เต้ ปิยะรัฐ เผยสัมพันธ์ลูกรัก ‘ขุน ชานนท์’ ไม่โกรธ ปล่อยให้ไปอยู่ที่ชอบๆ


ให้คะแนน


แชร์

เต้ ปิยะรัฐ เผยสัมพันธ์ลูกรัก ‘ขุน ชานนท์’ ไม่โกรธ ปล่อยให้ไปอยู่ที่ชอบๆ

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เต้ ปิยะรัฐ เผยสัมพันธ์ลูกรัก / กลายเป็นดราม่าจากเปลี่ยนตัวพิธีกรในรายการ เดอะเฟซ ซีซั่น 5 เป็น“อองตวน ปินโต“ จากเดิม เป็น “ขุน ชานนท์“ จน เต้ ปิยะรัฐ กัลย์จาฤกษ์ ถูกมองทิ้งลูกรักหนุ่มขุนเลยหรือเปล่า

ล่าสุด(27 มิ.ย.) เต้ ปิยะรัฐ ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวเปิดตัวซีรีส์วายรับปี 2023 เรื่อง PARTNER IN CRIME อาชญากรรมรัก นักกฎหมาย ณ สตูดิโอ กันตนา รัชดาภิเษก ถึงเรื่องราวดังกล่าว พร้อมทั้งเผยความรู้สึกกลับมารับงานแสดงอีกครั้งในรอบเกือบ 20 ปี

ถามเรื่อง ขุน ชานนท์ ลูกรักหน่อย หลังจากที่ขับรถชนคน ได้คุยกันบ้างไหม?เห็นอยู่ในโซเชียลบ้าง แต่ก็เรียบร้อยแล้วนี่ครับ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มโควิดเลย ไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว ตั้งแต่โควิดซีซั่นแรกๆ เลย และเขาก็ไม่ได้ติดต่อมา มีติดต่อมาถามว่าแม่เป็นยังไงบ้าง เขาเรียกเต้ว่าแม่นะ แม่สบายดีมั้ย ก็มีนิดเดียวก่อนจะเกิดเรื่องนี้สักปีหนึ่งมั้ง แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ติดต่อเลย เพราะเราไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ทำงานด้วยกัน เพราะเขาไม่ได้เข้าหาเราเท่าไหร่”

เกิดอะไรขึ้นถึงความสัมพันธ์ห่างกันไป? “คือจะมีช่วงหนึ่งที่เขาเป็นพิธีกรของเดอะเฟซ และเต้ก็เปลี่ยนพิธีกรมาเป็นอองตวน ก็ตั้งแต่นั้นแหละถึงเริ่มห่างกัน”

แต่ยังคุยกันได้ไหม? “ก็คุย ไม่ได้โกรธหรืออะไร แต่เต้เป็นคนชัดเจนเรื่องการทำงานมากๆ และเป็นคนดุเรื่องการทำงาน ถ้าใครทำงานกับเต้จะรู้ว่าถ้าเป็นตัวอย่างที่ดี เราก็จะส่งเสริมให้ทำงานให้ดี”

แสดงว่าตอนนี้ก็ไม่ใช่ลูกรักแล้วใช่ไหม?ลูกรักๆ เรารักลูกเรา เราถึงได้ทำแบบนี้ เราถึงได้ให้เขาไปพิจารณาสิ่งที่เขาต้องการในชีวิตก่อน อยู่ในภวังค์ในตัวของเขาเอง อยู่ในที่ที่ชอบๆ (หัวเราะ) แม่อยู่นี่นะ ลูกก็อยู่ที่ชอบที่ชอบ และลูกก็มาหาแม่ได้ตลอดเวลาเลย แม่พร้อมรับลูกได้ตลอดเวลา อยากทำงานเมื่อไหร่บอกได้เลย แต่ถ้าให้ทำงานแล้วไม่ตื่นมาทำนี่ไม่ได้นะ

ถ้าขุนปรับตัวเรื่องวินัยในการทำงาน ก็จะรับกลับมาทำงาน? “ก็ต้องถามชาวโลกทั้งหมดที่เขาเคยให้ความรับผิดชอบขุนด้วย ว่าเขาพร้อมหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่กันตนาอย่างเดียวที่เคยมอบความรับผิดชอบให้ นี่คือสิ่งที่เต้รับไม่ได้ ถ้าเป็นงานของเราเอง เรายังรู้สึกว่าเรายังพอปล่อยๆ ไม่เป็นไร

แต่พอเป็นงานของคนอื่น และพอเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องหยุด ก็ให้เขาอยู่ในที่ชอบที่ชอบ แต่ไม่มีการตัดหางปล่อยวัดนะ จะไม่มีทางเลย เคยมีลูกค้าส่งจดหมายมาฟ้อง เต้ยังไม่เคยตัดหางเลย (หัวเราะ)

