ฟิล์ม ธนภัทร ค้นพบความสุขที่แท้จริง หลังโด่งดังแต่ชีวิตไม่มีความสุข


ให้คะแนน


แชร์

ถ้าให้เอ่ยชื่อพระเอกแถวหน้าของช่องวัน ก็ต้องมีชื่อของ ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ อยู่ในโผนั้นด้วย ซึ่งเส้นทางชีวิตของพระเอกคนนี้ ดูเหมือนจะโชคดี เข้าวงการเล่นละครก็มีเริ่มมีชื่อเสียงและกลายเป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็ว 

ฟิล์ม ธนภัทร แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว โด่งดังเป็นพลุแตก จากละครเรื่อง เมีย 2018 ทำให้เขาขึ้นแท่นเป็น สามีแห่งชาติในตอนนั้น และสร้างปรากฏการณ์ ฟิล์มห้างแตก มาแล้ว 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ฟิล์ม ธนภัทร ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีในการทำงานก็ประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง อาชีพที่เขาใฝ่ฝันอยากจะทำมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อมีโอกาส ฟิล์มจึงยอมทิ้งอาชีพสจ๊วตเพื่อมาทำตามความฝันของตัวเอง 

ขอทำตามความฝัน 

วันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์พระเอกหนุ่มตัวท็อปของช่องวันอีกครั้ง และในครั้งนี้เราต้องยอมรับว่า ฟิล์มดูโตขึ้นกว่าที่เราเคยคุยกันเมื่อหลายปีก่อน ทั้งรูปร่างหน้าตาและความคิด ซึ่งเราเริ่มต้นบทสนทนาง่ายๆ กับฟิล์มว่า 

การตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพของฟิล์ม จากสจ๊วตมาเป็นนักแสดง ในตอนนั้นตัดสินใจยากมั้ย เพราะการแสดงมันเป็นอาชีพที่ไม่ได้ยั่งยืนและแน่นอน และยังไม่รู้ว่าเข้ามาแล้วจะมีงานมากน้อยแค่ไหน งานนี้พระเอกหนุ่มตอบเราแบบทันทีว่า 

“สำหรับผมการตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพไม่ได้ยากเลย เพราะผมไม่ฟังเสียงคนอื่น ผมฟังเสียงหัวใจตัวเอง เพราะผมอยากทำงานในวงการ

อยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก แล้วทำไมเราต้องฟังเสียงของคนอื่น มันคือความฝันของเรา ถึงแม้มันจะไม่ประสบความสำเร็จ 

ผมเคยถามตัวเองและได้คำตอบว่า ถึงแม้มันจะล้มเหลวแต่อย่างน้อยเราเกิดมาครั้งเดียว มีชีวิตเดียว เราจะไม่เสียใจเลยในชีวิตนี้เพราะได้ทำตามฝันของตัวเองแล้ว 

ตอนที่ผมจะเปลี่ยนอาชีพจากสจ๊วตมาเป็นนักแสดง มีคนรั้งผมไว้เยอะมาก เขาจะพูดว่า ไปทำไม มันมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นเยอะแยะ เงินก็ไม่ได้เยอะ แต่มันคือความฝันของผม ไม่ใช่ความฝันเขา แล้วจะให้คำพูดคนอื่นมาหยุดยั้งความฝันของผมเหรอ 

รู้มั้ยหลายคนที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก ก็เกิดจากการที่เขาทำตามความฝันของตัวเอง โดยที่เขาไม่ได้สนเสียงรอบข้าง เพราะเขามีฝันและเดินตามความฝันของตัวเอง” 

เส้นทางความฝันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ถึงแม้ ฟิล์ม ธนภัทร จะเพิ่งเข้าวงการบันเทิงมาไม่กี่ปี แต่ต้องยอมรับว่า ฟิล์มนั้นได้รับโอกาสและทำให้ตัวเขาเองมีชื่อเสียงโด่งดังและขึ้นแท่นเป็นพระเอกสามีแห่งชาติจากละครเรื่อง เมีย 2018 เพราะเหตุนี้จึงทำให้หลายคนมองว่า เส้นทางพระเอกของฟิล์มนั้นดูโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่งานนี้เจ้าตัวเล่าให้เราฟังว่า 

