เติร์ด Tilly Birds เปิดใจครั้งแรก สูญเสียพ่อแม่ไปต่อหน้าไม่ทันตั้งตัว


ให้คะแนน


แชร์

คุณโตมากับวงไหน พ่อแม่ชอบเปิดเพลงแบบไหน?

“เขาจะชอบเปิดเพลงของ วิทนีย์ ฮุสตัน กับ มารายห์ แครี มาก ตอนฟังก็จะรู้สึกว่ามันร้องยากดีนะ ทำไมเขามีพลังจังเลย เราก็เลยได้ซึมซับความ Diva จากตรงนั้น ซึ่งทำให้ Tilly Birds ไม่เหมือนกับวงอื่น ถ้าเราไปดูคอนเสิร์ตหรือฟังเพลง มันจะมีความแบบว่าแปลก (หัวเราะ)”

เรื่องของชีวิตตอนนี้จิตใจคุณเป็นอย่างไรบ้าง?

“จิตใจตอนนี้มีความขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกัน สวิงเหมือนกัน เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมเสียป๊าและแม่ไป ผมก็คือกลับมาทำงานเลย จัดงานศพ บวชหน้าไฟเสร็จ เรากลับมาทำงานต่อเลย ไปแต่งเพลง ไปเล่นคอนเสิร์ตเลย ไม่ค่อยได้มีเวลาโฟกัสกับตัวเองเท่าไร ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเองว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงบ้าง เราเครียดเรื่องอะไรบ้าง หนักใจไม่สบายใจเรื่องอะไรบ้าง”

เวลาที่จะได้มีโอกาสทบทวน หรือว่าดูและฟังใจตัวเองก็อาจจะไม่ค่อยมีเยอะมาก?

“ก็คือก่อนนอน หรือไม่ก็เวลาขับรถไปไหน จะได้อยู่กับตัวเองนิดนึง”

ทบทวนเรื่องอะไรกับตัวเอง?

“ส่วนใหญ่จะคิดถึงป๊ากับแม่ครับ อยากคุยกับเขา อยากบอกเขาในหลายๆ เรื่องว่าเราเหนื่อย ท้อ หรือบางครั้งเราก็ไม่ไหวกับหลายๆ อย่างที่ถาโถมเข้ามา แต่ผมเป็นคนที่ไม่อยากจะทำให้ตัวเองดาวน์เท่าไร ตั้งแต่ตอนที่ป๊าและแม่เสียไปคือผมบอกกับตัวเองว่าไม่อยากเป็นโรคซึมเศร้า แต่ยังดีที่ผมเข้มแข็งพอที่จะไม่ได้ตกลงไปขนาดนั้น ยังมีเพื่อนที่ช่วยให้ผมยกตัวเองขึ้นมาได้อยู่

ตั้งแต่ไม่มีพ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ดูแลตัวเอง เขาเคยบอกไว้ก่อนเขาเสียว่า…เขาก็ลูบหัวแล้วบอกว่า ป๊าว่าเติร์ดอยู่เองได้แล้วแหละ เติร์ดเข้มแข็งมาก เติร์ดเก่งมาก หาเลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็เริ่มทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว

คือมันเหมือนไฟต์บังคับเหมือนกันนะ เพราะว่าจริงๆ ผมโตมาแบบมีความลูกคุณหนูมากเลย แม่เตรียมข้าวให้ มีแม่บ้านซักผ้าให้ แม่เอารถไปล้างให้ ด้วยความที่เขาเป็นห่วงก็จะทำให้ตลอด เพราะเราทำงานวงเยอะมาตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ตอนนี้ต้องทำเองทุกอย่าง”

ความรักของเติร์ด?

“ไม่มีครับ ไม่เคยมีแฟน เคยมีแค่คนคุย เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่ผมชอบ คนที่ผมเคยไปจีบดันเป็นคนที่ไม่ได้ชอบผม แล้วเวลาที่มีใครมาชอบผมหรือมีใครเข้าหาผมก็กลายเป็นว่าผมไม่ชอบเขา แล้วผมก็เปลี่ยนคนคุยไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็เฮิร์ตครับ แต่มันเริ่มชินชา เพลงส่วนใหญ่ Tilly Birds เลยอกหักไง”

คุณมีสเปกไหม?

