เขื่อน-โทโมะ-ป๊อปปี้ รวมตัวในรอบ 10 ปี เผยวันที่ไม่ง่ายเมื่อถูกบูลลี่


ให้คะแนน


แชร์

เรียกว่าเป็นการรวมตัวอีกครั้งในรอบ 10 ปี สำหรับ 3 นักร้องดัง เขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ, โทโมะ วิศว ไทยานนท์, ป๊อปปี้ ภาณุ จิระคุณ อดีตสมาชิกวงบอยแบนด์ K-OTC (เค-โอติก) ที่ตอนนี้กลับมาทำเพลงอีกครั้งในนามวง TKP และปล่อย 2 ซิงเกิล เปลี่ยนไม่ได้ (Can’t Change) กับ เจ้าชู้ (Jaoshoo) ที่ได้กระแสตอบรับดีทีเดียว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ เขื่อน-ป๊อปปี้-โทโมะ ถึงการทำงานครั้งใหม่ของพวกเขา รวมไปถึงวันวานที่พวกเขาเป็นนักร้องวงบอยแบนด์ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตตัวเอง และมรสุมที่ต้องเจอ เมื่อเขื่อนถูกคนในโลกออนไลน์บูลลี่อย่างหนัก ทำให้ไม่เข้าใจ รับไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนทำให้กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ ความเป็นตัวเองหายไป ต้องใช้เวลาในการเยียวยาตัวเอง

รู้จักกันวันแรก

เราถามพวกเขาถึงวันแรกที่มารู้จักกัน และเป็นศิลปินสังกัดอาร์เอสฯ ซึ่งเขื่อนเริ่มต้นเล่าว่า “ถึงเขื่อนจะไม่ได้เข้ามาก่อน แต่เริ่มเล่าก่อน (ยิ้ม) คือหนูกับพี่ป๊อปเคยไปค่ายต่างประเทศด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นเด็กมาก ตั้งแต่ 10-11 ขวบ แล้วพี่ป๊อปไปค่ายที่อิตาลีครับ ตอนนั้นอยู่โรมกัน เขาเท่มากเลย เต้นบีบอยได้ ทุกคนสนใจเขา เรายังสนใจเขาเลยว่าทำไมพี่คนนี้เขาเท่จัง ตอนนั้นเป็นเพื่อนกัน สนิทกัน รู้สึกว่าคนนี้เท่อะ คลิกว่ะ

แต่พอวันแรกที่มาเจอแล้วต้องอยู่วง K-OTIC ด้วยกัน มันก็มีความรู้สึกว่าเฮ้ย เขาเท่ขนาดนี้แล้วเราจะสู้เขาได้รึเปล่า เราจะไปเท่แข่งกับเขาไหวเหรอ” ป๊อปปี้พูดทันที “แต่ตอนนั้นผมว่าเขื่อนก็เท่มาก” เขื่อนพูดต่อ “มันน่าจะเป็นความเป็นเด็กอายุ 13 อาทิตย์แรกก็เก๊กไว้ก่อน แต่ในใจคือจะสู้เขาได้มั้ยเนี่ย”

ป๊อปปี้เล่าบ้าง “จริงๆ แต่ก่อนผมเป็นเด็กเต้นบีบอย เต้นกับโทโมะ แต่ครั้งนี้เหมือนว่ามีโอกาสได้เข้าไปออดิชั่น ก็เลยทำให้รู้จักพายุที่ตอนหลังอยู่ในกามิกาเซ่เหมือนกัน แล้วพายุชวนให้มาลองออดิชั่นกามิกาเซ่ ก็เลยมีผมเข้ามากับพายุ 2 คน พายุเขามีแนวของเขาอยู่แล้ว และก็มีเขื่อนเข้ามา เราก็เอ๊ะ เพิ่งเจอกัน เรารู้จักกันนี่ แล้วผมก็เลยชวนโทโมะเข้ามาลองออดิชั่น ก็เลยมาเป็น 3 คน เสร็จแล้วจงเบกับเคนตะก็ตามมา เป็นออดิชั่นผ่านอาร์เอสมาอีกทีครับ” เขื่อนเล่าอีก “แต่พี่จงเบก็เรียนโรงเรียนเดียวกับพี่โทโมะ พี่ป๊อปปี้ กลายเป็นวงที่รู้จักกันอยู่แล้ว เหมือนเป็นเซอร์เคิลเดียวกันหมดเลย”

โทโมะพูดบ้าง “จริงๆ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้ว ชอบเต้นบีบอย ทุกครั้งเราจะนั่งชิลๆ แต่พอสาวเดินมาเราก็จะเต้นบ่อยๆ ทำเป็นเก่ง (ยิ้ม) คือผมคิดว่าตัวเองเท่ตอนนั้น แล้วที่สนิทกับป๊อปปี้เพราะว่าตอนนั้นผมซื้อมือถือมาใหม่ แล้วป๊อปปี้เหมือนเอามือไปโดนแล้วตกลงไปแล้วเปิดไม่ติด ป๊อปปี้ก็บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ วันต่อมาเขาก็เอาเครื่องใหม่มาให้ครับ” เขื่อนรีบแย้ง “เขาไม่ได้เอาเครื่องใหม่มาให้ เขาเอาไปซ่อม”

จากนั้นเขื่อนเล่าถึงวันที่รวมตัวออกอัลบั้ม 5 คนอีกว่า “เขื่อนว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึง เด็กวัยนั้นอายุ 13-14 ก็จะมีความแบบเฮ้ย…เขาจะเข้ากับเราหรือเปล่า แต่พอแป๊บเดียวก็คลิกกันเลย อยู่ด้วยกันเป็นแฟมิลี่ครับ จริงๆ K-OTIC อยู่กันมานานมากเลยนะ ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โตมาด้วยกันหมดเลย” ถามว่าด้วยความที่อยู่ในเซอร์เคิลเดียวกันทำให้สนิทกันง่ายขึ้นมั้ย ป๊อปปี้บอกว่า “เป็นไปได้ สมมติเรามีเรื่องคุยกัน 3 คน อีก 2 คนก็เข้ามาจอยด้วยได้” เขื่อนเสริม “เออจริงนะ จริงๆ สำหรับวงที่เป็น 5 คน เราคลิกกันมากๆ เลย” โทโมะเสริมบ้าง “มันมีคัลเจอร์บางอย่างที่แชร์กันได้”

