หนุ่ม กะลา เผยมุมสายมูตัวพ่อ เคยหมดไฟชีวิตศิลปินเพราะโควิด


ให้คะแนน


แชร์

เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ผ่านเรื่องราวชีวิตมามากมาย สำหรับ หนุ่ม ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา ศิลปินร็อกชื่อดังจากค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ซึ่งเขาเคยเปรียบเปรยชีวิตตัวเองให้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ฟังว่าเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา ผ่านมาทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิต และไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป

วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับเขาอีกครั้งถึงชีวิตบนรถไฟเหาะของเขา ทั้งการเตรียมขึ้นคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ไปจนถึงการเป็นสายมูตัวพ่อ ที่มีจุดเริ่มต้นในช่วงเป็นโรคซึมเศร้า รวมไปถึงพลังใจที่สำคัญที่สุดคือครอบครัวของเขา หลังมี น้องมิลล์ ลูกสาวสุดรัก มาเติมเต็มชีวิต ทำให้รู้สึกอยากกลับบ้านไปหาลูกทุกวัน อยากมีชีวิตให้นานขึ้น และเรื่องราวครั้งหนึ่งเขาแทบหมดไฟกับการเป็นศิลปินเพราะโควิด

สายมูตัวพ่อ

เมื่อเราถามถึงภาพที่ไปถ้ำนาคา จ.บึงกาฬ รวมถึงภาพไปไหว้พระตามวัดต่างๆ หนุ่มเล่าให้ฟังถึงความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า “ก็เป็นสายมูอยู่แล้วครับ จริงๆ ถ้าผมมีเวลา ผมจะบินไปพม่าตลอด แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ บินไปเช้าเย็นกลับก็ทำ แต่ถ้ามีเวลาจะบินบ่าย ช่วงเย็นๆ ไปอยู่ในองค์พระธาตุชเวดากอง สวดมนต์อยู่ในนั้นจนค่ำถึงจะกลับที่พัก แต่ที่ไปแล้วชอบที่สุดคือผมชอบความสงบ เพราะพม่าเป็นเมืองที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากๆ ผู้คนเหมือนคนไทยเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว การเข้าวัดก็คือสงบจริง ทั้งที่มีคนเยอะแต่ก็สงบ”

ถามว่าเป็นสายมูตั้งแต่เมื่อไร เจ้าตัวบอกว่า “ช่วงเป็นโรคซึมเศร้า เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้น พอเริ่มสวดมนต์ก็ค่อยๆ ทีละหน่อย ตอนแรกๆ ก็ไปในเมืองไทย ไปไหว้พระพุทธชินราช ไปตามจุดสำคัญต่างๆ ณ ตอนนั้นเราไหว้เพราะเราอยากประสบความสำเร็จ แต่ช่วง 5-6 ปีหลัง ไม่ได้ไปไหว้เพราะไปขอ แต่ไปเพื่อหาความสงบให้ตัวเอง ที่บ้านก็ทำห้องพระ ถามว่ามีอะไรบ้าง ก็มีพญานาค ท้าวเวสสุวรรณ พญาครุฑ ฯลฯ เป็นสายไหว้พระ ถ้าเทพก็จะเป็นเทพที่เราเห็น เช่น องค์พระพิฆเณศวร

ส่วนที่ไปถ้ำนาคา ผมนับถือพญานาคก็เลยอยากไปไหว้ แล้วเรารู้สึกอยากไปสัมผัส พอไปไหว้ก็ดีครับ ถามว่าปีนึงไปไหว้พระบ่อยมั้ย โอ้โห ถ้าที่วัดนี่นับไม่ได้นะ เพราะจังหวัดที่ผมไป ผมจะต้องแวะวัดทำบุญและสวดมนต์ ปีนึงผมทัวร์กี่ทัวร์ก็ไปหมดทุกจังหวัดที่ไป เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องทำเวลาทัวร์ ถามว่าทำให้มีสมาธิในการทำงานขึ้นมั้ย ก็น่าจะนะครับ ช่วงหลังจะโหยหาเวลาส่วนตัว เวลานั่งสมาธิ ถ้ามีเวลาแค่ 10 นาทีหรือครึ่ง ชม. เวลาไปวัดก็โอเค แต่ยังไม่ใช่คนละทางโลกขนาดนั้น แต่โดยส่วนตัวผมชอบแบ่งปัน ผมรู้สึกว่าการได้ไปทำบุญมันคือการแบ่งปันอย่างนึง การไปสวดมนต์ทำให้มีสมาธิอยู่กับตัวเองชั่วขณะนึง

