ก้อง สหรัถ กับ 34 ปีวงการบันเทิง ตอบชัดเป็นคนเนี้ยบอย่างที่คิดหรือไม่


ให้คะแนน


แชร์

ขึ้นชื่อเป็นหนุ่มหล่อลุคเนี้ยบ อบอุ่น ความสามารถรอบด้านของวงการบันเทิง สำหรับ ก้อง สหรัถ สังคปรีชา ที่มีผลงานมาแล้วมากมาย ทั้งการเป็นนักร้องนักดนตรีในนามวง Nuvo (นูโว) และศิลปินดูโอ โจ-ก้อง รวมไปถึงบทบาทพระเอกละครและภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาถึงชีวิตในวงการบันเทิงตลอด 34 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งพูดคุยถึงคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของเขา ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายน 2565 รวมไปถึงตัวตนจริงๆ ของเขาว่าแท้จริงแล้วเป็นคนหล่อเนี้ยบเหมือนภาพจำที่หลายคนคุ้นตาจากการทำงานหรือไม่ การดูแลตัวเองที่ทำให้ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีก็ยังคงดูดีอยู่เสมอ

กว่าจะเป็นนูโว

เราชวนคุยถึงเส้นทางในวงการเพลงของก้อง ซึ่งเจ้าตัวเล่าถึงวันวานในการรวมตัวกับเพื่อนๆ เป็นศิลปินวงนูโวไว้ว่า “เริ่มมาจากเรียนโรงเรียนศรีวิกรม์ด้วยกัน มาเจอกันแบบครบวง ผมกับโจ (จิรายุส วรรธนะสิน) อยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมาก่อน แล้วย้ายมาอยู่ศรีวิกรม์ เจอจอห์น (จอห์น รัตนเวโรจน์), สุ (สุรชัย สุนทรธาดากุล), ใหม่ (ชยุต บุรกรรมโกวิท) และปีเตอร์ (ปีเตอร์ แอนโทนี่ แฮมมอนด์) ซึ่งเป็นน้องชายจอห์น ก็เลยรวมตัวกัน มาเล่นผับบาร์อยู่ 2-3 ปี แล้วมาเซ็นสัญญากับแกรมมี่ ออกอัลบั้มปี 2531

คือเริ่มจากผมกับโจเล่นดนตรีมาตั้งแต่กรุงเทพคริสเตียน เล่นมาตั้งแต่ ม.1-2 เริ่มเล่นแบบเด็กๆ เล่นกับโจและเพื่อนที่คริสเตียน พอย้ายมาศรีวิกรม์ตอน ม.ปลาย ผมกับโจก็รวบรวมวง เราเป็นพวกชอบเล่นดนตรี เจอใครก็ดึงเข้ามา จนมีวันนึงมีงานห้องสมุด พวกเรามีวงอยู่แล้ว ก็เลยจัดงานห้องสมุดแต่มีดนตรีเล่นด้วย เราก็ไปชวนวงดนตรีรุ่นพี่รุ่นน้องมาเล่นดนตรี น่าจะเป็นงานแรกๆ ของศรีวิกรม์ที่มีการเล่นดนตรีสดเกิดขึ้น โดยพวกผมเป็นตัวตั้งตัวตี

จากนั้นเราก็เห็นว่าเด็กรุ่นน้องเราปีนึงก็มีวง เล่นดีเลย คือสุกับใหม่เขามีวง แต่พอเราไม่ได้จัดงาน เราก็ไม่รู้ว่าใครมีวงมั้ย ในโรงเรียนมีกี่กลุ่มที่เล่นดนตรี พอมาจัดงานนี้เลยได้เห็นว่ามีกลุ่มเรากับรุ่นน้องคือสุกับใหม่ แล้วพอขึ้นมาอีกปีนึง วงผมที่ฟอร์มกับพี่ ม.6 เขาก็เรียนจบไป เราก็ขาดมือเบสกับกลอง ก็เลยชวนใหม่กับสุเข้ามา ก็เลยเห็นเป็นนูโวอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้นเราใช้ชื่อว่าวงไฮสกูล เพราะตอนนั้นเราอยู่ไฮสกูลเลยเอามาตั้งชื่อวง พอเข้าแกรมมี่ เขาบอกว่าชื่อไฮสกูลก็จะถูกจำกัดเหมือนเป็นเด็กไฮสกูล ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นนูโวครับ