หลังออกอัลบั้ม

ป๊อปปี้เล่าถึงชีวิตและกระแสหลัง K-OTIC ออกอัลบั้มว่า “ดีนะครับ” โทโมะบอก “จำได้อย่างเดียวว่าผมย้อมผมสีทองข้างหน้า ใส่กางเกงเดฟสีแดง ชุดก็จะเอ็กซ์ตรีมนิดนึงครับ ก็สนุกดีครับ” ป๊อปปี้พูดต่อ “เป็นประสบการณ์ที่คิดว่าหาที่อื่นไม่ได้แล้วครับ เรานั่งรถตู้จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดต่างๆ ไปคลื่นวิทยุต่างๆ ได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้เราได้เห็นอะไรเยอะขึ้น หล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

ถามว่าแฟนๆ ว่าไงบ้าง ที่ได้ยินบ่อยคือจำได้มั้ยเคยเจอกันตอนเขาอยู่ ป.5 บางคนบอกว่าตอนนั้นอยู่ ม.2 ตอนนี้ทำงานมา 2 ปีแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก เราก็จำได้นะว่าเคยเห็นเขา เราก็ถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง คือเราอยู่ด้วยตั้งแต่เขาเด็กๆ จนตอนนี้ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง”

ถามว่าตอนนั้นคาดหวังไหมว่ากระแสจะแรง ป๊อปปี้บอกว่า “จริงๆ มีความกดดันตรงนี้นิดนึง เราก็อยากจะผลักดันตัวเองให้ถึงที่สุด แต่พอกลับมาตอนนี้คือ TKP เราก็คุยตั้งแต่แรกเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ว่าถ้ามันขึ้นได้ก็ดี แต่คงไม่พยายามดันเหมือนตอนที่เป็น K-OTIC เราอยากทำเพื่อความสบายใจเพราะเราอยากลองทำมัน ลองแสดงความเป็นตัวเองในวิธีของเรามากกว่า”

ถามว่าประทับใจอะไรบ้าง ป๊อปปี้เลยเล่าถึงชีวิตเมื่อเป็นบอยแบนด์ K-OTIC ว่าหลักๆ คือนั่งรถตู้ สัมภาษณ์คลื่นวิทยุ ไปเล่นคอนเสิร์ตต่อ ถัดจากนั้นก็ขึ้นเหนือล่องใต้ ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อย แต่ทุกครั้งที่มองกลับไปก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แฮปปี้ที่ได้อยู่กับเพื่อน ได้ไปเที่ยวไปเจอแฟนๆ ส่วนเขื่อนบอกว่า “คล้ายกับพี่ป๊อปปี้ แต่มีความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นมา คือพี่ๆ ทั้ง 4 คนเขารู้ว่าเขื่อนแตกต่างครับ เราอาจระบุไม่ได้ว่า LGBTQ+ คืออะไร ทุกคนรู้ว่าเขื่อนแตกต่าง แต่มองกลับไปในยุคที่ awareness education มันไม่เยอะแบบนี้ พี่ทั้ง 4 คนไม่เคยบูลลี่เรื่องนี้เลย เปิดอกต้อนรับน้องเล็กสุดอย่างดีและอบอุ่นมากนะครับ โดยที่ไม่ต้องอธิบายหรือต่อสู้เพื่อมีจุดยืนครับ ไม่รวมโลกข้างนอกนะ เพราะเขื่อนโดนไซเบอร์บูลลี่หนักมาก”

ด้านโทโมะบอกว่า “รู้สึกประทับใจแฟนคลับที่เวลาเราไปต่างจังหวัด เขาจะเตรียมเหมือน Food Support มีขนมมาให้เยอะมากก่อนที่เราจะเดินทาง หรือเวลาเราไปถึงสนามบินก็จะมีแฟนคลับจากจังหวัดนั้นมาต้อนรับเรา เหมือนเขาให้การต้อนรับเราดีตลอด ไม่ว่าจะไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็คอยซัพพอร์ตตลอดเวลาทั้งทางออนไลน์หรือเจอกันต่อหน้า ทุกคนน่ารักมากๆ ครับ”

ชีวิตหลังแยกย้าย

แม้กระแสตอบรับที่มีต่อ K-OTIC จะดีมาก แต่ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเพราะจังหวะชีวิตแต่ละคนที่ต้องแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ป๊อปปี้เล่าว่า “ตอนนั้นเริ่มจากว่ามีภารกิจ จงเบต้องกลับประเทศไปเกณฑ์ทหาร แล้วผมกำลังเข้าเรียนปี 4 และจะไปนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองนอก จริงๆ จังหวะมันพอดีกันมากเลย เอาจริงๆ หลังจากวันนั้นที่เล่นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย ไม่ได้เจอกันครบ 5 คนนานมาก มันก็เป็นเรื่องของจังหวะมากกว่าที่ทำให้ไม่ได้ทำต่อครับ”

เขื่อนเล่าต่อ “ของหนูก็เหมือนพี่ป๊อปบอกคือเป็นจังหวะ ก็กลับมาเรื่องความหมายของชีวิต พอใจกับทุกอย่างที่เคยทำมา ปลื้มปริ่มกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่มันกลับมาที่ความหมายที่เราเป็น LGBTQ+ ตอนนั้นหนูยังไม่ค่อยรู้จักตัวเองว่าต้องการอะไร เป็นการเดินทางครั้งใหม่ ก็อยากเข้าใจตัวเองมากขึ้น อยากทำงานเรื่องสุขภาพจิต เปลี่ยนสายอาชีพไปเป็นนักจิตบำบัด ก็เปลี่ยนเส้นทางไปเลยครับ”