ผมเป็นคนที่เวลาเข้าวัด ผมเริ่มจากการทำบุญก่อน หรือก่อนเข้าวัดจะโอนเงินเพื่อบริจาคก่อน นั่นหมายความว่าผมมีพลังเข้าไป แล้วผมไปโมทนาบุญให้พระกับสัมภเวสี ผมเชื่อเรื่องนึงคือถ้าคุณอยากได้อะไรจากใคร คุณเริ่มจากการให้เขาก่อนสิ ถ้าเรามีบุญเข้าไปก่อน โอนเงินทำบุญแล้วโมทนา สุดท้ายก็ได้ 2 ต่อ เราทำบุญเข้าไปก่อน เราได้ความสบายใจ แต่อีกสิ่งที่เรามองไม่เห็นในการโมทนา ถ้ามันมีอยู่จริง นั่นก็ได้ด้วย”

เมื่อเราถามว่าเคยไหว้พระที่ไหนแล้วกลับมาปังมั้ย หนุ่มเล่าว่า “จริงๆ มีครับ ที่พม่ามีแม่ยักษ์ แม้แต่ไกด์ที่พม่าก็มีแค่บางคนที่รู้ องค์นี้เป็นองค์ที่พี่มดดำ (คชาภา ตันเจริญ) ไป องค์นี้เกี่ยวกับชื่อเสียง ความปัง ผมเคยพิสูจน์โดยการพานักร้องที่ผมโปรดิวซ์ไปไหว้ กลับมาก็ร้อยล้านวิวครับ แล้วมีรุ่นพี่ผมคนนึงเป็นสาวอวบ แกก็ไปไหว้ ด้วยความอยากรู้ว่าเจ๋งมั้ย กลับมาคือเฟซบุ๊กของคนอวบ มีคนคอมเมนต์มาจีบเยอะมาก ปกติผมจะไปเปลี่ยนเครื่องทรงให้ปีละหน แต่ตั้งแต่มีโควิดก็ไม่ได้ไป แต่คิดว่าเดือนนี้ผมจะไป จริงๆ อยู่ในพระธาตุชเวดากองเลย คือ Green Giant จะอยู่แถวบ่อพญานาค

คือจริงๆ จุดเริ่มต้นผมไปขอองค์นี้จากการที่ผมขึ้นเครื่องบินแล้วผมเห็นในหนังสือ ผมไปพม่าอยู่แล้ว ทีนี้ผมก็ไปหาเอง ถามไกด์ก็ไม่รู้เพราะมันเยอะมาก พระในนั้นมีเป็นพันองค์ พอไปหาผมก็เลยลองขอดู จากที่ก่อนหน้านี้ผมเคยปล่อยเพลงแล้วอยากได้ร้อยล้านวิวเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ผมไปที่ไหนก็ขอแต่เรื่องนี้ แต่พอไปเจอองค์นี้ คือด้วยความที่ผมขอมาแล้วเป็นร้อยที่ มันไม่เคยได้ร้อยล้านวิวเลย แต่ผมไปขอองค์นี้ผมขออีกแบบนึง ผมไม่ขอร้อยล้านวิว ผมขอให้ใครก็ตามที่เห็นผมรักผม เอ็นดูผม ให้โอกาสผม แล้วผมกลับมาผมปัง

หลังจากนั้นผมก็ไปบ่อยๆ จริงหรือไม่จริงไม่รู้นะครับ แต่สิ่งที่กลับมามันดี ผมก็พาจั้ม COLORPITCH ที่ผมโปรดิวซ์เพลง “หมอก” ให้ จั้มเคยดังจากเพลง “ขัดใจ” แล้วเงียบไปแล้ว ซึ่งความยากของการโปรดิวซ์งาน คนที่ดังเพลงเดียวมันเป็นพลุ พอสลายแล้วมันปั้นยาก ผมก็ทำเพลงให้ แล้วแกล้งถามน้องว่าเชื่อเรื่องนี้มั้ย ก็บินไปพม่า ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด พาไปเปลี่ยนเครื่องทรง กลับมาเพลงก็ดัง ตอนนี้ 170 กว่าล้านวิวครับ แต่หลังๆ ไม่ได้ขออะไรแล้วนะครับ หลังๆ การไหว้พระของผมเหมือนเอาเงินไปใส่ตู้ ไหว้แล้วบอกว่าเรามาแล้วนะ

ภรรยาผมก็เชื่อครับ ก่อนมีลูกก็ไปขอทั่วโลกแล้วมั้งครับ (หัวเราะ) ไปหมดครับ เหมือนมีความเชื่อว่าที่นั่นที่นี่ขอลูกได้นะ นี่ก็ไปสิงคโปร์ ญี่ปุ่น อะไรที่เป็นความเชื่อก็ไปขอ แต่พอมีลูกจริงๆ ก็ไปนั่งดูลิสต์ที่ไปมา ก็ไปแก้เยอะมากครับ”