ส่วนช่วงที่ไปเล่นตามผับก็เหมือนชีวิตคนกลางคืน ตอนนั้นเรียนไปด้วยและเล่นดนตรีไปด้วย ก็หนักครับ เรียนไม่รู้เรื่อง กว่าจะได้นอนก็ตี 3 แล้ว ตื่นไปเรียน 8-9 โมงก็เรียนไม่รู้เรื่อง ใจมันไม่ค่อยอยู่กับการเรียนอยู่แล้ว อยากเล่นแต่ดนตรี แต่เรื่องที่ดีก็คือได้เก็บเกี่ยวชีวิตความเป็นนักดนตรี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เราก็แกะเพลงหลายแบบ การเล่นดนตรีหลายๆ รูปแบบมันทำให้เรามีประสบการณ์ ผมว่ามันน้อยไปด้วยซ้ำ แค่ 2-3 ปี จริงๆ ถ้าเล่นผับบาร์สัก 5-7 ปี มันจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่านี้ พวกผมเพิ่งเล่น 2 ปีกว่าก็ออกอัลบั้มแล้ว มันก็เหมือนกับว่าไม่ได้เล่นเพลงคนอื่นแล้ว เล่นแต่เพลงเราเอง ทำการบ้านแต่เพลงเราเองแล้วขึ้นไปโชว์”

ชีวิตศิลปินซุป’ตาร์

หลังจากที่วงนูโวออกอัลบั้มชุดแรก “เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย” ปี 2531 ก้องบอกว่าน่าจะเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุด ยอดขายล้านกว่าตลับ เพราะอัลบั้มต่อมา 8-9 แสนตลับ ถามว่าชีวิตตอนนั้นเป็นไงบ้าง เขาเล่าว่า “ชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากแค่นักดนตรีเล่นผับบาร์ พอออกอัลบั้มปุ๊บ ช่วง 4-5 เดือนแรกยังนิ่งๆ อยู่ คนยังงงๆ ว่านูโวคืออะไร แต่พอได้ออกคอนเสิร์ตโลกดนตรี 7 สีคอนเสิร์ตปุ๊บ ยอดเทปพุ่งขึ้นจากไม่กี่หมื่นตลับ แป๊บเดียวไม่กี่เดือนก็ล้านตลับ

ชีวิตก็เปลี่ยน งานเข้า คราวนี้ต้องออกเดินสายไปตามที่ต่างๆ ไปสัมภาษณ์ออกรายการทีวี วิทยุ เล่นคอนเสิร์ต ซ้อมดนตรี ออกไปถ่ายแมกกาซีน ไปที่ไหนก็มีแฟนคลับให้การต้อนรับ ไปจังหวัดโน้นนี้ก็มีคนมาออกันเต็มไปหมด ชีวิตจากที่เป็นแค่นักดนตรีคนนึงก็เปลี่ยนไป ไปไหนแฟนคลับให้การต้อนรับล้นหลาม ช่วงนั้นก็งงครับ ก็ค่อยๆ ปรับตัวครับ”