“ในวันที่เลือกขอเดินตามความฝันของตัวเอง อยากจะบอกว่าเส้นทางความฝันของทุกคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีความสำเร็จไหนที่ได้มาฟรีๆ ในระหว่างทางที่ผมเดิน ผมต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะเหมือนกันเพราะเราสู้มาคนเดียว 

มันก็มีวันที่ผมท้อถึงขั้นไม่อยากจะทำงานแล้วก็มี แต่จิตใต้สำนึกก็จะบอกตัวเองว่า ลองคิดดูนะมีคนอีกกี่หมื่นกี่แสนคนที่อยากจะมายืนอยู่จุดนี้

แต่เรามายืนจุดนี้ได้แล้วจะมาทิ้งมันไปแบบนี้เหรอ อยากได้มันไม่ใช่เหรอ อยากมายืนตรงนี้เองไม่ใช่เหรอ แล้วจะมาคิดแบบนี้ได้อย่างไร ก็เลยเป็นแรงผลักให้ผมเดินทาง เหมือนมีปิศาจ 2 ตัวยืนเถียงกันอยู่ในหัวเรา (ยิ้ม)

ตอนที่ผมกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วงนั้นผมเหนื่อยมาก เป็นช่วงปี 2018 ผมทำงานเยอะสุดคือ 28 วันไม่มีวันหยุด นอนน้อยสุดคือ 2 ชั่วโมง แต่กว่าจะมาถึงวันที่ทุกคนรู้จักผม ได้ฉายาสามีแห่งชาติ มีคนมารอเจอตามงานอีเวนต์เยอะมากขนาดนี้

ผมก็เหนื่อยมาเยอะเหมือนกัน ก็ยอมรับว่าเคยคิดบ้างว่าเมื่อไหร่โอกาสจะมาถึงเราซะที แต่ก็ไม่ได้ท้อ และเอามากดดันตัวเองว่า

อยากทำงานแบบมีความสุขมากกว่า และพอวันนั้นมาถึง ผมก็อยากจะขอบคุณตัวเองที่ทำตามฝันของตัวเองและไม่ฟังเสียงของคนรอบข้าง 

สิ่งที่เราทำคือการทำตามความฝันของตัวเอง ฟังเสียงของตัวเอง ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ฝันของผมไม่ได้ทำร้ายใคร”

แบกความคาดหวังของตัวเอง

ตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นพระเอกเบอร์ต้นอีกคนของช่องวัน ฟิล์มมีความกดดันน้อยลง หรือมีความกดดันเพิ่มขึ้นกับการทำงานตรงนี้ ซึ่งเราได้รับคำตอบจากพระเอกหนุ่มมาว่า 

“ผมไม่ได้แบกความกดดันจากคนอื่น แต่ตัวเองมีความคาดหวังจากตัวเองมากขึ้น อยากทำผลงานให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากหยุดอยู่ที่เดิม

เราเป็นศิลปินคนหนึ่งที่อยากให้ผลงานมันออกมาดี และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพราะอยากให้ความสุขกับคนดูได้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ครั้งที่ผลงานออกสู่สายตาแฟนๆ 

และผมจะเช็กการทำงานของตัวเองตลอด เวลาละครออนแอร์ผมก็จะเช็กในทวิตเตอร์ เพราะทวิตเตอร์เป็นโซเชียลที่เรียลไทม์ที่สุด ณ ขณะนั้น ซึ่งก็มีทั้งดีและไม่ดี อะไรที่ดีก็เก็บเป็นกำลังใจ อะไรที่ไม่ดีเราก็น้อมรับ เอามาพัฒนาต่อไป”

หนังสือเปลี่ยนความคิด

แน่นอนว่า การที่ ฟิล์ม ธนภัทร เป็นคนในวงการบันเทิง มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการบันเทิง มันก็ต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ซึ่งจะมีทั้งคำชื่นชมมาให้กำลังใจและคำตำหนิมาบั่นทอนความรู้สึก

และฟิล์มก็เป็นอีกคนที่เจอทั้งดอกไม้และก้อนหินจากโลกโซเชียล เราเลยถามฟิล์มตรงๆ ว่า อยู่วงการมา 5-6 ปี เริ่มมีภูมิต้านทางด้านนี้บ้างหรือยัง ซึ่งเราได้คำตอบว่า 