“จะค่อนข้างแพ้ทางผู้หญิงหมวย หน้าแบบมีความเอเชียนหน่อย สเปกจริงๆ คือเข้ากันได้ คุยกันรู้เรื่องเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ จริงๆ ตอนนี้ผมก็มีคนคุย ศึกษากันอยู่ และพยายามที่จะดูกันให้รอด เพราะผมรู้สึกว่าพองานเยอะขนาดนี้เรายังดูแลตัวเองไม่ค่อยดีเลย ก็กลัวว่าเราจะดูแลเขาได้ไหม”

ครอบครัวเราเป็นแบบไหน?

“ผมรู้สึกอบอุ่นนะ เขาเลี้ยงดูแลผมเป็นอย่างดีเลย ป๊ากับแม่ผมรู้สึกอยากให้เขาเป็นพ่อแม่ต้นแบบเหมือนกันนะ เพราะว่าสนับสนุนทุกอย่างที่ผมทำ จะทำหนัง เล่นละครเวที จะเรียนอะไรให้หมด เขาแค่บอกว่าดูแลตัวเองให้ได้แล้วกัน เขาน่ารักมาก เขาบอกว่าภูมิใจในตัวเรา แต่แม่อาจไม่ทันได้บอก แต่ป๊าบอก ช่วงที่แม่เสียแล้วว่า เพลงดังแล้วเนอะ คิด(แต่ไม่)ถึง ได้ร้อยล้านแล้ว เขาก็บอกว่าภูมิใจ”

ตอนที่คุณแม่จากไปรู้ว่าหนักมาก ความรู้สึกในตอนนั้น?

“ตอนที่เขาจากไปไม่ได้เศร้าเท่ากับตอนที่รู้ว่าเขากำลังจะเสีย เพราะว่าคืนที่ไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปป๊ากับแม่ก็ยิ้ม ทุกอย่างก็ดูปกติ ป๊าบอกว่าแม่เป็นขั้นที่ 2 ไม่เป็นไรมาก เดี๋ยวก็หาย แล้วป๊าก็บอกว่าเดี๋ยวเติร์ดออกไปคุยกับป๊าหน่อย แล้วเขาก็พาเดินไปไกลมาก แล้วเขาก็บอกว่าแม่เป็นขั้นที่ 4 นะ เป็นขั้นสุดท้าย แต่ว่าเราบอกแม่ไม่ได้ แล้วเขาก็ปล่อยโฮกับผมเลย

ในชีวิตผมไม่เคยเห็นเขาร้องไห้มาก่อน เราก็กอดต้องปลอบเขา แต่เราก็ไม่ไหวเหมือนกัน คืนนั้นก็เรียกเพื่อนมานอนด้วย เพราะว่านอนคนเดียวไม่ได้ แล้วเราก็ร้องไห้ไปจนหลับ ร้องไปประมาณ 2-3 อาทิตย์ จนได้พบหมอปั๊บแล้วรู้ว่าทำคีโมพอจะมีความหวังอยู่ แต่ร่างกายแม่ผมอ่อนแอ หมอบอกว่าอยู่ได้สูงสุดแค่ 6 เดือน

วันที่ 27 พ.ค. แม่บ้านโทรมาหาผมว่า แม่ช็อกปั๊มหัวใจให้รีบมา ตอนระหว่างขับรถก็คิดว่าเขาไปแน่เลยมั้ง ไม่เป็นไรนะถ้าเขาไปก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ทรมาน คือผมรู้นะเพราะป๊าบอกผมว่า แม่บอกเขาว่าอยากไปทุกวันๆ เรารู้แต่ก็ไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้ เพราะแม่ก็ไม่บอกเราเหมือนกัน

แม่เข้า ICU อยู่ได้ประมาณ 4-5 วัน เขาก็เสียวันที่ 3 มิ.ย. เราก็ไปถึงคนแรก คุณหมอบอกว่า เสียใจด้วยนะครับคุณแม่เสียชีวิตแล้ว ไปตอนที่เขากำลังปั๊มลมพอดี เราโล่งตอนที่เขาไป เพราะเขาจะไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว แค่เราต้องดีลกับใจตัวเองว่าโอเคไม่มีเขาแล้วนะ อยู่กับป๊า 2 คนแล้วนะ”

คุณพ่อเป็นยังไงบ้างตอนที่คุณแม่จากไป?