ถามว่ามีเหตุการณ์จากแฟนๆ แบบพีกๆ มั้ย นักร้องหนุ่มบอกว่า “เวลาลงรถตู้จะไปโรงแรม มันแน่นไปด้วยแฟนคลับ จะเดินจากรถตู้เข้าประตูโรงแรมก็ลำบากแล้ว โดนดึงตุ้มหูโดนดึงโน่นนี่นั่น แต่เขาก็มาด้วยความชื่นชอบนะ ไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไร ก็เป็นความคลั่งไคล้ มายืนกรี๊ดกร๊าด มาร้องเพลงนูโวที่หน้าโรงแรม ลานจอดรถ ร้องให้พวกเราได้ยิน จนพวกเราต้องยอมลงมาถ่ายรูป ให้ลายเซ็น ไปบางจังหวัดเด็กทุกคนร้องเพลงนูโวได้หมดทุกเพลงที่เล่นในสคริปต์ แล้วร้องดังมาก ดังจนเราไม่ได้ยินมอนิเตอร์ตัวเอง ไม่ได้ยิน PA จนเราไม่รู้ว่าตอนนี้เราเล่นไปถึงไหนแล้ว คือมีแต่เสียงคนร้องตาม

มันก็เป็นความตกใจอย่างนึงนะ คือเราไม่ได้ยินอะไรเลยอะ เป็นเสียงเด็กผู้หญิงร้องตะโกนดังกระหึ่ม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นฮอลล์หรือห้องจัดเลี้ยงของห้างอะไรสักห้างนึงที่จังหวัดแถวภาคอีสาน แล้วข้างบนห้างเป็นคอนเวนชันฮอลล์ คนก็แน่นเอี๊ยดแล้วร้อง ขนลุกอะ เราก็ดีใจ คนร้องเพลงเราได้ขนาดนี้เลยเหรอ แต่ขณะเดียวกันเราไม่ได้ยินเสียงของเราเองเลย แล้วเราจะเล่นต่อไปยังไง เละไปหมดแล้วบรรยากาศบนเวที ซาวนด์เละมาก

แต่คนดูส่งพลังมาว่าฉันร้องเพลงของพวกเธอได้ทุกเพลง ก็เป็นกำลังใจที่ดี แต่อีกมุมก็ตื่นเต้น เราไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย นักดนตรีเวลาไม่ได้ยินเสียงตัวเองมันจะงงไงว่าเราร้องไปถึงไหน ร้องตรงมั้ย เพี้ยนมั้ย เสียงดนตรีของเพื่อนๆ เป็นยังไง คือเราควรจะได้ยินทั้งหมดเวลาเล่นบนเวที มันต้องบาลานซ์กัน จะได้เล่นออกมาได้ดี แต่พอไม่ได้ยินซึ่งกันและกันก็งงว่าถึงไหนแล้ว”

ดูโอ้ โจ-ก้อง

นอกจากภาพจำการเป็นสมาชิกวงนูโวแล้ว อีกหนึ่งภาพจำที่คุ้นเคยคือการเป็นศิลปินดูโอ้กับเพื่อนซี้อย่างโจ จิรายุส ซึ่งก้องเล่าถึงการทำอัลบั้มกับโจว่า “หลังจากทำนูโวมา 4 อัลบั้ม ตอนนั้นไฟทางดนตรีเริ่มฉีดแรงมาก เริ่มไม่อยากเล่นแบบนูโวแล้ว นูโวจะเป็นป๊อปร็อก เราเริ่มมีรูปแบบของตัวเอง ความชอบส่วนตัว ไฟในดนตรีที่มันไม่ต้องการให้ใครทำให้แล้ว อยากทำเองหมดเลย (หัวเราะ) คือเมื่อก่อนตอนเราอยู่นูโวมันจะมีทีมโปรดิวเซอร์ เขาแต่งบ้าง เราแต่งบ้าง พี่ๆ เขาแต่งบ้าง ตอนหลังอยากสร้างงานเอง ก็เลยทำให้เกิด โจ-ก้อง ขึ้นมา ก็มาทำเพลงเอง ลุยเอง”