ส่วนโทโมะเล่าถึงชีวิตตัวเองว่า “ก็ตั้งแต่ K-OTIC ยุบวงไป มีช่วงนึงที่เรา 3 คนรับคอนเสิร์ตที่เป็นโทโมะ เขื่อน เคนตะ จากนั้นก็เริ่มรับงานแสดง แสดงละครบ้าง เล่นหนังบ้าง ก็หางานในวงการบันเทิงครับ” เขื่อนถามโทโมะว่าถ้ามีคนติดต่อให้เล่นละครจะเล่นไหม โทโมะตอบ “ก็ต้องดูว่าเราไปแคสต์แล้วผู้กำกับเขาโอเคมั้ย” เขื่อนถามอีกว่าถ้าเขาโอเคแล้ววันนั้นมีคิวร้องเพลงด้วยจะเลือกอะไร โทโมะตอบยิ้มๆ “อันนี้ต้องดูที่ตัวเลือกแล้วครับ (ยิ้ม)”

ป๊อปปี้เล่าถึงชีวิตหลังไปเรียนต่อและกลับมาว่า “ของผมก็ทำงานหลากหลายมากเลยครับ ไปหาตัวเองอยู่สัก 2-3 ปี สุดท้ายผมมาเปิดบริษัททำสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็ก ก็จะทำพวกการ์ตูน เกม ระบบการเรียนรู้ตอนเข้าโรงเรียนครับ ก็ต่างจากงานในวงการ แต่ก็ยังใช้ความรู้ เช่น เราทำการ์ตูน เราเห็นผู้กำกับเขากำกับมาตลอดว่าประมาณนี้ หรือแต่งเพลง ตอนนี้ก็แต่งเพลง ก.ไก่ คือเรารู้วิธีการทำพวกนี้มาปรับให้เป็นสำหรับเด็ก”

เมื่อเขื่อนถูกบูลลี่

ในยุคที่ไซเบอร์บูลลี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่าศิลปินดาราอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการรณรงค์เพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงเห็นคำพูดสารพัดบูลลี่จากโลกออนไลน์อยู่เสมอ เขื่อนก็เป็นอีกหนึ่งคนดังที่เคยถูกไซเบอร์บูลลี่อย่างหนัก เราถามว่าในช่วงแรกๆ ที่เจอเรื่องนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง เขื่อนบอกว่า “ไม่เข้าใจ รับไม่ทัน ยุคเขื่อนเหมือนเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งจะมาเข้ามือถือ ตอนนั้นที่เขื่อนโดนมันหนักมาก เพราะมันไม่มีฟิลเตอร์เลยว่าอันนี้มันบูลลี่นะ อันนี้คือ shame นะ เขื่อนโดนหนักมากๆๆๆ

ตอนเด็กๆ คิดว่าเราไม่รู้สึกนะ แต่พอโตขึ้นมาก็เข้าใจว่าไม่ใช่รู้สึกแต่เลือกที่จะปิดกั้นมันออกไป แต่อย่าลืมว่าถ้าเราปิดกั้นส่วนนึงของความรู้สึกเรา มันเหมือนปิดกั้นเราไปส่วนนึงด้วย เขื่อนก็ต้องใช้เวลาในการเยียวยาว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวัยเด็ก โตมาแล้วการรักษาตัวเองคืออะไร ก็ต้องใช้เวลากับมันไปเรื่อยๆ ครับ ทุกวันนี้สิ่งที่เขื่อนตั้งใจมากผ่านงานจิตบำบัด หรือเรื่องพื้นที่ปลอดภัย คือรณรงค์เรื่องความแตกต่าง ความเท่าเทียม เรื่องบูลลี่คืออะไร เราจะผลักดันเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ”

ถามว่าตรงนี้ทำให้เราไปเรียนด้านจิตบำบัดด้วยมั้ย เขื่อนตอบว่า “อาจจะเป็นหนึ่งในส่วนนั้น แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด เหตุผลหลักที่เขื่อนไปเรียนจิตบำบัด เพราะเขื่อนมองกลับมาที่ครอบครัวเขื่อน มองกลับมาที่สังคมไทย สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยกล้าพูดถึง พูดแล้วมันมี stigma (ความด่างพร้อย) มีแนวคิดที่แบบ… มันทำให้ไม่ง่ายครับ คนที่ไม่สบายหรือทรมานกับตรงนี้อยู่แล้วไม่กล้าขอความช่วยเหลือครับ รู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำแล้วใครทำล่ะ ก็เลยไปตามความหมายของตัวเอง ก็ใช้ความหมายแล้วกัน เพราะมันมีความหมายกับเขื่อนครับ”

ช่วงที่โดนหนักๆ ทำให้ความรู้สึกดาวน์ลงไปเยอะไหม เขื่อนบอกว่า “ก็กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ กลายเป็นว่า ตอนนั้นเราบอกตัวเองว่าเราไม่รู้สึก แต่จริงๆ รู้สึก แต่เราปิดตัวเอง ก็คือตัวเองหายไปแล้ว 1 ส่วน 3 และอีกสิ่งที่บอกกับตัวเองก็คือถ้าเขารับเพศเราไม่ได้ ต้องเป็นคนเก่ง ตอนนั้นเลยทำอะไรก็ใช้ร่างกายเป็นหุ่นยนต์ครับ ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่สบายก็ไปทำงาน จะทำอะไรก็รู้สึกต้องเก่งที่สุด จะเรียนต้องตั้งใจ เป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่ดี เป็นบริบทที่ตั้งบรรทัดฐานให้กับตัวเองครับ ก็กลายเป็นว่าความเป็นตัวเองก็หายไปอีกท่อนนึง มันก็ค่อยๆ ปลดล็อกทีละส่วนครับ”

ถามว่าทุกวันนี้ดีแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ไหม เขื่อนบอกว่า “เขื่อนจะไม่มีวันถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ เขื่อนเชื่อว่าวันที่เขื่อนร้อยเปอร์เซ็นต์คือ 2 แบบ ก็คือวันที่เขื่อนเลิกค้นหาตัวเองแล้ว วันนั้นคงมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างครับ หรือวันที่เขื่อนตาย เพราะเขื่อนเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์คือการเข้าใจตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ ไม่อยากบอกว่าเพิ่มวันละเปอร์เซ็นต์ เพราะเท่ากับว่ามันต้องมีวันดีร้อยเปอร์เซ็นต์ คือค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ เดินหน้า เมื่อก่อนอยู่กับทุกข์ไม่ได้ ความสุขเป็นความสุขที่คนอื่นมอบให้ แต่วันนี้เขื่อนกล้าพูดว่าเขื่อนมีความสุขและมีทุกข์ในการเป็นตัวเอง เขื่อนกล้าพูดว่าอันนี้เป็นตัวเองที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในชีวิตครับ วันนี้เราอยู่กับความสุขกับความทุกข์ของตัวเองได้”

