

คนมองว่าเราเป็นนักแสดงฝีมือดี กดดันมั้ยกับที่คนดูจับตาการเจอบทใหม่ๆ?

“จริงๆผมดีใจและหวั่นใจในเวลาเดียวกัน ดีใจที่คนยังสนใจเวลาเราทำอะไรใหม่ๆแต่ก็กลัวนิดนึงเพราะผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น ผมเจอนักแสดงเยอะและรู้ว่าคนเก่งกว่าผมมีเยอะมากจริงๆ อย่ามองผมเป็นคนเก่งเลย มองผมเป็นคนตั้งใจแล้วกันครับ อย่างภาษาจีน จริงๆเรียนพื้นฐานอยู่แล้วแต่พอมีบทมาก็เอาพวกนี้ไปเรียนเพราะเป็นศัพท์ยากหมดเลย ผมแกะทีละตัวเลย เพราะในเรื่องทำให้เห็นว่าภาษาจีนนี่ล่ะที่เปลี่ยนชีวิต”

ความยากที่สุดของต่อในเรื่องนี้คืออะไร? “เรื่องนี้ผมเซตวัยไว้ 4 ระยะที่ใต้หล้าจะเปลี่ยนไป แต่เวลาถ่ายทำจริงมันกระโดดไปมา คือการตัดสินใจ ความคิด แต่ละช่วงมันไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ไทม์ไลน์ต้องแน่นมาก”

เคยบอกว่าเวลาได้ทำงานที่ท้าทายยิ่งสะใจ เรื่องนี้ได้ความรู้สึกใหม่ๆยังไง? “ตอนถ่ายเรื่องนี้เสร็จ มันเป็นความรู้สึกยกภูเขาออกจากอก มันมีสิ่งที่ติดอยู่กับเราและอยากจะพูดมาตลอด แล้วอยู่ๆ ก็มีคนโยนมาว่ามาพูดในเรื่องนี้สิและพูดเต็มที่เลย มันเหมือนเราได้พูดซะที”

การทำงาน ณ วันนี้มีอะไรที่ท้าทายเรา?

“หลังๆผมรู้ตัวแล้วว่าจะไม่คิดไปก่อน ผมจะรอสรุปตัวเองหลังจากเล่นโปรเจกต์นั้นๆเสร็จ และเริ่มคิดกับตัวเองแล้วว่าเราโตไปถึงไหน ผมว่ามันจะมีคำตอบให้เราว่าเราจะไปยังไงต่อ อย่างตอนนี้ผมรู้สึกว่า ผมอยากมาแนวตลกบ้างเพราะเป็นสิ่งที่ผมเคยสอบตกตอนเรียนแอ็กติ้ง อยากลองเล่นภาพยนตร์ตลก”

เราอยู่ในรายละเอียดของกระบวนการของการทำละครแบบนี้มองตัวเองไปถึงการทำงานเบื้องหลังมั้ย? “ณ วันนี้ยังครับ ผมรู้ว่าผมยังขึ้นไม่ได้ขนาดนั้น ถ้าเป็นคนออกไอเดียก็พร้อมช่วย ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบแต่ผมคงมีสิ่งที่ผมชอบมากกว่า ตอนนี้ชอบเรื่องการลงทุนต่างๆ”

ลงทุนในอะไรบ้าง? “ทุกอย่างที่มีค่า กำลังพยายามศึกษา เราโตมาถึงจุดที่ไม่ได้อยากได้แค่ความรู้ในอาชีพ แต่อยากรู้โน่นรู้นี่ เห็นบางคนไปซื้อที่ดินก็อยากตามเค้าไปนะ เคยมีความฝันว่าซื้อที่ดินอยากทำป่า อยากมีป่าเป็นของตัวเอง มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นก็เป็นประโยชน์ อยากลงทุนที่ดิน ทอง หุ้น เหรียญ นาฬิกา ทุกวันนี้ผมรู้ตัวว่าผมชอบเงิน ถึงจุดนึงมันก็ไม่มองเรื่องความมั่นคงไม่ได้ มันก็ยังเป็นขั้นเริ่มๆต้น เป็นงานอดิเรก”

บาลานซ์ชีวิตตอนนี้ยังไงบ้าง?

“ทุกวันนี้พยายามปรับบาลานซ์ให้มันดี ผมพยายามทำงานไม่ให้หนักเกินไป เมเนจตัวเองให้ออกไปหาความสุขเยอะขึ้น เพิ่งเริ่มคิดแบบนี้ได้ไม่ถึงปี”

อะไรทำให้เปลี่ยนความคิด? “ทุกอย่างเกิดขึ้นช่วงล็อกดาวน์ ตั้งแต่ที่เล่าว่าเรารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ มองเห็นที่บ้านด้วยเลยรู้สึกว่ามันต้องทำให้ดีกว่านี้ได้ มันเลยย้อนกลับไปที่คำว่ามั่นคง”

บาลานซ์ชีวิตส่วนตัวแล้วชีวิตรักล่ะ? “ก็พยายามชั่งน้ำหนักให้มันบาลานซ์ครับ”

แฟนๆดีใจเวลาที่ได้เห็นภาพเราไปเที่ยวพักผ่อนรีแลกซ์บ้าง? “ชีวิตผมคงไม่ค่อยได้ทำสิ่งนี้ จริงๆก็อยากทำให้มันเยอะขึ้น เร็วๆนี้ก็มีแพลนที่อยากลองใช้ชีวิตหน่อยอยากไปต่างประเทศ ไม่ได้บินไปไหนตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว มันถึงจุดที่ผมยอมรับว่าแมตทีเรียลในร่างผมมันหมด ผมต้องเดินทางเพื่อไปเก็บเกี่ยวอะไร สุดท้ายถ้าผมยังดื้อ คนดูจะเริ่มเห็นอะไรซ้ำๆแล้วมันเป็นการไม่ให้เกียรติกันเท่าไหร่ ผมก็ต้องอัปเดตเก็บเกี่ยวอะไรใหม่ๆบ้าง”

เรื่องความรักก็คอยซัพพอร์ตแบบไม่ต้องเปิดตัวหวือหวา? “ผมมองว่ามันไม่เกี่ยวเลยกับเรื่องเปิดหรือปิด ถ้ารู้ก็คือรู้ ไม่รู้ก็ไม่ผิด สุดท้ายแล้วมันแค่ว่าเค้าไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมนี้และเค้าอยู่ในจุดที่มันดีอยู่แล้ว ผมก็ยังทำงานตัวเองให้เต็มที่เหมือนเดิม และผมก็ยังเชื่อเสมอว่าเรามีแฟนๆที่ดี เรามั่นใจว่าแฟนคลับเราดีพอที่จะรักเราในแบบที่เราเป็น ณ วันนี้จะให้ผมเป็นเหมือนใครมันคงไม่ได้ ผมก็เป็นผมอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ผมก็เข้าใจนะว่ามีทั้งคนชอบและไม่ชอบเรา บางคนก็คอมเมนต์การแสดงต่างๆ มันเป็นการแสดงความคิดเห็นซึ่งแล้วแต่เค้าเลย เค้าอาจจะไม่ได้ชอบในสิ่งที่ผมทำแต่ชอบอะไรในแบบอื่นก็เป็นสิทธิของเค้า เราก็ต้องรับให้ได้ สิ่งเดียวที่จะกระทบคือถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วมาตัดสินเรา”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/novel/news/2403746
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/novel/news/2403746