เมื่อถามฟีดแบ็กการทำงานครั้งนี้ ก้องบอกว่าแฟนเพลงเริ่มมีกลุ่มผู้ชาย นักดนตรี ที่โฟกัสเกี่ยวกับผลงานเพลง ไม่ได้ชื่นชอบแค่ตัวตนอย่างเดียว “ก็จะเป็นแฟนๆ กลุ่มที่ฟังดนตรีขึ้นมาหน่อย คือเพลง โจ-ก้อง มันไม่ใช่เพลงแมสหรือเพลงป๊อปแบบนูโวหรือป๊อปสดใส โจ-ก้อง จะมีมันๆ ดาร์กๆ บ้าง ก็จะได้กลุ่มเด็กผู้ชายเพิ่มขึ้น กลุ่มนักดนตรีเพิ่มขึ้น กลุ่มที่ฟังเพลงมากขึ้น อย่างนูโวจะได้กลุ่มแฟนเพลงผู้หญิง 95% กรี๊ดกร๊าดตัวเพลง ศิลปิน แต่พอเป็น โจ-ก้อง segment ของดนตรีมันเข้มข้นขึ้น ก็จะได้แฟนเพลงที่เป็นนักดนตรี

ผมจะเริ่มเห็นการเข้ามาขอลายเซ็นขอถ่ายรูปเริ่มเป็นเด็กผู้ชาย เริ่มเอากีตาร์มาให้เซ็น คือเริ่มสนใจงานเพลงเราแล้ว ไม่ได้กรี๊ดตัวตนอย่างเดียว บางทีมาถามว่าพี่ เพลงนี้เล่นกีตาร์ยังไง เพลงนี้ไลน์กีตาร์พี่คิดยังไง พี่ทำยังไง เรารู้สึกว่าเออ เขาฟังแล้วว่ะ ไม่ได้ขอถ่ายรูปอย่างเดียว คือก่อนหน้านั้นนูโวเรื่องดนตรีไม่ต้องพูดถึง มาถึงก็กรี๊ดแล้วถ่ายรูป แต่พอเป็น โจ-ก้อง เริ่มเป็นเด็กผู้ชายเข้ามาขอถ่ายรูป มาถามถึงกีตาร์ไลน์นั้นไลน์นี้เล่นยังไง แปลว่าเขาเริ่มฟังดนตรีมากขึ้น”

ส่วนความประทับใจในตัวเพื่อนสนิทคนนี้ ก้องบอกว่า “โจในมุมการทำงานเขาเป็นคนเอาจริงเอาจังนะ เขาเป็นคนที่เวลาซ้อมดนตรี เขาจะเป็นคนที่คอยบอกว่าประสานเสียงตรงนี้ เอาอีกหน่อย สุร้องดีๆ หน่อย จะคอยดูความเนี้ยบว่าต้องได้ประมาณนี้ ถ้ายังประสานไม่ดีก็เอาใหม่ คือเอาจริงเอาจังในเรื่องเวลาเล่นคอนเสิร์ต เขาค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องการซ้อม ไลน์ประสาน ความเนี้ยบละเอียดของดนตรี”

พระเอกละคร

นอกจากภาพการเป็นนักร้องนักดนตรีแล้ว อีกหนึ่งบทบาทที่โดดเด่นของก้อง สหรัถ คือการเป็นนักแสดงที่มีผลงานละครและภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง เราถามถึงที่มาของการเป็นนักแสดงว่าอยู่ในความคิดของเขามาก่อนหรือไม่ เจ้าตัวตอบทันที “ไม่ ตอนนั้นผมทำอัลบั้ม โจ-ก้อง อยู่สักพักก็มีไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ชวนไปเล่นหนังเรื่อง “คู่แท้ 2 โลก” ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแสดง

พอเขามาชวนเรา ให้เกียรติเรา ก็น่าจะลองดู ก็เลยรับปากเล่นไป ก็เป็นเรื่องเป็นราวเลย พอหนังเรื่อง “คู่แท้ 2 โลก” ออก ก็มีละคร “พริกขี้หนูกับหมูแฮม” ออนแอร์แล้วประสบความสำเร็จอีก คราวนี้ชีวิตนักแสดงก็เลยยาวเลย มีละครต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ถามว่าชอบการแสดงมาก่อนมั้ย ไม่ครับ เฉยๆ ไม่รู้เรื่องเลย ตอนนั้นแสดงอย่างเดียวคือแสดงเอ็มวีในแต่ละเพลง ไม่เคยถ่ายอะไรนอกจากนั้น”