ความสุขของพ่อ

เมื่อถามถึงชีวิตครอบครัวว่าเป็นยังไงบ้าง หนุ่มบอกว่า “10-11 ปีได้แล้วครับ จริงๆ ผมอยู่กันเหมือนเพื่อนมากๆ ครับ มันเลยไม่ได้มีความรู้สึกหวานหรือไม่หวาน มันเหมือนญาติคนนึงที่เราเถียงกันบ้าง คือผมสามารถเดินๆ อยู่แล้วพูดถึงผู้หญิงที่เดินข้างทางได้ พูดถึงเรื่องบางเรื่องที่แฟนพูดกันไม่ได้ ปรึกษาเรื่องที่คนเป็นแฟนพูดไม่ได้ ผมเลยรู้สึกว่าพอมันเป็นเพื่อนก็อยู่กันนาน เขาเป็นคนมีนิสัยผู้ชาย ไม่จุกจิก”

เราถามว่ากว่าจะมีลูกก็นานมาก 10 ปี พอมีน้องมิลล์ ลูกสาว เป็นยังไงบ้าง นักร้องดังบอก “วันนี้ผมพูดได้เลยว่ามันสุขจริงครับ มันรู้สึกว่าอยากมีชีวิตให้นานขึ้น เข้าใจเลยว่าคนที่อยากกลับบ้านทุกวันเป็นยังไง ไม่มีเวลาก็จะกลับ ล่าสุดวันก่อนไปทำบุญกับพี่อี๊ด วงฟลาย พอเสร็จต้องไปซาวนด์เช็กที่ จ.ชลบุรี ว่างแค่ 2 ชม. ยังตีรถกลับไปเล่นกับลูก แล้วไปเล่นคอนเสิร์ตที่ จ.ชลบุรี ต่อ นั่นคือเพราะลูกทำให้เราอยากกลับบ้าน คิดถึงตลอดเวลา ลูกเพิ่งไปเรียนก็อยากไปดู อยากไปส่งไปรับ อยากดูลูกว่าเป็นยังไง

ตอนนี้น้องอายุ 2 ขวบครึ่ง ไม่ค่อยพูดครับ แต่ว่าซนมากๆ ปีนป่ายไม่ต้องพูดถึง เป็นอันดับ 1 ไปโรงเรียน 2 วัน ครูพี่เลี้ยงมี 4 คน ยังไม่รู้เลยว่าลูกผมหนีจากห้องเรียน เขาเรียนก็ไม่เรียน จะไปเล่นที่สนามข้างนอก เขากินข้าวก็ปีนเวทีไปเล่นคนเดียวครับ ผมชอบเด็กแบบนี้ครับ เหมือนสะท้อนวัยเด็กของเรา (ยิ้ม)

ส่วนโมเมนต์ประทับใจ เอาจริงๆ เรื่องนึงที่ชอบ คือผมชอบให้ลูกซบผม เพราะตอนที่เราไปพึ่งทางการแพทย์ ผมมีภาพว่าอยากได้ลูกผู้หญิงมาตลอด เราเลยเลือกเพศว่าเป็นหญิง แล้วมันมีภาพเด็กซบเราอยู่แถวนั้น แต่ตอนที่เขาเกิดคือไม่เป็นเลย คือนึกว่าได้ลูกชาย แต่ตอนนี้เมื่อเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมานางเปลี่ยนไป เวลานางเจอป๊า นางจะชอบเอามือมาประกบตรงนี้ (เอามือวางหน้าอก) แล้วซบ แล้วชอบเอามือมาอังเคราเล่น นี่แหละมันทำให้ผมอยากกลับบ้าน พอเจอกันก็บอกว่าไหนกอดป๊าซิ เขาจะวิ่งมากอด”

เราถามว่าพอเริ่มโตขึ้น เรามีความห่วงกังวลอะไรเรื่องลูกมั้ย หนุ่มบอกว่า “จริงๆ ไม่ค่อยกังวลถึงตรงนั้นมาก แต่ถามว่ามีแผนในใจมั้ยมี คือผมกับแฟนเห็นตรงกันว่าลูกไม่อยากเรียนไม่เป็นไร เรียนไม่เก่งไม่ว่า คือครอบครัวผมน่ะมันถูกพิสูจน์แล้วว่าผมก็ไม่ได้เรียน แต่ผมประสบความสำเร็จได้ เราเลยเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่คนไทยรู้สึกมาตลอด เช่น ต้องเรียนเป็นแพตเทิร์นแบบนี้ จบแล้วต้องแบบนี้ มันไม่มีในครอบครัวผม

คุณเป็นอะไรก็ได้ เอาให้สุดโต่งเลยลูก อยากทำอะไรทำเลย เราจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ เราจะอยู่ข้างๆ คุณ แต่สิ่งเดียวที่ลูกต้องมีคือความรับผิดชอบ ซึ่งเราจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ สมมติถ้าวันนึงลูกจะเที่ยวผับก็ได้นะ เดี๋ยวขับรถไปส่งก็ได้ หรืออยากกินเหล้าก็กินในบ้าน กินให้รู้ไปเลยว่าถ้าเมาจนอ้วกแล้วชอบนะ ก็ไปเรียนชิมไวน์ ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว ทุกอย่างมันเป็นอาชีพ วันนึงมันเป็นสิ่งที่รักของเขาได้ถ้าจริงจังและรับผิดชอบ”

