“ปราง กัญญ์ณรัณ” สู้ชีวิตเจอชีวิตสู้กลับ! เกือบต้องลาวงการใน “ฟ้าเพียงดิน”


ให้คะแนน


แชร์

“ปราง” เปิดเผยเรื่องราวเริ่มจากรู้สึกยังไงที่กระแสละครปัง? “ดีใจมากค่ะ หนูเองก็ลุ้น ตอนทำงานเราก็เราตั้งใจทำงานสุดๆ แต่เราไม่มีทางรู้หรอกว่าฟีดแบ็กของคนดูจะเป็นยังไง ทำไปเต็มที่ก่อน งัดทุกอย่างหมดทั้งตัวออกมาแล้วค่ะเรื่องนี้ พอเรตติ้งออกมาแล้วพี่ๆทีมงานมาบอกเราก็ดีใจมาก”

เรียกว่าหายเหนื่อยชื่นใจเลยมั้ย? “โห วันแรกคือกรี๊ดมาก ก็ยอมรับว่าเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะไปถึงขนาดนั้น แต่ก็ดีใจนะคะที่มันไปถึง และก็หวังว่ามันจะอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ”

ร่วมงานครั้งแรกกับช่องวัน? “ต้องขอบคุณพี่บอย-ถกลเกียรติ พี่ป้อน-นิพนธ์ พี่ใหม่-ภวัต ที่ไว้ใจและมองเห็นว่าเราเหมาะกับบทนี้ ตอนแรกยอมรับเลยนะคะว่ารู้สึกเหงาๆอยู่เหมือนกันตอนที่ตัดสินใจออกมาเป็นอิสระ เราไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไรบ้าง แต่เราก็สู้สุดใจเหมือนกัน ถึงกำลังใจดีแต่ถ้าไม่มีโอกาสที่ดีก็อาจจะไม่ได้มาถึงจุดนี้ ก็ต้องขอบคุณสำหรับโอกาสดีๆและบทดีๆและความไว้วางใจที่ผู้ใหญ่มีให้”

ผู้กำกับเป็น พี่ใหม่–ภวัต พนังคศิริ ที่กำกับบุพเพ สันนิวาส ที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว? “หนูกรี๊ดมาก พี่ป้อนบอกว่าเรื่องนี้เป็นพี่ใหม่กำกับนะ หนูก็บอกเลยว่าหนูจะเล่นๆ และด้วยความที่ชื่อละครคือ ฟ้าเพียงดิน เราก็รู้เนื้อเรื่องอยู่แล้วโดยแทบไม่ต้องขออ่านบทด้วยซ้ำ มันเลยตัดสินใจได้เร็วมาก พอได้เจอกันก็ดีใจกรี๊ดกันใหญ่ นอกจากพี่ใหม่ก็ยังมีพี่ๆ โปรดิวเซอร์พี่ๆในกองหลายคน เป็นคนที่หนูเคยร่วมงานด้วย มันเลยเป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านอีกครั้ง มีคนที่เราสนิทค่อนข้างเยอะ ที่เราเคยรู้สึกเหงาๆเลยหายไปหมด”

ในละครได้เล่นไวโอลินด้วย? “ใช่ค่ะ ต้องขอบคุณพี่ใหม่เพราะในบทประพันธ์เดิมไม่มี แต่พี่ใหม่รู้อยู่แล้วว่าหนูเล่นไวโอลินได้ เลยใส่เข้าไป แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ หนูดีใจมากเพราะไวโอลินเป็นสิ่งที่ชอบมาก และเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้ถูกหยิบมาใช้จริงๆจังๆขนาดนี้ เหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ที่สำคัญคือพ่อแม่หนูดีใจมาก ดูแล้วจะร้องไห้เลย เค้าส่งเสียเราเรียนมาแล้ววันนี้มันได้ใช้แล้ว แม่ดีใจมากจริงๆ”