ถามว่าบาลานซ์ชีวิตการเป็นศิลปินกับนักแสดงลงตัวมั้ย ก้องบอกว่า “ลงบ้างไม่ลงบ้าง (ยิ้ม) ไม่ลงก็คือเหนื่อยเกิน คือหนักเกินไป ทับซ้อนกันมากเกินไป ถ้าลงตัวมันต้องพอดีๆ มีเวลาเล่นดนตรี แสดง และพักผ่อน ช่วงไหนที่ทับซ้อนมากเกินไป เวลาพักผ่อนหาย ร่างกายก็ทรุดโทรม ก็ไม่ดี แปลว่าไม่ลงตัว ลงตัวมันควรจะดีทั้งหมด ได้พักผ่อนเพียงพอ เล่นดนตรีด้วย ทำงานแสดงด้วย

จริงๆ ก็ไม่ได้กำหนดว่างานอันไหนเป็นหลัก ก็มีงานเข้ามาก็ทำ ก็คิดว่าผู้จัดละครให้เกียรติเรา ให้เราไปเป็นพระเอกในละครของเขา เรารับไปก็มีรายได้ด้วย มีกระแสที่ดี ในขณะเดียวกันดนตรีมันก็เข้ามาอยู่เรื่อยๆ งานจ้างดนตรีมันไม่ได้มีอะไรกำหนด มีมาก็ต้องเล่นครับ ไม่ได้กำหนดว่าอะไรหลักหรือรอง มีงานเข้ามาก็ทำให้ดีที่สุดในแต่ละหน้าที่แค่นั้นเอง”

ในส่วนการรับงานแสดง ก้องบอกว่า “ดูจากบทก่อนว่าพอจะไปกับเราได้มั้ย อ่านแล้วเฮ้ย น่าเล่น ต่อมาคือผู้จัด ผู้กำกับ บทที่ชอบคือไม่เกินมนุษย์มนามากเกินไป บทที่มันเป็นตัวเราได้ เราแสดงได้ ส่วนใหญ่ผู้จัดหลายๆ ค่ายจะส่งบทคุณชาย เนี้ยบๆ แต่งตัวใส่สูทผูกไท ถามว่ามีบทที่ฉีกจากนี้ติดต่อมามั้ย ก็มีนะครับ แต่บางทีให้ไปเล่นเป็นกลุ่มแก๊งกะเทยซึ่งเราเล่นได้ไม่เหมือนแน่ๆ ก็อย่าเลย”

ถามว่ามีบทไหนที่ประทับใจ เจ้าตัวนิ่งคิดพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ลัดดาแลนด์ครับ อันนี้ชอบ ผมรู้สึกว่ามันเรียลดี มีหลายฉากมากที่ไม่ได้แต่งหน้าทำผมเลย มันดูเป็นคนดี ในเรื่องผมเล่นเป็นเซลส์แมนเฟลๆ คนนึง มีครอบครัว แม่ยายเกลียดขี้หน้า โดนเพื่อนร่วมงานหลอก เป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงที่เฟลในชีวิต ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานและครอบครัว

มันมีหลายฉากมากที่ไม่ต้องมีคำว่าพระเอกต้องหล่อตลอดเวลา เพราะตัวดำเนินเรื่องคือเซลส์แมนคนนึง รู้สึกมันเรียลดี ตัวเอกไม่จำเป็นต้องหล่อเนี้ยบ เป็นแบบนี้บ้างก็ได้ หน้ามันๆ บ้าง เพราะชีวิตคนจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นไง รู้สึกว่าการแสดงมันเรียล มันเป็นหนังที่ดูแล้วผมชอบและแฮปปี้ไปกับมัน คนก็เอามาพูดกันเยอะ ถามว่าเห็นมีมแล้วรู้สึกยังไง ก็สนุกดี คงเป็นอะไรที่คนคงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนี้”