ถามว่าเริ่มเห็นแววอะไรในตัวลูกสาวบ้าง หนุ่มบอกว่าชอบดนตรี ชอบเต้น มีแววทางนี้ คือที่เห็นชัดคือชอบกิจกรรม ไม่ชอบวิชาการ พาไปเรียนทักษะจะไม่ค่อยมีสมาธิ ถ้าใช้แรงหรือกำลังจะชอบ ก็มีแพลนว่าจะส่งลูกไปเรียนด้านดนตรีเผื่อชอบ

แรงบันดาลใจจากครอบครัว

ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกที่ทำอยู่ทุกวันนี้ หนุ่มบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากแม่ “จริงๆ แม่เลี้ยงดูผมแบบเพื่อน คุณแม่ผมเคยเป็นครูมาก่อน ดุ ระเบียบ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับจากแม่คือเขาเลี้ยงโดยการรับฟัง เปิดใจ ค่อยๆ มองว่าลูกชอบอะไร มันทำให้เรากล้าเล่า ด้วยความที่แม่ใช้จิตวิทยาในการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน เราจะกล้าเล่าให้ฟัง ผมก็เลยอยากใช้สิ่งนี้กับลูก ในวันที่เขาจะมีแฟนหรืออยากเป็นนักดื่ม ผมว่าเขาจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนเขา เขาจะสบายใจในการเล่าให้เราฟัง เลยรู้สึกว่าอยากทำแบบนั้นเหมือนที่เคยได้รับจากแม่”

ถามว่าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมาอย่างไรบ้าง ร็อกเกอร์ดังบอกว่า “ด้วยความรักครับ อาจจะเป็นครอบครัวที่ไม่ได้มีเงิน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองลำบาก ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักอะไร เพราะแม่กับพ่อเลี้ยงดูด้วยความเข้าใจ สนับสนุน สิ่งเดียวที่จะโดนตีบ่อยๆ คือเราไม่รับผิดชอบในสิ่งที่เราต้องทำ เช่น ถ้าเรียนแล้วไม่ตั้งใจเรียน เขาให้เรียนได้หมดเพราะผมเรียนวงโยธวาทิตตั้งแต่ ป.3 เขาสนับสนุนทุกอย่าง จะทำอะไรก็ได้ แต่เรียนก็ต้องเรียน ไม่ใช่พอจบจากดนตรีแล้วเข้าห้องเรียนก็ไปนั่งวาดรูป กลับถึงบ้านถ้าล้างจานก็คือล้างจาน เรื่องไหนที่ต้องรับผิดชอบคือต้องทำเรื่องนั้น”

แต่เมื่อเราถามว่าดูเหมือนว่าเจ้าตัวน่าจะชอบดนตรีมากกว่า คุณแม่ว่าไงบ้าง เจ้าตัวตอบว่า “โอ๊ย ตีระเบิดเลยครับ (ยิ้ม) คือไม่ใช่ไม่สนับสนุนครับ อย่างที่ผมบอกว่าผมเป็นคนสุดโต่ง ทำอะไรไม่ซ้ายก็ขวาสุด พอเราชอบดนตรีมากๆ เริ่มมาเขียนในสมุดเรียน เริ่มแต่งเพลง วาดเวที มันเป็นมาตั้งแต่เด็ก พอกลับถึงบ้านแล้วแม่เปิดก็โดนสิครับ เพราะบ้านเราไม่ได้มีตังค์ แล้วเอาหนังสือมาเขียนมันก็เรื่องนึงแล้ว อีกเรื่องนึงคือพอผลการเรียนมันออกเขาก็จะรู้ว่าเราไม่ตั้งใจเรียน ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ก็โดนตียัน ม.6 ครับ ตอนที่แข่งฮอตเวฟแล้วก็ยังโดน นั่นคือครั้งสุดท้าย นั่นกำลังจะเซ็นสัญญากับแกรมมี่แล้วนะครับ (ยิ้ม)

พอโตขึ้น ความฝันเราเริ่มรุนแรงขึ้น แข่งดนตรี ฝันมากว่าเราจะเป็นนักร้อง พอความฝันมันแรงกล้า เราก็ปฏิบัติตัวอย่างแรงกล้าเหมือนกันในการไล่หาความฝัน คุณแม่จะรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว หมดสิทธิ์สอบทุกวิชาก็ไม่ใช่แล้ว เขาจะรู้สึกว่าเราโตจากชุมชนแออัด การอยู่แกรมมี่มันเป็นเรื่องเพ้อ ซึ่งแต่ก่อนผมจะเกลียดคนที่พูดว่าเราเพ้อเจ้อ ด้วยความที่เรามีปมเรื่องโดนแม่ด่า ผมก็เลิกคบเลยเพราะแม่ด่าเพ้อเจ้อบ่อย และเมื่อเรามีความฝันแรงกล้า แม่จะรู้สึกว่าเราเพ้อเจ้อเยอะ วันที่เซ็นสัญญาแม่ยังไม่เชื่อเลย จำได้ว่าตอน ม.6 ก็โดนตีเพราะเรื่องนี้แหละ เพราะเราอยากเป็นและทุ่มเทกับมันมาก แม่ก็ไม่เข้าใจมากเหมือนกัน”

