ย้อนอดีตกวาดล้างชายรักชาย เรื่องสุดสะพรึงของ มะเดี่ยว


ให้คะแนน


แชร์

ได้เวลาย้อนอดีตสุดเจ็บปวดในวัยเด็กของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับหนังดังแนวหนังชายรักชายเรื่อง ดิวไปด้วยกันนะ โดยมะเดี่ยวตั้งใจโพสต์เรื่องราวสุดร้าวรานลงเฟซบุ๊ก

“เรื่องต่อไปนี้ มีประเด็นอยู่ในหนังบางส่วน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดของหนัง แต่เป็นจุดที่ฉันอยากหยิบยกขึ้นมาพูด เพราะมันเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งอันเซอร์เรียลของชีวิต ที่ผ่านมันมากับเพื่อนหลายคน และบางคนได้หยิบยกขึ้นมาพูดอย่างสะเทือนใจ ซึ่งคงจะไม่พูดไม่ได้แล้ว

“อยากจะอุทิศส่วนหนึ่ง ของความทรงจำของหนังเรื่องนี้ ให้เพื่อนพี่น้อง ตุ๊ด กะเทย อีแอบ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่พวกเขาเรียกเราอย่างเหยียดหยามในสมัยนั้น ยินดีที่เห็นพวกเธอเติบโตผ่านยุคสมัยมาได้ แม้ว่าชีวิตเราจะบิดเบี้ยวแค่ไหน ฉันก็ภูมิใจในตัวพวกเธอ ที่หยัดยืนได้ในสังคมที่เปิดกว้างกว่าตอนนั้นเยอะ

“ในตอนนั้นฉันอยู่มอต้น มีกระแสแว่วมาจากตึกมอปลาย ว่ามีการกวาดล้างพวกเบี่ยงเบนทางเพศครั้งใหญ่ พวกพี่มอปลายใครมีพฤติกรรม จะถูกนำไปฝึก รด. หรือทำอะไรอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเราคิดว่าเด็กมอต้น คงไม่โดนอะไรมั้ง แต่ในเช้าวันหนึ่ง ครูหัวหน้าสายก็ประกาศหน้าแถว ว่านักเรียนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ให้ออกมารายงานตัวกับครูประจำชั้น และให้เฝ้าดูว่า ถ้าใครไม่ออกมาจะมีความผิด

“บรรยากาศในโรงเรียน ก็โกลาหลกันพักใหญ่ จบที่มีนักเรียนกลุ่มใหญ่ รวมถึงฉันที่เข้าไปฟังการอบรมในห้องสมุดกลางของโรงเรียน โดยภารดาชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ที่พยายามบอกเราว่าให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่เช่นนั้นจะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อมอปลายในโรงเรียนแห่งนี้ และในช่วงตักเตือนนี้ใครดีขึ้น ก็จะไม่เรียนผู้ปกครอง

“เด็กๆ อย่างเราเกิดคำถามมากมาย ว่ามันเปลี่ยนยังไง ทำไมต้องเปลี่ยน และที่สำคัญแต่ไม่มีใครกล้าถาม คือนโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่ออะไร แต่ในเวลานั้นการมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน คือคนที่ดูจะเป็นปัญหาสังคมอยู่แล้ว คำถามนี้เลยถูกปัดตกไป ให้มันกลายเป็นนโยบายศักดิ์สิทธิ์ของภารดา ผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะนั้น ที่ฉันจำชื่อของเขาได้อย่างขึ้นใจ

“ตอนนั้นโรงเรียนก็ยังทรยศเด็ก ด้วยการส่งจดหมายเรียนเชิญผู้ปกครอง ไปรับทราบพฤติกรรมของลูก และนั่นคือหายนะของหลายครอบครัว บางคนโดนซ้อม บางคนทะเลาะกันบ้านแตก ฉันเห็นพ่อที่เกรี้ยวกราด แม่ที่นั่งร้องไห้ต่อหน้าอาจารย์ปกครองด้วยเรื่องนี้ และเด็กตาดำๆ ที่กำลังรู้สึกผิดกับตัวเอง พวกเขาทำให้ครอบครัวมีปัญหา เพราะแค่การเป็นตัวของตัวเอง

“เพื่อนของฉันหลายคนชีวิตพลิกผัน จากเด็กเรียนเก่ง กลายเป็นต่อต้านสังคม และในที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้เรียนต่อในโรงเรียนเดิม สร้างความผิดหวังให้พ่อแม่ เลยกลายเป็นหันหน้าเข้าหายาเสพติดบ้าง พฤติกรรมก้าวร้าว หรือกลายเป็นคนเก็บกด ที่เกลียดตัวเองไปเลยก็มี ฉันโชคดีที่ยังได้เรียนต่อที่เดิม เพราะผลการเรียนกับความสามารถทางดนตรี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอเรื่องแย่ๆ ซึ่งฉันก็ผ่านมันมาได้ จนเรียนจบในที่สุด

“ชีวิตมอปลายของฉัน ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ทุกคนกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เมื่อภารดาคนนั้นออกไป ทุกวันนี้ฉันยังจำชื่อภารดาคนนั้นได้ขึ้นใจ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะถามเหมือนกัน ว่าตอนนั้นคุณคิดและออกนโยบายนี้มาได้ยังไง รู้ไหมว่ามันเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กหลายๆ คนไปในทางที่แย่ และกว่าพวกเราจะเติบโตขึ้นมาได้ ต้องผ่านการเยียวยาตัวเองขนาดไหน

“วันนี้ฉันได้อ่านสิ่งที่เพื่อนรักวัยเด็กเขียน แน่นอนว่าบาดแผลของบางคนไม่มีทางเยียวยา มันฝังลึกให้พวกเราเติบโตมาแบบบิดๆ เบี้ยวๆ และมีแผลเป็นในใจ หลายคนที่ร่วมรุ่นกันกำลังกลับมาคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง และมากกว่านั้น ฉันก็ได้แชร์เรื่องราวนี้กับพี่น้องหลายๆ คนที่ผ่านยุคสมัยเดียวกันมา ดังนั้นฉันจึงเชื่อเหลือเกินว่าเราชาว lgbt กว่าจะมีที่มีทางในสังคมนั้น ได้ฝ่าขวากหนามอันเดียวกันมา และมีแผลเป็นเหมือนกันมากมาย

“วันนี้เราเติบโตมาแม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีที่มีทางในสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เราผ่านมันมาได้ จากการเป็นเพศที่สาม เป็นเพศทางเลือก และเปน LGBT (จริงๆมันยาวกว่านั้นแต่ขอเรียกสั้นๆนะ) ตอนนี้เสียงของเราดังขึ้นในสังคม แต่ฉันไม่ได้จะออกมาเรียกร้องอะไรในตอนนี้ นอกไปจากขออย่าลืม ว่าเราเคยถูกปฏิบัติมายังไง เราอย่าให้คนที่มีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเพศ ทางกายภาพ เชื้อชาติ สถานะ ต้องถูกปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องอีกเลย โลกเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ” 

มะเดี่ยว แมวโพง

ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ – ข่าวบันเทิง
ขอขอบคุณ : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ – ข่าวบันเทิง