“เรื่องมีภูมิคุ้มกันจากโลกโซเชียลแค่ไหน แม้ผมเพิ่งจะเข้ามาในช่วง 5-6 ปี แต่ผมเข้าใจมากขึ้นมากกว่า เพราะตอนเข้าที่เข้าวงการแรกๆ ด้วยวัยของผมเอง ตอนนี้ผมโตขึ้น เจอคนมากขึ้น ได้ผ่านการทำงานกับคนมากขึ้น เลยทำให้มีมุมมองที่เปลี่ยนไป 

เมื่อก่อนผมเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางตลอดเวลา ผมเริ่มมองในมุมของคนอื่นมากขึ้น ทำให้ผมเข้าใจคนมากขึ้นเยอะเลย ทำให้ได้เป็นผู้ให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่กับคนดูนะ แต่เป็นกับทีมงาน และคนรอบข้างตัว

ช่วงโควิดที่ผ่านมานี่แหละผมเริ่มเป็นคนอ่านหนังสือ เมื่อก่อนเป็นคนไม่อ่านหนังสือเลย เกลียดการอ่านหนังสือมาก (ลากเสียง)

ตอนเด็กๆ แม่ต้องจ้างผมอ่านหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ หน้าละ 10 บาท เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว แต่ผมไม่อ่าน ไม่ชอบ ทั้งๆ ที่คนอ่านกันทั้งโลก 

และหนังสือก็เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของผมไป ผมเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนก่อน แต่อ่านแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยังไปได้ไม่ไกล ก็เลยรู้ว่า คนไม่เก่งเขาโหยหาวิธีการ แต่ที่เก่งแล้ว เขาโหยหาวิธีคิด

จุดเปลี่ยนชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่วิธีการ แต่อยู่ที่วิธีคิดที่เป็นจุดเริ่มต้น เพราะถ้าวิธีคิดได้ วิธีการจะตามมาเอง ผมเลยอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิธีคิด แนวความคิดต่างๆ 

เริ่มซื้อหนังสือ สะสมหนังสือ กลายเป็นคนอ่านหนังสือ พยายามอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน ผมเริ่มนั่งสมาธิ เริ่มศึกษาวิธีคิดของคนที่เขาสำเร็จว่าเขาคิดยังไง เขาถึงสำเร็จ

มันก็เลยทำให้ผมได้เห็นมุมมองในการมองโลก การมองสิ่งรอบข้างของคนที่สำเร็จ มันก็เลยทำให้ผมตลกผลึกในสิ่งที่ได้เห็นในช่วงที่ทำงานในวงการบันเทิง ก็เลยค่อยๆ เปลี่ยนตัวผมไป 

ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นลง เมื่อก่อนจะเป็นคนใจร้อนมาก ผมจะหงุดหงิดเมื่อเจอรถติด อยู่ในรถก็จะนั่งด่า แต่พอมานั่งอ่านหนังสือเลยทำให้มุมมองความคิดมันเปลี่ยน 

ทำให้รู้สึกขอบคุณช่วงเวลารถติด เพราะมันทำให้ผมมีเวลาฟังพอดแคสต์เกี่ยวกับวิธีคิดเพิ่มอีกหลายชั่วโมง ผมกลายเป็นคนที่มีความสุขจากการที่รถติด ตอนนี้รู้แล้วว่าความสุขมันหาได้ง่ายขึ้น 

เมื่อก่อนผมจะคิดแค่ว่า ความสุขมันคือเงิน ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ความสุขคือได้กินอาหารดีๆ มีรถหรู พาแม่ไปเที่ยวรอบโลก มองว่าความสุขเป็นสิ่งของที่อยู่นอกกายหมดเลย

แต่พอมานั่งศึกษาพวกนี้ มุมมองเปลี่ยนไป ทำให้ตัวเองมีสติมากขึ้น เห็นว่าความสุขไม่ได้อยู่กับสิ่งของพวกนี้ แต่มันอยู่ที่ใจเราล้วนๆ

เราสามารถมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ได้ในทุกวัน แค่ตื่นมาก็มีความสุข แค่ตื่นมามีลมหายใจ มีงานทำก็มีความสุขแล้ว แม้วันนั้นจะเป็นวันที่เหนื่อย”

โด่งดังแต่ชีวิตกลับว่างเปล่า

เราถามพระเอกหนุ่มต่อทันทีว่า ในช่วงที่เป็น ฟิล์มห้างแตก ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง มีความสุขที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรากลับได้รับคำตอบที่ทำให้ต้องตกใจไม่น้อยจากฟิล์มว่า 