ถามว่ากว่าจะหาจุดที่ทำให้เข้าใจกันนานไหม หนุ่มบอกว่า “ก็ออกเทปแล้วครับ จนแม่เห็นว่าเป็นแบบนี้จริงๆ ตอนที่จบ ม.6 จำได้ว่าเราไม่มีตังค์ที่จะเรียนต่อ ตอนนั้นอัดเสียงอยู่ ก็เดินไปบอกแม่ว่าจะไม่เรียนต่อปริญญานะ ก็เป็นเรื่องใหญ่ ขนาดแม่ไม่มีตังค์นะ ซึ่งตอนนั้นผมได้โควตาไปเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม ผมก็เลยสละสิทธิ์ เลยบอกแม่ว่าไม่ต้องเรียนเนอะแม่ 1 ปี เดี๋ยวถ้าออกเทปแล้วรวยค่อยไปเรียน

แม่บอกไม่ได้ เป็นเรื่อง คุยกันอยู่นาน ก็บอกแม่ว่าที่เราต้องสละสิทธิ์จากที่ที่นึงไปเพราะเราไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอมไง แต่พอเราออกเทป ทุกอย่างดีขึ้น เริ่มประสบความสำเร็จ ผมก็เลยกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งให้แม่แต่ก็ไม่จบ จนไปเรียนแล้วก็มาคุยกับแม่ว่ามันไม่ใช่สายที่เราอยากจะเรียนเลย และไม่มีอะไรมาช่วยงานของเราในสิ่งนี้เลย แต่ด้วย 20 ปีที่แล้วแม่ผมรู้สึกว่าใบปริญญามันคือทุกสิ่งของครอบครัว แต่พอมาวันนี้ไม่แล้ว เขาก็บอกว่าเราคิดถูกแล้วที่เราเลือกแบบนั้น ก็โชคดีไป”

คอนเสิร์ตครั้งใหญ่

หนุ่มเล่าถึงการจัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ “ไทยประกันชีวิต Presents MY NAME IS NUM KALA ‘FIRST IMPACT CONCERT’ #อยากจับมือกับฉันเรื่อยไปรึเปล่า” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17-18 ก.ย. 2565 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี หลังห่างหายกับคอนเสิร์ตใหญ่ไปนาน 4 ปีไว้ว่า “จริงๆ ต้องเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ครั้งที่แล้วถ่ายโปสเตอร์เสร็จแล้ว ถ่ายเตรียมโปรโมตเสร็จแล้ว อีก 2 วันข้างหน้าจะปล่อยโปสเตอร์แล้ว แต่ก็มีโควิด ทางรัฐบาลประกาศว่าต้องหยุดงาน เราก็รอจังหวะแต่ก็ไม่ได้ปล่อย จนทุกอย่างที่ถ่ายทำในวันนั้นทิ้งหมด เลื่อนมา 3 ครั้งจนเป็นครั้งนี้ ใจลึกๆ ก็เฝ้ารออยากทำ ก็มีช่วงเวลาหมดไฟเหมือนกัน เราไม่รู้จริงๆ ว่าอีกนานแค่ไหน ณ ตอนนั้น แต่พอทุกอย่างดีขึ้นและค่ายแพลนไว้ว่าจะจัดช่วงนี้ของปีนี้ ผมก็รู้สึกว่ามาแล้วครับ

ปีนี้จัดอิมแพ็ค อารีน่า ถามว่ารู้สึกยังไง ดีใจครับ จริงๆ ถ้าการมีคอนเสิร์ตใหญ่ของอาชีพนักร้องคือการรับปริญญา อันนั้นก็คือเรื่องที่เราฝันว่าอยากให้เกิดขึ้น แต่เรื่องการมีคอนเสิร์ตใหญ่ในอิมแพ็ค อันนี้ไม่เคยฝันไว้ มันก็เลยเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นครั้งนึงที่เป็นเกียรติประวัติชีวิตการเป็นนักร้องของผม และผมว่ามันจะเป็นสิ่งที่แฟนเพลงที่ติดตามผมมาจะร่วมยินดีไปด้วย คือการเล่นที่นี่ผมไม่เคยคิดไว้ก็จริง แต่ผมว่ามันคือสัญลักษณ์ความสำเร็จอย่างนึงของอาชีพนักร้องของทุกคนนะครับ พอวันที่แกรมมี่บอกจะจัดให้ ผมรู้สึกว่าดีใจและขอบคุณครับ”