ร่วมงานพระเอก ฟิล์ม–ธนภัทร เป็นยังไงบ้าง? “กับฟิล์มไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาเจอกันวันแรกก็ไปเรียนเวิร์กช็อปกันเลย แต่โชคดีตรงที่เค้าเป็นคนเสียงดัง เปิดเผย เข้าถึงง่าย เราเลยสบายใจตั้งแต่เจอกันวันแรก ปรางรู้สึกเลยว่าปรางจะเข้ากับคนคนนี้ได้ง่าย เพราะเค้าค่อนข้างโอเพ่น ถือว่าเป็นบัดดี้ที่ทำงานด้วยแล้วคลิกกันเร็วมาก และปรางไม่ค่อยได้รับบทที่ต้องฉะ ก๋ากั่นกับพระเอกขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะเล่นบทเรียบร้อย พูดน้อย อ่อนหวาน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกที่พลิกคาแรกเตอร์มากๆ พี่ใหม่ยังบอกเองเลยว่าค่อนข้างยาก เพราะเค้ารู้จักปรางมานานก็ยังไม่เคยเห็นปรางรับบทแบบนี้ เค้าก็บอกว่าพี่จะทำให้ปรางเป็นปรางคนใหม่นะ มาสู้ไปด้วยกัน หนูเลยบอกว่าหนูอยากเล่นบทแบบนี้มานานแล้ว คนดูก็คงจะอยากเห็น”

แล้ว “ปรางคนใหม่” เป็นยังไงบ้าง? “จริงๆทำอะไรหลายอย่างเลยค่ะ ตั้งแต่ไปเรียนเวิร์กช็อป ครูแอ๋วก็บอกว่าด้วยความที่เนเจอร์เราเป็นคนอัธยาศัยดี มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยโกรธใคร แต่ในเรื่องต้องโกรธพระเอกตลอดเวลา เลยต้องทำการบ้านเยอะมาก แต่กลายเป็นความสนุก ได้ข้อคิด ได้บุคลิกอะไรใหม่ๆเข้ามา ตอนถ่ายสนุกมาก แค่หนูได้กระชากคอเสื้อพระเอกหนูก็มีความสุขแล้ว (หัวเราะ) ได้กระโดดถีบทั้งกระโปรง คือมันเป็นอะไรที่เราไม่เคยทำ สนุกมาก ฟินมาก ดีใจที่คนดูจะได้เห็นอะไรใหม่ๆจากเราด้วยค่ะ”

ได้ยินว่าขี่ม้าจนก้นแตก? “แตกกันหมดค่ะ เราฝึกกันนานถึงจะแค่ 4 วันแต่มันใช้ชั่วโมงเยอะ ฝึกทั้งวันไม่หยุด ต่อให้มืออาชีพขนาดไหนมาขี่ทั้งวันก็แตกค่ะ มันกระแทกตลอดเวลา ต้องมียกม้าด้วย ขี่ม้ามือเดียว เล่นไวโอลินบนหลังม้า ถ่ายทำกันท่ามกลางอากาศร้อนเดือนเมษายน ที่กาญจนบุรี โหดมากค่ะ”

ได้ยินว่าร่างกายไม่เอื้ออำนวยในการถ่ายทำจนอยากเลิก? “เครียดจริงๆค่ะ คือมันเหมือนเป็นอีกก้าวนึงที่สำคัญของชีวิต แต่ช่วงนั้นก็ดันมาไม่สบาย เป็นแพ้ภูมิช่วงเปิดกล้องเลย คิวแรกเลยค่ะป่วยหนักมาก ทุกคนต้องไปถ่ายกันโดยที่ไม่มีปรางแล้วก็ใช้สแตนอินเล่นไปก่อน กล้องรับเฉพาะหน้าฟิล์ม นั่นหมายความว่าพอปรางหายดีช่วงเมษายนก็ต้องไปถ่ายซ่อมใหม่คนเดียว แต่ฟิล์มก็ต้องมาเล่นให้ด้วย”