รับบทโค้ชร้องเพลง

และอีกบทบาทที่หลายคนชื่นชอบ คือการเป็นโค้ชรายการ The Voice เราถามถึงการทำงานตรงนี้ ซึ่งก้องบอกว่า “ผมปฏิเสธรายการนี้อยู่นานมากเลย แต่พี่โอ๋ตื๊อผมสุดๆ จนเขาบอกว่าให้ผมเข้าไปประชุม เขาบอกว่าถ้าปฏิเสธอีกคราวนี้จะไม่ตื๊อแล้ว เขาก็ส่งคนมาทาบทาม คือผมกลัวว่าคำว่าเป็นโค้ชเนี่ยมันคืออะไร เราทำไม่เป็น ไม่ได้บอกว่ารายการไม่ดีหรือไม่ชอบ แต่มองว่าเราจะทำได้เหรอ เราเป็นนักดนตรี นักแสดง เราจะเป็นโค้ชได้ยังไง ถ้าทำได้ไม่ดีจะทำไปทำไม ก็เลยปฏิเสธ เขาก็เกลี้ยกล่อมแล้วบอกว่าเราทำได้ ไม่ยากหรอก ในที่สุดก็ตกปากรับคำ แล้วเราก็ทำได้จริงๆ ก็ไม่ยากนี่หว่า ก็เลยทำยาวมา”

ในช่วงแรกที่เริ่มทำ ก้องบอกว่าตอนแรกก็คิดว่าจะต้องทำยังไงในการโค้ชคนคนนึงให้เป็นนักร้องเพราะไม่เคยทำ เคยแต่โดนโค้ชมา โดนพี่เต๋อ (เรวัติ พุทธินันทน์) สั่งสอนมา รวมถึงพี่ๆ ในแกรมมี่ที่คุมร้องเพลง เล่นกีตาร์ แต่สุดท้ายมันก็ค่อยๆ ออกมาเอง

“จำได้ว่าเคยยืนร้องเพลงกับพี่เต๋อ 7-8 ชม. กว่าจะได้เพลงนึง บางที 2 วัน ยุคนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วย มันมีแต่เทป ไม่มีการร้องเพี้ยนแล้วเอาคอมพิวเตอร์ขยับให้ ร้องเพี้ยนก็เอาใหม่ เล่นกีตาร์กว่าจะผ่านก็โดนขับเคี่ยวจากพวกพี่ๆ เลยทำให้ผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวโดยที่ไม่รู้ตัวว่าผมมี วันนึงที่ผมต้องไปบอกว่าร้องแบบนี้สิ เราก็บอกได้เลยเพราะเราโดนมาเยอะ มันค่อยๆ ออกมาเอง เราก็ไม่รู้หรอกว่าเรามีตรงนี้ มันเป็นประสบการณ์ของเรา ผมก็ได้มาจากพวกพี่ๆ พอวันที่มาทำก็เป็นไปเองโดยที่ไม่รู้ตัว”

เมื่อเราถามถึงในวันนี้หลายคนที่เคยอยู่ทีมของโค้ชก้องประสบความสำเร็จ เขาบอกว่า “ก็ดีใจไปกับเขา เขาประสบความสำเร็จ เราก็รู้สึกแฮปปี้ที่เขาไปได้อย่างที่เขาฝันจริงๆ พอเราทำก็รู้สึกว่าเราทำได้ คนที่เราได้ผลักดันเขาและประสบความสำเร็จ ก็เป็นความรู้สึกที่ดี ก็ทำมาต่อ 8 ปี นี่ก็กำลังทำซีซั่นใหม่ครับ”