ถามว่าให้กำลังใจยังไง ป๊อปปี้บอกว่า “ก็ให้กำลังใจ อย่างที่คนพูดถึงเขื่อน เขาพูดถึงเขื่อนในมุมมองที่ไม่รู้จัก ผมรู้จักเขื่อนมาก่อนหน้านี้ ถึงแม้วันนี้เขื่อนจะเป็นอะไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่าเขื่อนก็คือเขื่อนคนเดิมที่ผมรู้จัก เราเจอกันผมก็ไม่ได้มองเขาว่าเขาใส่ชุดอะไร แต่ผมมองว่านี่คือเพื่อนของเราที่รู้จักมานาน เพราะฉะนั้นเหมือนตอนนี้ก็ยังมองเขื่อนเป็นเขื่อนครับ ถ้าเรารู้จักคนคนนึงจริงๆ แล้ว มันจะไม่มานั่งโฟกัสกับอะไรเล็กน้อยขนาดนั้น ผมว่าเรื่องไซเบอร์บูลลี่คือการที่พยายามมองคนอื่นจากภายนอก จากการที่เราไม่รู้จักเขาและไปตัดสินเขาแล้ว จริงๆ เราเข้าใจเขื่อนว่าทำไมถึงเป็นลุคนี้”

โทโมะพูดบ้าง “ผมไม่ได้ซัพพอร์ตเขื่อนด้วยการพูดว่าไม่เป็นไรนะ แต่สิ่งที่ผมซัพพอร์ตคือผมเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเขื่อนจนถึงทุกวันนี้ โดยที่เราไม่ต้องมาโฟกัสเรื่องนี้เลย คือแทบไม่ได้คุยเรื่องคนมาบูลลี่ ถ้ามีอะไรเขื่อนคงติดต่อมาเองหรือเปิดใจกับพวกเราถ้าเขื่อนไม่ไหวจริงๆ แต่ทุกวันนี้ผมอยู่กับเขื่อนและเป็นเพื่อนกันแบบนี้ ผมก็รู้สึกว่าเป็นการซัพพอร์ต สุดท้ายผมก็เป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่วันแรกที่เจอเขื่อน ไม่ว่าเขื่อนจะเปลี่ยนการแต่งตัวยังไง ผมก็รู้สึกว่าเขื่อนก็เป็นเขื่อนคนเดิมครับ”

ซึ่งเขื่อนเผยความรู้สึกหลังได้ฟังเพื่อนๆ พูดว่า “ชอบนะ เป็นการได้ยินคำว่าซัพพอร์ตที่ดีมาก เป็นการซัพพอร์ตที่ไม่ได้ซัพพอร์ตคนอื่นเพื่อตัวเองที่ดูเป็นการซัพพอร์ตแบบประดิษฐ์ แต่อย่างที่พี่ๆ อธิบายหนูนั่งฟังแล้วยังรู้สึกว่าอันนี้เป็นการซัพพอร์ตที่มาจากความเข้าใจความรู้สึกจริงๆ คือซัพพอร์ตที่เขาเป็นแบบนี้จริงๆ พูดแล้วก็อยากมีแฟนมาซัพพอร์ตบ้าง (ยิ้ม)”

TKP การรวมตัวในรอบ 10 ปี

เราถามถึงการกลับมารวมตัวอีกครั้งของพวกเขาหลังจากวง K-OTIC ยุบไป ซึ่งเขื่อนบอกว่า “น่าจะเกิน 10 ปี หนูไม่อยู่ที่นี่ก็ 7-8 ปีแล้ว เมื่อก่อนตอนเขื่อนไปเราก็แยกกันแล้ว” ป๊อปปี้เล่าต่อ “ถามว่ารวมตัวได้ยังไง คือหลังจากแยกวง แต่ละคนก็ไปทำงานของตัวเอง ไม่ค่อยได้คุยกันในช่วง 5-6 ปีแรก พอเขื่อนไปเรียนที่อังกฤษ มันก็เหมือนกับว่าทุกครั้งที่เขื่อนกลับมา มันเป็นโอกาสที่กลับมาทานข้าวด้วยกัน พอทำไปสักพักก็เริ่มเจอกันบ่อยขึ้นๆ พอเขื่อนกลับมาไทยปุ๊บก็เลยกลายเป็นชินแล้วกับการไปกินข้าว เจอกันไปมาก็ถามกันว่าถ้างั้นลองทำเพลงกันดูมั้ย ก็เลยเกิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมา เป็นวง TKP”

เขื่อนเสริม “ที่พี่ป๊อปปี้พูดมาคือถูกต้องเลย คือเรากลับมาบ่อยๆ พอได้เจอกันก็เออ ก็ดีเนอะ จริงๆ พวกเรารู้จักกันก่อนมาเป็นเคโอติกอีกครับ พี่โทโมะกับพี่ป๊อปเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน เคยไปต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ยิ่งเราโตมามันชัดมากว่าพวกเราแตกต่างกันมาก จริงๆ แนวคิดใกล้กัน แต่แตกต่างเรื่องความชอบ อาชีพ สิ่งที่ทำ แพสชันแตกต่างกันมาก แต่มันอยู่ด้วยกันได้ครับ รักกัน เป็นห่วง แคร์กัน สุขทุกข์ด้วยกัน เราเลยรู้สึกว่าอยากมีอะไรตรงนี้ที่แชร์ออกไปให้คนอื่นเห็นด้วยว่าคนที่แตกต่างกันมันอยู่ด้วยกันและแคร์กันได้แบบนี้ แต่ในวันนี้มันออกมาในรูปแบบเพลง”