เติร์ด “แรกๆ ดูเข้มแข็ง จากนั้นดูไม่เหมือนเดิม กลับมาเป็นโรคซึมเศร้าหนัก ป๊าผมเป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แล้วเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หมอก็ลดยาจาก 2 เม็ดเหลือเม็ดเดียว เหลือครึ่งเม็ด จนแทบไม่ได้กินแล้ว จนกระทั่งพอแม่ป่วยและเสีย เด้งกลับไป 2 เม็ดเลย มีหลายๆ ครั้งที่เขาบอกผมว่าวันนี้ป๊าไม่ไหว

แล้วเราก็รู้จากพี่ชายว่าป๊าเกือบจะยิงตัวเองนะ โชคดีที่เขาโทรไปหาเพื่อนเขาก่อน เขาเลยรู้แล้วมาทัน แล้วเขาก็บอกผมว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองแล้ว เขาสัญญา แล้วก็แย่ลงเรื่อยๆ จนวันก่อนเขาเสีย ท่าทีเขาแปลกมาก ไม่ค่อยกินข้าว นอนไม่หลับตา สายตาว่างเปล่า เหมือนชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว แล้วก็บอกผมว่าป๊าไม่ไหว ป๊าอยากไปมากเลย

แล้วป๊าว่าเติร์ดเข้มแข็งนะอยู่คนเดียวได้แล้ว เราก็น้ำตาไหล แล้วก็บอกว่าไม่เอา ทำไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันสิ แล้วหนูจะอยู่กับใครล่ะ เขาคิดถึงแม่มาก แม่เป็นส่วนใหญ่ๆ เลย แล้วที่เหลือตามมานั้นเป็นภาระในชีวิตของเขาหรือชีวิตของพวกเรา มีหนี้สินเยอะ เราก็คิดว่าถ้าเป็นเราก็อาจจะทำเหมือนเขาหรือเปล่านะ แบบมันหนักหนามากจริงๆ แล้วเขาเป็นโรคซึมเศร้าด้วยหลายๆ อย่างมาถาโถมที่เขา”

“วันนั้นเขาก็ขอกอดหน่อย เราออกไปทำเพลงกับวง วันนั้นผมก็เอะใจ เนื่องจากเขาเคยให้สัญญาไงว่า เขาจะไม่ทำอีกจะอยู่กับเรา ถ้างั้นเราเชื่อ กลับมาจากทำเพลงก็รู้สึกแปลกๆ แล้วว่าทำไมไฟหน้าบ้านปิดมืด เพราะปกติเขาจะเปิดตลอด ก็เข้าไปชั้นล่างดูปกติทุกอย่าง เราก็นั่งดูทีวีไม่ได้อะไร รู้สึกว่าแกคงเข้านอนแล้วมั้ง

พอขึ้นไปก็เห็นว่าเขาทำแล้ว ตกใจมาก ช็อก! เขาก็ทิ้งโน้ตไว้ มันช็อกแล้วก็ค่อยๆ ร้องออกมา หลังจากนั้นเหมือนไม่มีแรง รู้สึกมันหนาวมาก ต้องการความอบอุ่น แต่ว่าหลังจากนั้น 3-4 วันก็ร้องไห้ติดกันทั้งวันทุกวัน จนถึงวันที่จัดงานศพ ที่เราโอเคแล้ว