ถามว่าระหว่างชีวิตนักร้อง นักดนตรี นักแสดง อะไรคือสิ่งที่ใช่ เขาตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดว่า “เป็นนักดนตรี มันเป็นตัวเรา แต่นักแสดงเราเป็นคนในบท ไม่ได้เป็นตัวเอง เราเป็นตามบทที่เขาเขียนมา นักดนตรีเราเล่นออกไป แต่นักแสดงเราไปสวมบทคนคนนั้น แต่ทุกบทบาทเราทำได้ เป็นงานศิลปะ”

คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก

และอีกหนึ่งผลงานที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ของก้อง สหรัถ คือคอนเสิร์ต “ไทยประกันชีวิต presents KONG SAHARAT IN MY LIFE CONCERT” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายน 2565 งานนี้เจ้าตัวเล่าที่มาว่า เริ่มมาจากทางแกรมมี่ชวนให้จัดคอนเสิร์ต คุยกันไปมาทุกอย่างลงตัว เป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต เพราะที่ผ่านมาจะทำคอนเสิร์ตกับวงนูโว โจ-ก้อง หรือไปรับเชิญหลายๆ ศิลปิน

ความพิเศษคอนเสิร์ตครั้งนี้ นักร้องนักดนตรีหนุ่มกล่าวว่า “แน่นอนครับว่าคงจะเป็นเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา ก็จะมีเพลงที่ผมร้องในนูโว โจ-ก้อง เพลงที่ผมแต่ง เพลงที่ผมชอบและอยากร้อง อาจจะไม่ใช่เพลงผมเองหรือนูโว เป็นของศิลปินอื่นซึ่งผมไม่เคยร้องที่ไหน แต่เป็นเพลงที่ชอบและเล่นส่วนตัวกันเอง ไม่เคยแสดง ก็จะเอาเพลงเหล่านั้นขึ้นมาร้องด้วย

รวมทั้งคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตผมก็มาเป็นแขกรับเชิญด้วยครับ ตอนนี้ที่แน่ๆ มีนนท์ (ธนนท์ จำเริญ) เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับผมเป็นน้องในทีมเดอะวอยซ์ซีซั่นแรกที่ได้แชมป์ อาจจะมีไนท์ วิทวัส ที่เป็นเดอะวอยซ์เหมือนกันครับ อาจจะร้องเพลงละครด้วย เพราะชีวิตที่ผ่านมาผมร้องเพลงละครหลายเพลงครับ ส่วนคนอื่นๆ ต้องรอติดตามชมครับ บอกเดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ ขอกั๊กไว้ส่วนนึง แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังครับ คอนเสิร์ตนี้จะทำสิ่งที่อยากทำมาตลอด อยากทำอะไรทำ แต่ไม่รู้จะถูกใจคนดูรึเปล่านะ” ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ก้องเล่าต่อถึงการเตรียมคอนเสิร์ตครั้งนี้ว่า “ตอนนี้จบไปแค่เรื่องสคริปต์ เรื่องแขกรับเชิญ ถามว่าเรื่องโปรดักชันคอนเสิร์ตอยากให้เป็นแบบไหน จะไม่มีการห้อยโหนผมลงมาจากสลิง จะไม่มีการดันผมออกจากใต้พื้นเวที ก็คงจะเป็นเรื่องของภาพมั้ง ผมว่าน่าจะเป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพ ชีวิตที่ผ่านมาคืออะไร คือผมอยู่ในวงการนี้มา 30 กว่าปีแล้ว มันก็ผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะ

ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องการเล่าด้วยภาพขึ้นจอ คือผมอยากให้คนดูรู้สึกว่ามาดูผมครั้งนี้มันเหมือนเดินทางมาด้วยกัน เห็นภาพไปด้วยกัน อาจไม่ใช่เรื่องเวทีแสงสีเสียงตระการตา แดนเซอร์เป็นร้อย ห้อยโหนโผล่มาจากตรงนั้นตรงนี้ ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องการเล่นดนตรี ฟังดนตรี ฟังเพลง บวกกับภาพเรื่องราวที่มันจะเล่าเรื่องในคอนเสิร์ต แสงสีเสียงก็สวยงามตามท้องเรื่อง”