โทโมะพูดบ้าง “ก็มีความนึกถึงสมัยก่อนที่อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ซ้อมกันและมีคอนเสิร์ตบ่อยๆ พอกลับมาทำงานด้วยกันก็เลยทำให้การทำงานทุกอย่างคลิกกันเร็วมาก เพราะมันเป็นความเคยชินที่เราเคยทำมาหลายปีครับ รู้สึกสนุกเหมือนเดิมที่กลับมาร่วมงานกับเพื่อนๆ”

ป๊อปปี้บอกว่าการทำงานครั้งนี้อยากทำอะไรที่เป็นตัวตนของเรามากขึ้น มีการคิดคอนเซปต์ มีส่วนร่วม ตรวจงาน คิดบรีฟงาน ออกแบบโลโก้ ถ่ายเอ็มวี ซึ่งใช้ประสบการณ์จากตอนที่เป็นวง K-OTIC เป็นการกลับมาในอีกมุมมองหนึ่ง ถามว่าการทำงานแตกต่างจากเดิมไปมากน้อยแค่ไหน โทโมะบอกว่าแตกต่างเยอะ เพราะครั้งนี้ทั้ง 3 คนมีส่วนร่วมในแต่ละขั้นตอนมากขึ้น ถ้าตอนเป็น K-OTIC จะทำตามคอนเซปต์ที่เขาวางไว้ แต่ตอนนี้ต้องใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ต้องให้ทุกคนเช็กว่าโอเคไหม รู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้นและก็ภูมิใจในผลงาน ส่วนเขื่อนเล่าถึงสิ่งที่ชอบในการทำวงครั้งนี้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทั้ง 3 คนต้องรู้สึกปลอดภัย เพราะสิ่งที่ทำหรือพูดออกไปเรารู้สึกปลอดภัยที่จะแชร์ตรงนี้ พอมาอยู่ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ของเราก็รู้สึกดี

ถามว่าเพื่อนๆ อีก 2 คน เคนตะ-จงเบ ว่ายังไงบ้าง เขื่อนบอกว่า “เขาน่ารักมาก เขาซัพพอร์ตสุดเลยครับ อย่างพี่จงเบตอนปล่อยซิงเกิลแรกเขาก็วิดีโอคอลมาและไม่ยอมวางสายด้วย ล่าสุดไปถ่ายโปสเตอร์แล้วเจอพี่เคนตะ พี่ป๊อปกับพี่โทโมะไม่รู้ตัว แต่เขื่อนถ่ายวิดีโอไว้ เจอกันปุ๊บก็เข้าไปกอดกันเลย ก็คุยอัปเดตชีวิตว่าเป็นยังไง ดูแลกันซัพพอร์ตกันเหมือนเดิมเลย”

และการกลับมาครั้งนี้ทั้ง 3 คนได้มาร่วมงานกับ URBOYTJ ทั้งแต่งเพลงและร่วมฟีเจอริ่ง ซึ่งเขื่อนเผยเหตุผลที่เลือกเขามาร่วมงานว่า “จริงๆ ความสัมพันธ์นอกจากงานของเรา ก็มีความสัมพันธ์กันและกันอยู่แล้ว เราทำงานด้วยกันที่กามิกาเซ่ ต่อให้แยกย้ายกันไปก็คุยกันอยู่ อย่างที่บอกตั้งแต่แรกเลยว่าการทำงานของพวกเรา 3 คนสิ่งสำคัญคือรู้สึกปลอดภัย เข้าใจกัน ทีเจตอบโจทย์มากครับ เราบอกเขาได้ว่าเราอยากได้อะไร เราไว้ใจเขาในเรื่องทำเพลง และเขื่อนว่าด้วยความที่ทีเจเข้าใจในสิ่งที่เราอยากได้ มันคลิกกันไปหมดเลยครับ

กลายเป็นว่าเราไปทำงานก็เหมือนไปเจอเพื่อนคนนึง แต่แทนที่แค่จะจ่ายเงิน เราได้ผลงานออกมา ได้ความรักความแคร์กลับไปครับ มันเป็นความสัมพันธ์ที่เราแชร์กันครับ” โทโมะเสริม “เขาค่อนข้างเข้าใจเราด้วยว่ามีคาแรกเตอร์ประมาณไหน เราคุยกัน ฟังเดโมแล้วคิดว่าถ้าผมร้องอาจไม่เข้าปากนะ เขาก็เข้าใจแล้วบอกว่าเดี๋ยวไปปรับให้ดีขึ้น ซึ่งผลงานออกมาพวกเราพอใจ แฮปปี้มาก”

ผลงานใหม่

จากนั้นเขื่อนเล่าถึงการทำซิงเกิลแรก “เปลี่ยนไม่ได้ (Can’t Change)” ว่า “เพลงแรกทีเจเป็นโปรดิวเซอร์และช่วยแต่ง ดูคอนเซปต์ ชื่อเพลงเนี่ยเราตีโจทย์ว่าความรักเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ มันตีเป็นปัจเจกได้เยอะมาก ซึ่งก็เอาไปใช้กับความรักที่เราให้คุณค่า มีความหมายที่ดีต่อจิตใจเรา ต่อให้พยายามหรือไม่พยายามหรือกาลเวลาก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็เปลี่ยนไม่ได้”

ป๊อปปี้เล่าถึงกิมมิกของมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ว่า มีฉากจากเอ็มวีโน้นนี้เก่าๆ มาผสมผสานอยู่ด้วย ถ้าใครดูและจำเอ็มวีเก่าๆ ของ K-OTIC ได้ ก็จะสามารถเชื่อมโยงกัน ซึ่งได้ผู้กำกับคือพี่เอาท์มาช่วยสร้างเป็นภาพนี้ขึ้นมา ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยเอ็มวีก็มีแฟนๆ จำได้ ก็ตกใจเหมือนกันเพราะกะว่าจะมาเฉลยทีหลัง แต่กลายเป็นว่าแฟนๆ จับได้หมดเลย