เป็น 3-4 วันที่ทรมานมากคิดว่าเราจะเอายังไงในชีวิตต่อดี แล้วก็เป็นห่วงเขา เพราะเขาฆ่าตัวตายไม่รู้ว่าวิญญาณจะสงบสุขไหม ตอนแรกผมไม่เชื่อเลยนะเรื่องพวกนี้ จนกระทั่งผมได้กลิ่นแม่ในวันนั้น ผมรู้สึกว่า โอเคเรื่องนี้พลังงานพวกนี้ก็มีอยู่จริง พี่โอมก็เลยแนะนำว่าบวชได้ก็ดีนะ จะได้เป็นกุศลส่งให้คุณพ่อไปในที่ที่ดี ไปสู่สุคติจริงๆ”

นึกถึงความรู้สึกว่าทำไมมันเกิดขึ้นกับเรา ทั้งพ่อและแม่?

“คือปีนั้นผมเบญจเพสอายุ 25 พอดี แล้วก่อนที่ผมจะ 25 ผมก็เสียสุนัขตัวเองไป ด้วยโรคมะเร็งปอดเหมือนแม่เลยขั้นสุดท้าย แล้วผมก็เจอน้องคนแรก แล้วตอนที่เป็นแม่ ผมก็เจอคนแรก ตอนป๊าผมก็เจอคนแรกเหมือนกัน ผมเลยรู้สึกว่ามันบังเอิญเหรอหรือว่ามันถูกกำหนดมาแล้ว จักรวาลกำลังจะบอกอะไรเรา ผมเป็นคนที่พยายามจะเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในชีวิต เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ความเข้าใจนั้นมันเลยทำให้เรายอมรับมั้ง”

ตื่นมายังนึกถึงท่านทุกวันไหม?

“ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลยพี่ คิดถึงทุกวันจริงๆ จะมีโมเมนต์ที่เหงาๆ บ้างแล้วแบบมันคงจะดีถ้าเขาอยู่ตรงนี้ จะได้เล่าให้เขาฟัง เราอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”

แฟนคลับที่มีปัญหามาปรึกษาคุณบ้างไหม?

“ทักมาเยอะครับ ส่วนใหญ่ทักมามีอยู่ 2 แบบ คือเป็นโรคซึมเศร้าและไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว กับเพิ่งสูญเสียพ่อแม่ หรือเลิกกับแฟนแล้วจิตใจไม่ไหว เขาก็จะถามผมว่าพี่ผ่านมันมาได้ยังไง เราก็จะบอกว่าพยายามทำความเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น ใจเย็นๆ มีสติ ไล่ไปทีละเรื่องอย่าเอาไปรวมกัน

เกือบจะทั้ง 100 นะบอกว่าพ่อแม่ไม่ค่อยฟัง คาดหวังในตัวลูกมากเกินไป รู้สึกว่าเป็นสังคมที่เครียดเกินไปไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงได้บ้าง ก็เลยบอกเขาว่าต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ลองคิดว่าทำเพื่อตัวเองดูแล้วมันจะรู้สึกดีขึ้น บางครั้งเรารักใครมากเกินไปหรือคาดหวังกับใคร หรือใครมาคาดหวังกับเรามากเกินไป มันจะหนักกับใจเรา

เคยมีคนรู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งเขาทักมาสั่งเสียกับผม บอกว่าพี่ไม่ไหว อยากจะจากโลกนี้ไปแล้ว มาบอกเพราะว่าเพลงเติร์ดได้ช่วยพี่ไว้เยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ เราก็บอกว่าพี่ใจเย็นๆ ผมเชื่อว่าน่าจะยังมีอะไรดีๆ ในโลกนี้สำหรับพี่อยู่ และยังมีคนที่ยังรักและต้องการที่ยังให้พี่อยู่ในโลกนี้เยอะมาก

แล้ว 2 เดือนต่อมาเขาก็ทักมาขอบคุณผมว่าพี่ยังอยู่นะ ขอบคุณเพลงเติร์ดที่ช่วยพี่ไว้ เราก็แบบ โอ้! ยิ่งใหญ่นะการที่เพลงได้ช่วยชีวิตเขาไว้ (ยิ้ม)”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2445184
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2445184