ห่างจากงานแสดงมานานเลยเกือบ 20 ปี?20 ปี นานจังเลย (หัวเราะ) ก็เป็นนักแสดงน้องใหม่นะครับ ขอฝากตัวไว้กับน้องๆ ด้วย เพราะไม่ได้แสดงนานมาก คือไม่เหลืออะไรเลยกับวิชาที่สั่งสมมาตลอดชีวิต เหลือแต่สัญชาตญาณที่ยังเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องเคาะสนิมกันเยอะมากครับ แต่ทางทีมงานเขาจะมีเวิร์กช็อปกับน้องๆ ก็ค่อนข้างจะเบาใจขึ้นมาหน่อย”

เหตุผลหลักที่กลับมารับงานแสดงคืออะไร? “เหตุผลหลักเลยมันตรงกับหลายๆ อย่างที่คิดเอาไว้ และเต้เป็นนักสู้อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศก็สู้เรื่องนี้มาตลอด แต่สู้ในทางของตัวเอง คือจะสอดแทรกเข้าไปในรายการต่างๆ ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นและเห็นชัดด้วย และเคยให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้ง และเคยใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งอยากจะเป็นนักการเมือง

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ เพราะยังมีอีกหลายๆ อย่างที่อยากจะทำก่อน และถึงจุดนั้นเราอาจจะยังสั่งสมบารมีไม่พอ แต่พอบทนี้มันเข้ามา 1.คือบทนี้เป็นนักการเมืองและเป็น LGBTQ ที่สู้เพื่อ LGBTQ ความเท่าเทียม สู้เพื่อสมรสเท่าเทียม และสิทธิความเท่าเทียมของมนุษย์และที่สำคัญที่สุดคือเขาแคสตัวเต้ ซึ่งเต้เป็น LGBTQ เต้เป็น G และมาเล่นเป็น G ในเรื่องจริงๆ

อันนี้ทำให้เต้ตอบรับทันที เพราะเขาไม่ได้เอาคาแรกเตอร์ผู้ชายแท้ๆ มาเล่นเป็น LGBTQ ซึ่งอันนี้มันทำให้คนสับสนมาก ในต่างประเทศเป็นหัวข้อที่คุยกันค่อนข้างเยอะ และเป็นหัวข้อที่ควรจะต้องเปลี่ยน representation (การเป็นตัวแทน) ในประเทศเราให้เยอะเลย ในประเทศไทยยังมี ตัวแทนของ LGBTQ+ ที่เป็นโปรเฟสชั่นแนลน้อยอยู่พอสมควร

เรายังเห็น LGBTQ+ ที่ เป็นตัวแทนตลก หรือเป็นแดร็กควีน หรือไม่ใช่เป็นโปรเฟสชั่นแนล เพราะฉะนั้นเราต้องการโปรเฟสชั่นนอลเหล่านี้ ที่เป็นตัวจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ กันเยอะมากขึ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังเข้าใจพวกเรามากขึ้น และมองเข้ามาและมีไอดอล เข้าใจว่ามีคนแบบเขาอยู่ และไม่ใช่สิ่งที่เอามาล้อเล่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ทันทีเลย”

ระดับนี้ต้องแคสด้วยเหรอ? “เขาก็แคส (หัวเราะ) เขาก็เรียกเราไปเทสต์ดูความเหมาะสมกับคู่ของเราด้วยครับ เพราะเรามีคู่ไง เราร้องมีแฟน เพราะเราก็เป็นคนที่ไม่มีแฟนมาหลายปีแล้วนะ (หัวเราะ) เขาก็งงๆ อยู่ว่าเราทำงานเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องความรักนะครับ เขาก็มองว่าถ้าเต้จะมีแฟนมันจะเป็นยังไง หน้าตาความรักของเต้จะเป็นยังไง หาแฟนอยู่นานมากเลยว่าใครจะมาเป็นแฟนเต้”

เลือกเองเลยไหม? “ก็พยายามอยู่ แต่เขาไม่ให้เลือก (หัวเราะ) เพราะไม่ถูกใจทีมงานเขาครับ และเคมีมันไม่ได้ คนที่เต้เลือกก็เลยไม่ได้”

ตื่นเต้นมั้ยเพราะต้องประกบนักแสดงเจนใหม่? “เต้เครียดมากเลย (ยิ้ม) เพราะปีนี้เต้ก็ 43 แล้ว อายุก็ไม่ได้ถอยลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่มันก็เหมาะกับสถานการณ์และเหมาะกับบท เต้ว่ารวมๆ แล้วถึงแม้ว่าเต้จะอายุมากสุด แต่เต้ก็ยังลุยได้อยู่ อายุไม่ใช่อุปสรรค อุปสรรคคือการแสดงแล้วล่ะตอนนี้ ต้องเคาะสนิมกันเล็กน้อยครับ”