ความพิเศษของคอนเสิร์ตครั้งนี้ หนุ่มบอกว่า “จากสคริปต์ที่ทำเสร็จแล้วมันดีมากครับ ผมว่าคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่แล้ว เกสต์ที่มาเนี่ย ผมก็เคยพูดไปว่าไม่มีใครดังกว่า 3 คนนี้แล้ว แบงค์ ปั๊บ กวาง คือดังกว่าน่ะมี แต่สุดในทางของร็อกเนี่ยมันแทบไม่มีแล้ว แล้วก็เป็นรุ่นผม แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้เกสต์มากกว่านั้นอีก ผมว่าจบคอนเสิร์ตครั้งนี้แล้ว ถ้าเกิดไม่ใช่พี่เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์) ก็ไม่มีแล้วมั้ง (หัวเราะ) ถามว่าพี่เบิร์ดมามั้ย ผมบอกไม่ได้ คือในความรู้สึกของผม ผมรู้สึกว่าถ้ามีครั้งต่อไปอีก นึกไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะเป็นใครมาเป็นเกสต์แล้ว”

ในส่วนของเพลง นักร้องดังบอกว่า 23 ปีแล้วก็เอามาหมด อยากฟังเพลงอะไรก็ได้ฟัง ส่วนสเปเชียลอื่นๆ ยังบอกไม่ได้ ถ้าคนที่เคยไปครั้งที่แล้วจะรู้ว่ามีซีนพิเศษเยอะ นอกจากเพลงฮิต แขกรับเชิญก็เป็นส่วนนึงของความพิเศษ และมีซีนต่างๆ ในคอนเสิร์ตใหญ่ที่เคยสร้างความประทับใจ ครั้งนี้ก็มีความประทับใจแบบนั้นเยอะ โปรดักชันเยอะมาก ครั้งนี้กลายเป็นว่าพอที่ใหญ่ขึ้นก็สามารถเนรมิตบางอย่างที่คิดไว้ในใจ งานโปรดักชันครั้งนี้จะไม่เคยเห็นจากเพลงร็อกที่ไหนที่นักร้องไทยทำ นั่นคือคอนเซปต์ ส่วนโชว์พิเศษ เจ้าตัวบอกว่า “บอกไม่ได้ แต่เป็นสตอรี่ที่อยู่ในแวดวงชีวิต และเกิดจากจินตนาการ เป็นมุมที่ไม่เคยเห็น แต่จะได้เห็นครั้งแรก และจะไม่ได้เห็นมันอีก (หัวเราะ)”

ความพร้อมกับคอนเสิร์ตครั้งนี้ เจ้าตัวเผยว่า ตอนนี้สคริปต์ทั้งหมดที่ทำและเอาเข้าห้องประชุมน่าจะ 90% แล้ว ที่เหลืออีก 10% คือการซ้อมและดูว่าสิ่งที่เรียงร้อยในสคริปต์ลื่นแค่ไหน ส่วนอุปสรรคคือสิ่งที่จะทำต้องพยายามไปให้ถึง ก็หวังว่าจะถึง แต่ที่เห็นในสคริปต์ตอนนี้ยังไม่มีอุปสรรคอะไร มีแค่เรื่องเดียวคือสิ่งที่อยากทำคือต้องฝึกตัวเอง ส่วนความคาดหวังกับคอนเสิร์ต หนุ่มบอกว่า “ก็หวังว่าทุกคนจะมาดูกันครับ ผมว่าการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ในแต่ละครั้งมันเป็นเรื่องยาก มันใช้พลังงานเยอะ การทำสคริปต์มันใช้เวลาเป็นเดือน ผมไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งต่อไปอีกเมื่อไร ฉะนั้นก็ไม่อยากให้ทุกคนพลาด”

วันที่เคยหมดไฟ

เมื่อถามว่าห่างคอนเสิร์ตใหญ่ไป 4 ปีเป็นยังไงบ้าง หนุ่มบอกว่าคิดถึง ความยากของคอนเสิร์ตครั้งนี้คือการเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากนั้นอีก 2 ปีเตรียมจะมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง ไฟมันลุกในอก สคริปต์ทำเสร็จเร็วมาก อยากทำนั่นนี่เต็มไปหมด ความยากคือ 2 ปีที่สุญญากาศ ไฟมันหายไป มันต้องรื้อสคริปต์ทิ้งใหม่หมด พอมันเป็น 4 ปีจากครั้งแรก ความรู้สึกบางอย่างหายไป ก็เลยกลับไปดูคอนเสิร์ตเดิม กลับไปรู้สึกแบบเดิมเพื่อเรียกอะไรบางอย่างกลับมาและทำสคริปต์ใหม่