ส่วนเรื่องเพลง โทโมะบอกว่าแฟนเพลงชอบเพราะฟังแล้วคิดถึงวัยเด็ก เพราะเขาโตมากับพวกเรา แนวเพลงยังมีความเป็น K-OTIC ระดับหนึ่ง เรื่องดนตรีหรือสไตล์เพลงมีความเป็น K-OTIC มากๆ ให้อารมณ์ย้อนวัย เมื่อถามถึงฟีดแบ็กที่ดี เขื่อนบอกว่า “มันคือความสุขเลยค่ะ ตื้นตันเพราะว่าทุกคนก็แคร์ เราทำเราใส่ใจ พอเราเห็นฟีดแบ็กก็ปลื้มปริ่มมากเลยค่ะ”

จากฟีดแบ็กเพลงแรกที่ดี ล่าสุด TKP ปล่อยซิงเกิลที่ 2 “เจ้าชู้” ซึ่งป๊อปปี้บอกว่า “เป็นเพลงที่สดใสมากขึ้น จริงๆ แล้วพอเรานั่งคุยกัน เราจะอยากค่อยๆ ค้นหาตัวเองในมุมมองของเรา 3 คน อย่างผมคนนึงรู้สึกว่าอยากทำเพลงชิลๆ สว่างๆ ลองจับอะไรใหม่ๆ ดู พอเรากลับมาก็เฮ้ย ตอนนั้นเราเคยมีอะไรอยากทำบ้างที่ยังไม่ได้ทำ ก็เลยอยากจะปรับและหาแนวทาง ดังนั้นซิงเกิลหลังจากนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะลองค้นหาอะไรใหม่ๆ ดึงโน่นดึงนี่มาทำมากขึ้น เพลง “เจ้าชู้” ถึงออกมาเป็นเพลงที่สดใส จังหวะสนุกๆ มีแร็ป ร้องเต้น แต่ด้วยวัยนี้เราก็เต้นเต็มไม่ค่อยได้ (ยิ้ม) เลยใช้นิ้วเต้นแทน”

เขื่อนบอกว่า “โดนแซวเยอะมากที่ใช้นิ้วเพราะอายุเยอะแล้วใช่มั้ย น้องๆ แซวไม่หยุดเลย (ยิ้ม)” ป๊อปปี้ยอมรับ “ความเป็นจริงก็คือใช่ (หัวเราะ) คือเราชอบเพลงแบบนี้” เขื่อนพูดต่อ “กายหยาบเราเต้นได้น้อยลง (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ พวกหนูตีลังกากลับหลังเลยนะ แต่ในวัยนี้ตีปุ๊บ อาจจะตายปั๊บได้เลย แต่ก็อย่างที่พี่ป๊อบบอก มันเป็นการเดินทางของงานดนตรีที่ได้ค้นหาตัวเอง ไม่ได้ฟิกซ์ว่าเป็นแบบไหน ส่วนเรื่องเต้นจริงๆ จะบอกว่าพี่ๆ เวลาเผลอคนไม่มองก็เต้นได้นะ เต้นไม่หยุด เขื่อนเป็นคนที่ยิ่งโตยิ่งเต้นแรงใช่มั้ยคะ ยังคิดในใจเลยว่าพี่ป๊อปพี่โทโมะเต้นแรงไปมุ้ย (ยิ้ม) เขาเต้นได้แต่เขาปวดหลังจริงๆ นะ” ป๊อปปี้รีบบอกทันที “พอโตขึ้นมาก็เกร็งๆ หน่อย แต่เพลง “เจ้าชู้” ไม่ได้เหมาะกับการเต้นรุนแรงขนาดนั้น เป็นเพลงที่ฟังแล้วอาจจะโยกๆ”

จากนั้นป๊อปปี้เล่าถึงเพลงนี้เพิ่มเติมว่า “เพลงนี้ได้ URBOYTJ มาช่วยแต่งเหมือนกัน ก็ได้เพลงที่เราชอบมาก เนื้อเพลงก็ดีมากเหมือนกัน เนื้อเพลงคนจะคิดว่าเพลงนี้ต้องไปว่าใครแน่เลย แต่เพลงเจ้าชู้คือหมายความว่าจริงๆ แล้วคนที่เราคุยด้วยอยู่เขาอาจจะชอบไปเที่ยวโน่นนี่ แต่เราให้ความสบายใจกับเขา ไปไหนเธอก็ไป ขอแค่เรากลับพร้อมกัน เราเชื่อใจกัน เป็นความรักอีกแบบนึง” เขื่อนเสริม “คือความรักที่ไม่ครอบครอง เข้าใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัย รักและเคารพกัน”

ส่วนฟีดแบ็กจากแฟนๆ เขื่อนบอกว่า “เท่าที่ฟัง เพลงนี้ถ้าเทียบกับเพลง K-OTIC เป็นอีกเพลงที่มีความสดใสสูงอยู่ พอทุกคนได้ฟังก็รู้สึกแฮปปี้ เป็นโทนเพลงที่มีกลิ่นอายวันเก่าๆ มีความสนุก ฟังสบายๆ” ป๊อปปี้เสริม “แฟนๆ จะพูดเยอะเรื่องของเอ็มวีเป็นอีกสไตล์นึงที่เราไม่เคยทำมาก่อน เอ็มวีนี้ก็ได้หลินกับตั้นมาช่วยกำกับ ก็ช่วยกันคิด ตีความมาว่าเหมือนเรารอคนคนนึงอยู่ที่บ้าน เราก็เวิ่นเว้อแต่ก็ให้ความสบายใจกับเขา เราก็หาโน่นนี่ทำฆ่าเวลา เป็นมุมที่เรายังไม่เคยได้ทำ แฟนๆ ก็ชอบ เสื้อผ้าก็เป็น 80’s หน่อย เป็นลุคใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน”

ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง

นอกจากทั้ง 3 คนจะกลับมารวมตัวในฐานะ TKP แล้ว ล่าสุด 5 สมาชิก K-OTIC จะกลับมารวมตัวอีกครั้งในคอนเสิร์ตครั้งใหม่ของกามิกาเซ่ “Kamikaze Party 2022” ซึ่งป๊อปปี้บอกว่า “จริงๆ 5 คนที่รวมตัวกันก่อนมีช่วงก่อนโควิดที่ไปเล่นตามงานเล็กๆ แต่ว่าถ้าเป็นคอนเสิร์ตนี้ซึ่งเต็มรูปแบบ คิดว่าต้องสนุกมากๆ แน่นอนครับ” ถามว่าหาดูยากกว่าจะรวมตัวกันครบใช่ไหม เขื่อนบอกว่า “น่าจะระดับนึงครับ เพราะอย่างที่บอกเลยว่า 5 คน 5 เวลา 5 อาชีพ คือพวกเราแตกต่างกันจริงๆ แต่มีความรัก ความเข้าใจ มีเวลาที่พิสูจน์ความสัมพันธ์มาตลอด ถ้าเป็นเด็กๆ คือจับปูใส่กระด้ง จะซนๆ ดื้อๆ นิดนึง พอโตมาทุกคนมีความรับผิดชอบของตัวเอง”

ถามว่าตื่นเต้นมั้ยที่รวมตัวอีกครั้ง เขื่อนบอกว่า “ตอนเด็กๆ เขื่อนไม่เป็นนะที่ขึ้นเวทีแล้วใจสั่น แต่ทุกวันนี้เราทำงานที่คลินิกเยอะขึ้น เราก็เจอแค่คนไข้ 1:1 พอกลับมาขึ้นเวทีคือตื่นเต้นนะ แต่พอถามคนรอบข้างว่าเป็นยังไง เขาบอกว่าดูไม่ออกเลย ดูชิล แต่จริงๆ คือตื่นเต้นครับ เพราะมันอยู่นอกเหนือชีวิตประจำวัน เขื่อนว่าเขื่อนตื่นเต้นจากเวที เพราะอย่างพี่ป๊อปพี่โทโมะเขาดึงประสบการณ์การกลับมาเป็นเขาในวัยเด็กได้ อย่างหนูจะตื่นเต้นเพราะว่าวันนี้กลับมาและได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็นแล้ว เขื่อนต้องการความอบอุ่นหรืออะไรที่ทำให้เราปลอดภัย เขื่อนมองกลับไปเป็นเขื่อนอีกเวอร์ชันนึง พอเราอยู่บนเวทีและหาความนิ่งในใจมันอาจจะน้อยกว่า เพราะเรานึกไปถึงปุ๊บมันเป็นอีกคนที่เรารู้จัก เลยยังเป็นความตื่นเต้นตรงนี้อยู่”

ป๊อปปี้บอกว่า “ถ้าเป็นโชว์ผมโอเคนะครับ ตอนแรกอาจจะกลัว แต่พอขึ้นไปแล้วความรู้สึกเดิมๆ เก่าๆ เวลาร้องเพลงแล้วมีคนร้องตาม รู้สึกเป็นพื้นที่ที่เราชอบ แฮปปี้ กลับมาก็รู้สึกสนุก ได้ความรู้สึกๆ เดิม แต่ที่กลัวคือถ่ายแบบ ถ่ายงาน ปกติเป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว พอให้ทำท่าหน่อยก็จะมีอยู่ 3 ท่า แต่มาคราวนี้เขื่อนเขาเริ่มช่ำชอง ถ้าถ่ายแล้วมี 2 คนนี้ช่วยบิลด์อยู่ก็เริ่มสบายใจขึ้น”

โทโมะพูดบ้าง “ก็ตื่นเต้นในแง่ที่ว่า…” เขื่อนรีบแซว “คอนเสิร์ตนี้จะถอดเสื้อมั้ย” โทโมะหัวเราะเขินก่อนตอบ “อันนั้นมันหลายปีที่แล้ว อันนี้ต้องรอดูก่อนครับ แต่ถ้าตื่นเต้นก็จะตื่นเต้นที่เจอแฟนคลับมากกว่า เพราะแฟนคลับไม่ได้มาดูคอนเสิร์ตนี้มานานเนื่องจากโควิด ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอแฟนๆ หรือคนที่มาดู มีการโต้ตอบกับคนดูจริงๆ ที่ไม่ใช่ในออนไลน์ รู้สึกตื่นเต้นครับ”

ถามว่าเตรียมอะไรเป็นพิเศษมั้ย เขื่อนตอบว่า “ต้องรอดูเลย สปอยล์ยากมากเพราะว่ารู้สึกว่าถ้าสปอยล์แล้วก็สปอยล์เลย ส่วนเรื่องความพร้อม ถ้าไม่รวมเรื่องปวดหลังก็พร้อมมาก ตอนไปถ่ายแบบก็เกือบครบ มีแค่พี่จงเบมาแค่ตุ๊กตาเพราะเขาไม่สบายเลยไม่ได้มา แต่ก็ได้เจอกัน 4 คน” เมื่อถามว่าเตรียมตัวไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว เขื่อนบอกตรงๆ “5 เปอร์เซ็นต์ (หัวเราะ) คือโปสเตอร์เสร็จแล้ว แต่ด้วยความที่ TKP เพิ่งออกมาแค่ 2 ซิงเกิล เวลาไปโชว์ก็มีการซ้อมมาบ้าง K-OTIC ก็รวมตัวมาบ้างแล้ว มีการซ้อมมาตลอด เพราะฉะนั้นก็เริ่มปลุกความทรงจำในร่างกายขึ้นมาได้ ถ้ารวมๆ ก็ 8 เปอร์เซ็นต์ครับ

เอาอย่างนี้ดีกว่า คอนเสิร์ตนี้จริงๆ จะมีตั้งแต่หนูยังไม่ย้ายกลับมาไทย เพราะฉะนั้นพูดถึงอาร์เอส เราต้องเคลียร์เรื่องนี้เลยนะคะ เขื่อนซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับทิ้ง 2 รอบนะ อันนี้ไม่ได้พูดเพื่ออะไรเลยนะคะ (หัวเราะ) เพื่อให้เห็นว่าใจเรามันพร้อมมานานมากค่ะ” ป๊อปปี้เสริม “อีก 92 เปอร์เซ็นต์ผมเชื่อว่าพอเป็น K-OTIC และกามิกาเซ่ มันต้องกลับมาคิดโชว์ให้มันยิ่งใหญ่ มันเป็นโชว์ที่อยู่ในพื้นที่ใหญ่มาก ฉะนั้นตอนนี้มันอยู่ในช่วงที่เรากำลังเบรนสตรอมไอเดียว่าโชว์จะประมาณไหนครับ”