“ผมเคยทำงานหนักจนสภาพจิตใจแย่ ไม่รู้แย่จากอะไร อาจจะทำงานหนักไปแล้วเกิดความเครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว ก็เลยรู้สึกว่าอยากเบา ชะลองาน ไม่หยุด ขอทำงานเบาๆ ค่อยกลับมาลุยใหม่ ตอนนั้นมันเครียดหลายๆ ด้านสะสมมาเรื่อยๆ 

ช่วงที่เป็นที่รู้จักแรกๆ มันเหมือนชีวิตว่างเปล่า มีความรู้สึกนี้เข้ามา ตอนนั้นไม่รู้เรียกว่าหดหู่ได้มั้ย แต่มีคำถามว่าเรามีชีวิตอยู่ไปทำไม มีเงินในบัญชีเยอะแล้ว มีชื่อเสียงแล้ว มีคนรู้จักแล้ว มีงานเยอะแล้ว แต่ทำไมไม่มีความสุขเลย

แต่ก็ไม่ได้ทุกข์นะ แค่รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุขและความหมายแต่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายนะ ถามตัวเองว่ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ความหมายในชีวิตนี้คืออะไร แต่มันก็ผ่านไปเพราะเราออกไปทำงานต่อ

และอย่างที่ผมบอก สิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่ได้ทำให้เรามีความสุขหรอก แต่ความสุขที่แท้จริงมันมาจากใจเรา แม้ขณะนั้นเรามีทุกอย่างแล้วแต่ทำไมกลับรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีความสุข เป็นเพราะที่ใจเรามากกว่า จิตใจเราเหมือนเครื่องยนต์รถ ถ้าล้อมันพัง มันก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี (ยิ้ม)”

เกิดมาในครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อม

ถือว่าเส้นทางที่ ฟิล์ม ธนภัทร เลือกเดินนั้นไม่ผิด เพราะเขาประสบความสำเร็จในการแสดงอย่างรวดเร็วกว่าใครอีกหลายคน เราจึงถามฟิล์มตรงๆ ว่า คิดว่าตัวเองโชคดีมั้ยที่ทุกอย่างมันเป็นไปในทิศทางที่ดีมากขนาดนี้ พระเอกหนุ่มยิ้มและตอบกับเราว่า 

“ผมรู้สึกโชคดีที่เกิดมาเป็นลูกแม่มากกว่า เพราะผมได้การปลูกฝังความคิดดีๆ มาตั้งแต่เด็ก มันก็เลยทำให้ผมมีวันนี้ได้ ถ้าผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้ ก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตแบบนี้ก็ได้ ผมอาจจะไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ก็ได้ 

ด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็ก ผมก็คิดอะไรแบบเด็กๆ ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ มีคำถามว่าทำไมเราไม่เกิดในครอบครัวที่เพียบพร้อม ที่มีเงิน มีคนซัพพอร์ต อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน มีเงินเรียน ซึ่งครอบครัวผมไม่มีแบบนั้นให้ ในตอนนั้นผมคิดแบบนั้น 

แต่วันนี้ผมคิดอีกแบบ พอย้อนกลับไปและนั่งคิดกับตัวเองว่า ถ้าวันนั้นเรามีเพียบพร้อมทุกอย่าง ผมจะสู้ชีวิตเท่าตอนนั้นมั้ย ถ้ามีเพียบพร้อมทุกอย่างแล้วจะขี้เกียจมั้ย เราจะไขว่คว้าไล่ตามความฝันของตัวเองมั้ย มันอาจจะไม่ก็ได้ 

พอมาวันนี้ก็เลยรู้สึกดีใจ รู้สึกขอบคุณที่เรามีชีวิตแบบนี้ เราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้เพียบพร้อม ครอบครัวไม่ได้ผิด แต่ถ้าเราตายไปทั้งๆ ที่เรายังจนเหมือนเดิม นั่นคือความผิดของเรา

เพราะชีวิตจะเป็นอย่างไรไม่ได้อยู่ที่ครอบครัว ไม่ได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แต่ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราคือคนกำหนดเอง อย่าไปโทษใคร อย่าไปโทษสิ่งแวดล้อม 

มันมีหลายคนที่เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ขาดแคลนมากกว่าผม แต่เขาสามารถยิ่งใหญ่ระดับโลกได้ และทำไมเรายังมานั่งโทษสิ่งแวดล้อมรอบข้างอยู่

และผมอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงมันไม่ได้สวยหรูนะ แต่รางวัลของมันต่างหากที่สวยหรู

และวงการนี้ก็ให้อะไรกับผมหลายอย่าง ทั้งชื่อเสียงเงินทอง บ้าน รถ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมได้มากที่สุดกลับไม่ใช่สิ่งพวกนั้น

แต่เป็นมุมมองการใช้ชีวิตและประสบการณ์มากกว่าที่เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่ผมได้จากวงการนี้ และสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุดก็คือ ได้เห็นแม่กินอิ่มนอนหลับ ไม่เครียดเท่าเมื่อก่อน เห็นรอยยิ้มเขาก็ทำให้ผมแฮปปี้แล้ว (ยิ้ม)” 

ผลงานละครเรื่องล่าสุด 

และตอนนี้ ฟิล์ม ธนภัทร กำลังมีผลงานละครเรื่องล่าสุดอย่าง ฟ้าเพียงดิน ละครชื่อดังในอดีตที่เอามาปัดฝุ่นทำใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ ฟิล์ม ต้องปะทะฝีมือกับ กัปตัน ภูธเนศ และนางเอกสาว ปราง กัญญ์ณรัณ ที่ข้ามช่องมาเล่นที่ช่องวันเป็นครั้งแรก ซึ่งฟิล์มได้เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานที่แสนจะสนุกให้ฟังว่า 

“สำหรับละครเรื่องฟ้าเพียงดิน เป็นละครรีเมกที่เคยโด่งดังในอดีตเอามาทำใหม่ ถามว่าผมหนักใจมั้ย ก็ไม่นะครับ เพราะมันเป็นคนละเวอร์ชันกันอยู่แล้ว การตีความอะไรหลายๆ อย่างก็แตกต่างกันออกไป

แต่ที่หนักใจก็คือการได้ร่วมงานกับพี่กัปตัน เพราะพี่เขาเคยเล่นฟ้าเพียงดิน เวอร์ชันเก่าเอาไว้ และอีกอย่างพี่กัปตันก็เป็นนักแสดงที่เก่งมากๆ

เรื่องนี้เลยทำให้ผมต้องทำการบ้านหนักเป็นพิเศษ เพราะต้องเข้าฉากปะทะอารมณ์กันอยู่หลายฉาก เวลาเข้าฉากพี่กัปตันส่งอารมณ์มาอย่างเต็มที่ เราก็ต้องเล่นให้เต็มที่เหมือนกับที่พี่เขาส่งมา ซึ่งมันสนุกมาก แต่ก็เครียดมากเหมือนกัน (ยิ้ม) 

ส่วนการทำงานกับ ปราง กัญญ์ณรัณ เป็นอะไรที่แฮปปี้มาก เขาก็เป็นอีกคนที่เล่นละครได้ดีมาก และสวยมากๆ ด้วย (ยิ้ม) รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมงานกัน เราเป็นคู่บัดดี้ในการทำงานได้ดีมากๆ เลยครับ 

สำหรับละครเรื่องนี้ บทของ เทวราช ที่ผมได้รับนั้น ค่อนข้างที่จะหนักหนาอย่างที่บอกไป ตัวละครมีความซับซ้อนของอารมณ์ ดูแรกๆ คนดูอาจจะเกลียดว่าทำไมถึงร้ายแบบนี้

แต่จริงๆ ที่เขาร้ายมันมีปมที่ทำให้ต้องทำตัวแบบนั้น จริงๆ เขาน่าสงสาร อยากให้ลองติดตามดูแล้วจะรู้ว่า เทวราชนั้นน่าสงสารมากๆ นะครับ อย่าเพิ่งเกลียดกันเลย (ยิ้ม)

สำหรับละครเรื่องนี้ พวกเราทุกคนตั้งใจกันมากๆ ทั้งนักแสดงและทีมงานด้วย ยังไงก็อยากจะฝากละครเรื่อง ฟ้าเพียงดิน เรื่องนี้ด้วยนะครับ สนุกและเข้มข้นมากทุกตอนไม่อยากจะให้พลาดกันเลยสักตอนเดียว ยังไงก็ขอฝากด้วยนะครับ” 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Varanya Phae-araya,  Chonticha Pinijrob

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย 

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2453473
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2453473