“ไฟในการทำงานหมดไปค่อนข้างเยอะครับ มันเยอะเพราะว่าชีวิตผมมีอาชีพเดียว ผมเล่นคอนเสิร์ตทุกคืน มันเหมือนเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ตัวเองทุกวัน พอวันที่เราอยู่บ้านเฉยๆ กลายเป็นว่าแบตหมด แรกๆ โอเค ปีแรกรู้สึกเรายังเลี้ยงไฟได้เรื่อยๆ แต่พอปีหลังรู้สึกว่าเราไม่ได้รู้สึกลำบากเพราะไม่มีตังค์ แต่เรารู้สึกลำบากเพราะว่าเราไม่มีพลังงาน เพราะเรามีอาชีพเดียว คนอื่นพอช่วงโควิดอาจจะขายของ ทำอะไรที่รู้สึกเติมเต็มตัวเอง แต่พอผมทำเป็นแค่อย่างเดียว แล้วผมต้องการชาร์จแบตจากการร้องเพลง มันเริ่มค่อยๆ ดาวน์ลงไป

ตอนที่ต้องกลับมาเริ่มทำสคริปต์ ผมก็ยังไม่ได้ทำเพราะผมรู้สึกยังไม่มีแรงขับดัน แต่พอได้ทัวร์ 1 เดือนผ่านไป ทุกอย่างกลับมา เริ่มเห็นรอยยิ้มคน ความมั่นใจหลายๆ อย่างก็กลับมา จริงๆ ในช่วงปีแรกที่โควิดมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต รู้สึกสนุกเพราะว่าทำงานหนักมา 5-6 ปี วันนอนแทบไม่มี วันแรกๆ ไม่ค่อยกล้าพูดกับใครว่าดีใจสุดๆ ได้หยุดสักที กลัวคนหมั่นไส้

ปีแรกไม่อยากทำงาน วันที่น้อง ผจก. บอกว่ามีงานแทรกเข้ามาก็ไม่อยากรับ อยากนอน ไม่อยากทำงาน เหมือนเราทำงานหนักมากเกินไป แต่พอปีที่ 2 เพิ่งทำให้ค้นพบว่าไม่ใช่เรื่องของเงิน คือมันต้องไปเติมพลังใจบางอย่าง มันเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ พอวันที่เขาไม่ประกาศสักทีว่าเราจะได้ทำอะไรเมื่อไร เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย เมื่อไรล่ะ แต่พอวันที่ได้ไปทำงานจริงๆ ไม่กี่โชว์ มันกลับมาหมดเลย

ถามว่ากลัวกลับไปเป็นโรคซึมเศร้ามั้ย ไม่เป็นโรคซึมเศร้าครับเพราะว่าผมเคยมีช่วงที่มันวูบไป พอกลับมาอีกรอบ ผมวางแผนเรื่องการเงินไว้ดีมาก ผมเลยไม่ได้กังวลเรื่องการเงินเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องใจล้วนๆ ปีแรกๆ เราบอกน้องๆ ทุกคนว่าเฮ้ย อย่าให้ไฟมอดนะ แต่พอปีที่ 2 เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราไลฟ์สดอยู่บ้านแล้วเป็นการสื่อสารทางเดียว เหมือนนั่งคุยกับกล้องคนเดียวก็เริ่มลงไปเรื่อยๆ

มันไม่เป็นซึมเศร้า แต่ถามว่ากังวลมั้ยก็กังวล เพราะโควิดที่ผ่านมาถ้าพูดกันตรงๆ เราจะเห็นดวงดาวหลายดวงดับไปเลยนะครับ แล้วเราก็กลับมามองตัวเองว่าปีนั้นผมจะต้องมีคอนเสิร์ตใหญ่ เป็นปีที่ผมได้ร้อยล้านวิวหลายเพลงด้วย เป็นปีที่ประสบความสำเร็จทุกด้านจริงๆ ถ้าจบด้วยคอนเสิร์ตใหญ่ด้วยจะสวยงามมากเลย แต่พอปีถัดมา ทุกอย่างมันเริ่มนิ่ง เราไม่ได้มีผลงานเหมือนแบบนั้น มันก็แอบหวั่นว่าถ้าเปิดมาอีกทีสงสัยเราก็ไปแล้วเหมือนกันนะ

ก็มีคิดวางแผนไว้ว่าหรือต้องทำอย่างอื่น ผมจ้างทีมออกแบบผลิตภัณฑ์ ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วด้วยนะครับ รอแค่เข้าโรงงานผลิตแล้วขาย แต่ก็ไม่ได้ทำ จริงๆ ไม่ได้อยากทำขนาดนั้น แค่คิดว่าถ้าเป็นช่วงสุญญากาศแล้วหายไป กลับมาเราจะต้องมีอาชีพรองรับถ้าไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม แต่ใจจริงๆ อยากกลับไปร้องเพลงบนเวที ด้วยความที่ใจไม่อยากขายของแฟนเพลง เป็นช่วงงดทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับวง เพราะผมเชื่อว่าทุกคนก็เจ็บตัวเหมือนกัน”