มีความกังวลอะไรนอกจากการแสดงไหม? “เต้กังวลเรื่องภาพลักษณ์นิดหนึ่งครับ เพราะ 15 ปีที่เต้กลับมาอยู่ประเทศไทย แล้วไม่ได้กลับไปต่างประเทศเลย ตั้งแต่ทำรายการมา The Face, Drag Race, Gossip Girl, Ugly Betty, ET Thailand หลายๆ รายการที่ทำมา คนก็จะเห็นเต้ในภาพลักษณ์ที่หลากหลาย เดี๋ยวก็ผมสีชมพู เดี๋ยวผมสีขาว เดี๋ยวผมยาว เดี๋ยวก็ถอดเสื้อ เดี๋ยวนู้ด เดี๋ยวออกกำลังกายอะไรแบบนี้ มันก็จะมีภาพลักษณ์ของเต้ที่ค่อนข้างจะหลากหลายอยู่เหมือนกัน

พอมาคราวนี้เราต้องเป็นนักการเมืองที่ค่อนข้างภูมิฐาน เราจะสามารถตีความออกมาให้คนดูเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ติดภาพเดิมของเรามากไป หรือให้เขาเข้าในเต้ทั้งสองภาพได้ก็ดี เต้ก็เป็นห่วงแค่ตรงนั้น”

เรื่องภาพของซีรีส์ที่ออกแนวจะเสียดสีสังคม เราไม่ได้กังวลใช่ไหม? “เต้ไม่กังวล เต้มีเรื่องจะพูดเยอะ (ยิ้ม) เต้ว่าอันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เต้พูดมากกว่า และหลังๆ นี้เขาจะมาสนใจเรื่องนี้กันเยอะ เต้ว่าอยู่ดีๆ มันไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้วเขาสนใจ มันต้องมีอะไรที่ทำให้เขาสนใจ แต่ขอบคุณมากนะครับ (ยกมือไหว้) ที่สนใจเรา ทำให้เรามีตัวตนขึ้นมา เราขอบคุณมากๆ เลย ตอนนี้ก็มาให้ใช้แล้ว ก็ใช้ให้ถูกคนนะครับ (ยิ้ม)”

ส่วนตัวกลัวเรื่องดราม่าที่จะตามมาไหม เพราะตอนนี้ พ.ร.บ. LGBTQ ยังเพิ่งแค่จะผ่านเข้าไปเท่านั้น? “ไม่กลัว อยากจะให้มี (ยิ้ม) ก็เบื่อแล้ว เบื่อเรื่องนี้มากเลย เขาไปถึงไหนกันแล้ว ก็เข้าใจว่าต้องลีลากันอีกสักพักหนึ่ง คือได้อะไรมาง่ายๆ มันก็ไม่ดี และถ้าได้มาแล้วมันอยู่ถาวร อย่างตอนนี้ที่อเมริกาเป็นเรื่องเศร้ามากสำหรับมนุษย์ที่ถูกพรากเอาสิทธิไปเฉยๆ ในการตื่นมาวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ถูกให้มาแล้วเป็น 100 ปี ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น อย่าให้เราเอาคืนนะ (หัวเราะ) และวางรากฐานให้ดีเลย

เพราะมันจะส่งให้ลูกให้หลานของพวกเราต่อไป คือมันไม่ใช่ LGBTQ อย่างเดียว มันเป็นของผู้หญิงด้วย สิทธิของผู้หญิงก็ต้องเท่าผู้ชายแล้วตอนนี้ เราต้องสู้ เรายังอยู่ในยุคที่เราต้องสู้กันต่อไป และหวังว่าสิ่งต่างๆ ที่เราสู้ในแบบของเรา เรามีภาพยนตร์ เรามีละคร เรามีซีรีส์แบบนี้ออกมาให้ดู มันจะสะท้อนให้ถึงคนมากขึ้น ให้คนเข้าใจมากขึ้นว่าสิทธิของตัวเองคืออะไร และได้ไปแล้วเอาไปทำอะไร รู้มั้ยว่าได้ไปแล้วเอาไปทำอะไร

เพราะถ้าได้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมันจะมีคนมาเที่ยวที่เราเยอะมากขึ้น มีคนมาแต่งงานที่เรามากขึ้น อเมซิ่งไทยแลนด์ คนจะผูกพันกับประเทศไทยชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกัลปวสาน จะมากันเรื่อยๆ เศรษฐกิจจะดีมากขึ้น แล้วคนของประเทศไทยจะเป็นยังไง และมันจะดีกับสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ยังไงมากกว่า การศึกษาในโรงเรียน ไปช่วยน้องๆ ที่อยู่ตามต่างจังหวัดหน่อย

เขายังโดนบูลลี่อยู่หรือเปล่า สุขภาพจิตของน้อง คุณครูที่สอนน้องๆ เข้าใจแค่ไหน และไปสอนน้องๆ ต่อ หรือตอนนี้น้องๆ อาจจะหาข้อมูลได้เยอะกว่าคุณครูแล้ว กว่ารุ่นเราแล้ว เขาไปข้างหน้ากว่าเราแล้ว มันมีเรื่องให้คุยอีกตั้งเยอะแยะกว่าเรื่องการสมรสเท่าเทียม และสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ตอนนี้เรายังอยู่ตรงนี้อยู่ ก็ดีแล้ว ก็มีเรื่องให้คุยอีกเยอะ และยังวางใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องสู้ต่อไปครับ (ยิ้ม)”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7133047
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7133047