ณ ตอนนั้นเป็นยังไง? “คืออยู่ดีๆอาการก็กำเริบขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะปกติแข็งแรงมาตลอด ก็คิดว่าคงเป็นแค่ชั่วคราว แต่มันกลับหนักขึ้นเรื่อยๆจนจะเปิดกล้องแล้ว เราก็ลุ้น ยิ่งเครียดมันก็ยิ่งแย่ เพราะมันเป็นโรคเกี่ยวกับภายใน เป็นอาการแพ้ภูมิตัวเองแต่ไม่ใช่โรค SLE โรคนี้มันค่อนข้างไม่เหมาะกับอาชีพนักแสดง ปัจจัยกระตุ้นของมันคือความร้อน ความเครียด แล้วก็อาหารบางอย่าง หนูเลยดูเหมือนว่าเรื่องเยอะทันที โดนแดดเยอะไม่ได้ กินไข่เจียวไม่ได้ ไม่เคยเป็นมันเลย เพิ่งมาออกอาการ ตอนถ่ายทำตอนขี่ม้า ตอนร้อนจัดแก้มจะแดงมากๆ เราก็เครียดไม่อยากทำให้คนอื่นมารอเรา รู้สึกแย่มากๆ เรากำลังย้ายมาอยู่ในที่ใหม่ๆมันไม่ควรจะเกิดขึ้น หนูกังวลมากๆ แต่ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ไม่คิดว่าทุกคนจะเข้าใจหนูมากขนาดนี้ จนกระทั่งใกล้ปิดกล้องมันก็ดีขึ้นมาก”

ตอนคุณหมอบอกว่าไม่เหมาะกับอาชีพนี้เรารู้สึกยังไง? “เราก็ถามหมอเลยนะว่าหนูต้องเลิกเป็นนักแสดงมั้ย ตอนเครียดๆเราก็คิดไปถึงตรงนั้นเลยว่า หนูต้องเลิกเป็นนักแสดงแล้ว พูดกับคนสนิทๆว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องสุดท้าย หรือไม่ก็อาจจะไปไม่รอด เพราะแค่เริ่มถ่ายก็ต้องหยุดแล้ว เค้าอาจจะเปลี่ยนตัวเราด้วยซ้ำ เครียดจริงๆค่ะ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาถึงวันนี้ สุดท้ายมันอยู่ที่ใจ ต้องทำยังไงก็ได้ให้ไม่เครียด”

เรียกว่าเป็นจุดสับสนที่สุดในชีวิต? “ใช่ค่ะ สำหรับหนูมันคือจุดที่ยากที่สุดในชีวิตแล้ว ตอนที่มันยังไม่หาย มันเป็นทุกวันแล้วมันท้อมาก เวลาตื่นจะไปทำงานมันตื่นมาด้วยความหนักใจว่าวันนี้จะปะทุออกมาตอนไหนไม่รู้ แล้วเวลาเล่นฉากดราม่ามากๆมันจะร้อน”

ช่วงนั้นร้องไห้เยอะมั้ย? “ร้องไห้เยอะเลยค่ะ แล้วยิ่งร้องมันก็ยิ่งแดง รู้สึกว่าทำยังไงดี แต่ทุกคนในกองเอนเตอร์เทน โชคดีมากที่หนูอยู่กองนี้แล้วหนูมีความสุขมาก บรรยากาศในกองทุกคนมีความสุขมันทำให้ทำงานไปเรื่อยๆจนลืมความเครียด นี้ทุกคนใส่ใจและดูแลเรา
น่ารักมากๆ หนูคิดว่าหนูหายเพราะกองถ่ายนี้ ตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคขึ้น 90% ส่วนใหญ่จะรักษาดูแลตัวเอง ทานวิตามิน บำบัดตัวเอง ออกไปเจอธรรมชาติ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ช่วงนี้พยายามเบรกละครไว้ก่อน น่าจะอีกประมาณ 2 เดือนก็เริ่มใหม่ค่ะ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/novel/news/2457374
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/novel/news/2457374