20 ปีที่รู้จัก

เมื่อให้ทุกคนแชร์ถึงความประทับใจกันและกันตลอด 20 ปีที่รู้จักกันมา เขื่อนรีบตอบทันที “เขื่อนภูมิใจในตัวพวกเราทั้ง 3 คนเลย เขื่อนกล้าพูดเลยว่าเรา 3 คนไม่ได้มีชีวิตแบบ… ภาพที่ทุกคนเห็นผ่านสื่อ ชีวิตอาจจะแบบก็ดีนี่ จริงๆ พวกเรามีช่วงมรสุม มีทุกข์และสุข เขื่อนภาคภูมิใจและดีใจมากที่วันนี้เราอยู่ตรงนี้ด้วยกันได้ ซัพพอร์ตกัน ได้ทำอะไรที่อยากแชร์ให้คนอื่นเห็นว่าพื้นที่ปลอดภัยมันมีจริงๆ นะ ถ้าเกิดเราช่วยกันสร้าง แค่วันนี้มันออกมาในรูปแบบเพลง เขื่อนเลยภูมิใจว่าวันนี้พี่ๆ 2 คนสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยตรงนี้และแชร์ออกไปได้ครับ”

โทโมะเล่าความประทับใจว่า “สำหรับผมก็ประทับใจทั้งสองคนที่ทุกวันนี้ทำงานด้วยกันได้เหมือนเมื่อก่อน เราคลิกกัน ต่างคนต่างโตมาในแบบคุณภาพดี ป๊อปปี้เป็นคนที่เก่งระดับนึง ทำโน่นนี่หลายอย่าง เขื่อนก็มีสกิลของตัวเอง ผมประทับใจ…” เขื่อนแทรกทันที “เมื่อกี้ชมพี่ป๊อปปี้เยอะมาก ทำไมของเขื่อนมีนิดเดียว” โทโมะรีบพูดทันที “ไม่ ก็มีสกิลในเรื่อง psychotherapist อะไรพวกนี้ครับ อาชีพแต่ละคนผมรู้สึกว่าเออ ประทับใจและภูมิใจกับเพื่อนๆ มาก รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาทำงานด้วยกันตรงนี้ได้ ประทับใจมากครับ”

ป๊อปปี้บอกว่า “ประทับใจเรื่องความเหมือนเดิมครับ เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ว่าตอนเด็กๆ เราเป็นเพื่อนกันในฐานะบีบอยหน้าโรงเรียน ไปค่ายเมืองนอก ทุกคนโตมาแล้วมีเส้นทางของตัวเอง เขื่อนกับโทโมะก็เจอทางของตัวเอง เวลาผ่านไปเราก็ยังเป็นเพื่อนด้วยความเป็นเพื่อนจริงๆ เรามาคุยกันทุกอย่างก็เหมือนเดิม แค่ห่างหายกันไป 5 ปีแล้วมานั่งโต๊ะเดียวกัน การสนทนาก็เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเราถามกันมากขึ้นว่าเป็นยังไงบ้าง มีอะไรในใจหรือเปล่า มันดูออกได้ ถึงแม้เป้าหมายมันเปลี่ยนไป แต่แกนหลักของพื้นฐานมันเหมือนเดิม ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่มีคนคุยด้วยได้ เราผ่านทุกสเตจชีวิตมาเหมือนกัน เราเห็นกันมาตลอด แต่เขายังเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับเรา อยู่กับเรา เข้าใจเราในทุกสเตจ”

เขื่อนเสริมอีก “อันนี้เขื่อนสารภาพ ปกติจะไม่เหมารวม แต่วันนี้เหมารวมนะครับ พวกเราเป็นมนุษย์ 3 คนที่เพื่อนไม่เยอะนะครับ ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่าพวกเรา 3 คนเป็นคนแบบนี้ เพื่อนไม่เยอะ แต่ทางกลับกันเราก็มีกันและกันตรงนี้แหละ อย่างที่พี่ป๊อปปี้บอกว่าเลือกที่จะอยู่ด้วยกันและแชร์กัน มีอะไรก็บอกกัน มันเลยแฮปปี้มากจริงๆ ครับ”

จากนั้นโทโมะขอบคุณแฟนๆ ว่า “ก็อยากขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามพวกเราตั้งแต่ K-OTIC ตั้งแต่รู้จักพวกเราวันแรกๆ จนถึงทุกวันนี้นะครับ ขอบคุณมากๆ ที่ทุกครั้งที่เจอกันก็ซัพพอร์ตพวกเรามาตลอดตามงานต่างๆ ขอบคุณทุกคนมากครับ” ป๊อปปี้บอกว่า “ก็ขอบคุณทุกคนเหมือนกัน จริงๆ เราชอบที่ได้คุยกับแฟนคลับทุกคน ได้เห็นได้ฟังเขา ไม่ว่าจะเป็นยังไง เราชอบฟังเรื่องราว และยิ่งเห็นความเติบโตของแต่ละคนจากเป็นเด็กและโตขึ้นมา เป็นอะไรที่รู้สึกดีที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของเขาด้วย ก็ขอบคุณมาก และหวังว่าเราจะได้ยินเรื่องราวไปเรื่อยๆ”

เขื่อนปิดท้ายถึงแฟนๆ ว่า “เขื่อนพูดตลอดถ้ามีโอกาส เวลามีคนขอถ่ายรูป เขื่อนจะบอกเลยว่าห้ามเกรงใจ ไม่ว่าเขื่อนจะทำอะไรก็ตามเข้ามาได้เลย เพราะทุกวันนี้เขื่อนมีโอกาสในชีวิต เป็นนักจิตบำบัด เพราะทุกคนซัพพอร์ตเขื่อน ฉะนั้นขอบคุณทุกการซัพพอร์ตเลย ถ้าโควิดดีขึ้นแล้ว อยากกอดอยากขอกำลังใจบอกได้ตลอดเลยครับ และขอฝาก TKP กับซิงเกิลใหม่ด้วยนะครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2434146
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2434146