สิ่งที่อยากทำ

เมื่อถามว่ามองย้อนกลับไปในทุกช่วงชีวิตจนถึงปัจจุบันรู้สึกยังไง หนุ่มบอกว่า “มาไกลมาก ผมเพิ่งลงภาพครบ 23 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว ผมพูดกับตัวเองและทีมงานผมว่าผมไม่เชื่อเลยว่ามันจะมีวันนี้ มองย้อนกลับไปออกเทปชุดแรกมันมาไกลมากจนรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ ไม่คิดจะขอบคุณตัวเอง แต่ขอบคุณคนรอบข้างหมดเลย ผมว่าความเข้มแข็ง การเดินทางไกลของเรา คนรอบข้างผมหมดเลยที่มีส่วน การตัดสินใจของแฟนผมหลังเราไปปรึกษา มันทำให้เราเลือกทางที่ถูก กำลังใจจากแม่เราในวันที่แย่ที่สุด มันทำให้เรามีวันนี้ รวมถึงการสนับสนุนจากแฟนเพลง คือนักร้องเจเนอเรชันผมมันแทบไม่เหลือ แต่เรายังอยู่ได้เพราะเขาให้โอกาสเราในการฟังเพลงของเรา อยากมาดูคอนเสิร์ตเรา รู้สึกอยากขอบคุณครับ

สิ่งที่รู้สึกอยากทำ หนุ่มบอกว่ามีหลายอย่าง อยากทำรายการของตัวเอง อยากมีคาเฟ่ของตัวเอง อยากทำสินค้าหลายอย่าง ซึ่งจะทำแน่นอน แต่รอจังหวะดีๆ ถามว่าอยากเริ่มทำอะไรก่อน นักร้องดังบอกว่า “เดือนหน้าก็มีแล้วครับ (ยิ้ม) ผมกำลังทำอาหารเสริม เพราะผมทัวร์คอนเสิร์ตทุกวัน คือผมผิวแห้งมาก นอนดึกมาก ต้องกินหรือบำรุงอะไร ก็เป็นสิ่งที่อยากทำและไม่อยากเสียดายตอนแก่ ผมจะไม่ค่อยทำสินค้าจากสิ่งที่รู้สึกว่าขายดี แต่ผมเริ่มทำจากตัวเองก่อน ผมจะไม่ทำถ้าผมไม่อินครับ คือถ้าเราทำในสิ่งที่ชอบหรือรัก เราไม่ต้องพยายาม เราจะเล่าจากความรัก

ส่วนคาเฟ่คิดจะทำเพราะอยากหาที่ร้องเพลงให้ตัวเอง คือช่วงหลังชอบกินกาแฟ ซื้อกาแฟมาลองทำนั่นนี่ แล้วรู้สึกว่าถ้ามีสักที่นึงให้เราไปอยู่ ใช้เวลาในนั้น มีมุมนึงให้เราไปร้องเพลงเล่นๆ ผมชอบร้องเพลง จะร้องบนเวทีหรือไม่มีงานก็ไลฟ์สดหรือร้องเองอยู่บ้าน เลยอยากมีสักที่นึงที่ไว้ร้องเพลงครับ ส่วนน้ำพริกพระคุณแม่ ทำมาแล้วขายดีมาก ขายดีเกินไป ผมเลยเลิกทำ ขายดีขนาดรีโนเวตบ้านได้เลย ขายจนรวยครับ แต่คิดว่าจะเอากลับมาทำอีกครั้งครับ”

ในด้านงานเพลง หนุ่มบอกว่าจะมีปล่อยซิงเกิลเดี่ยวอีกเพลง ซึ่งตอนแรกจะไม่มีแพลนด้วยซ้ำ แต่พอคุยกับค่ายเขาอยากให้มี 1 ซิงเกิล ก็อยากให้รอฟัง ส่วนศิลปินที่อยากร่วมงาน หนุ่มบอกว่าอยากร่วมงานกับเสก โลโซ แต่ ณ ตอนนี้อยากพักเรื่องฟีทไปก่อนเพราะร่วมงานศิลปินหลายคนแล้ว เลยอยากกลับมาร้องเพลงในแบบที่ตัวเองอยากร้องจริงๆ แล้ว ที่ผ่านมาไปเล่นสนุกกับดนตรีหลายแนว ก็ได้ทำมาแล้ว

ปิดท้ายหนุ่มฝากแฟนๆ ว่า “ก็ฝากคอนเสิร์ต MY NAME IS NUM KALA ‘FIRST IMPACT CONCERT’ #อยากจับมือกับฉันเรื่อยไปรึเปล่า ด้วยนะครับ จัดวันที่ 17-18 ก.ย. ขายบัตรวันที่ 1 ส.ค. ครับ และฝากติดตามทุกแพลตฟอร์มของผม Num Kala มีทั้งทวิตเตอร์ TikTok ไอจีครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Anon Chantanant

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2445654
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2445654