ห่างจากการขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่มานานหลายปี ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ก้องบอกว่า “ตื่นเต้นครับ ก็ 3-4 ปีแล้ว ล่าสุดก็ของนูโวประมาณ 3 ปีกว่าที่อิมแพ็ค จากนั้นก็ยังไม่ได้ขึ้นอีกเลย แล้วครั้งนี้เล่นคนเดียวด้วย ตื่นเต้นมากเลย คือเมื่อก่อนเราแบกรับอยู่ 20-30% เราขึ้นกับเพื่อนๆ 6 คน ทุกคนก็แชร์ภาระไป คราวนี้เหมือนต้องแบกคนเดียวทั้งหมด ก็หนักอยู่ ต้องฝึกซ้อมครับ ตอนนี้เริ่มไปประมาณนึงแล้ว ก็ช่วยกันดูครับ เริ่มไปด้วยกันตั้งแต่วางสคริปต์ แขกรับเชิญ ก็คุยกับทางแกรมมี่กับผู้จัดว่าอยากให้เป็นแบบไหน ก็ทำงานไปด้วยกันครับ”

ถามว่าคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นความฝันที่อยากทำมาตลอดหรือเปล่า ยังไม่ถึงกับความฝัน จริงๆ ก็มีแฟนคลับถามว่าเมื่อไรจะทำของตัวเองบ้าง เราก็กลัวๆ ยังไม่ได้คิดจะทำคนเดียว ก็หวั่นไหวอยู่ แต่ได้รับการชวนเยอะมาก มีการชวนจากหลายบริษัทหลายผู้จัดให้ทำ ด้วยความที่ยุ่งๆ กับชีวิตส่วนอื่น ถ่ายละคร ถ่ายรายการ ก็เลยยังไม่ลงตัว ยังไม่ตกปากรับคำกับใคร แต่พอแกรมมี่มาชวนก็เออ กลับบ้านเก่า ก็ลงตัวดี”

ส่วนความคาดหวังกับคอนเสิร์ต เจ้าตัวบอกว่า “อยากจะให้ออกมาดีที่สุด ประทับใจคนดูมากที่สุด มาแล้วเอ็นจอยไปกับเรื่องราวเพลง ดนตรี ร้องไปด้วยกันครับ ถามว่าจะมีเพลงใหม่อยู่ในคอนเสิร์ตมั้ย น่ามีเหมือนกันเนอะ เดี๋ยวลองดู น้องเปิดประเด็นมา พี่ต้องกลับไปคิดแล้วละ (ยิ้ม)”

ดูแลตัวเองสไตล์ก้อง สหรัถ

ใน 7 วันที่ต้องทำงานแทบทุกวัน ถามว่าดูแลตัวเองยังไง เพราะกี่ปีผ่านไปเขายังดูหล่อดูดีเหมือนเดิม ก้อง สหรัถ เผยว่า “อย่างแรกเลยต้องจัดเวลา ถ้าเกิดเรามีงานยุ่ง แอปแรกที่ผมจะเปิดในไอแพดคือแอปปฏิทิน ตื่นเช้ามาดูปฏิทินก่อนเลย มันอยากเห็นวันหยุดของตัวเองไงว่าจะได้หยุดวันไหน อยากเจอเพื่อน พอเห็นก็รีบล็อกเลยและเขียนไป จะได้จัดเวลาว่าวันนี้ทำอันนี้ถึงกี่โมง คืนนี้ต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ตื่นเช้า

ถ้าวันนี้ตื่นเช้า คืนนี้ไม่ควรนอนดึก สมมติวันนี้ว่าง ทำอะไรดี เราก็วางแผนเลย เช่น ไปแบงก์ เอารถไปเข้าศูนย์ ก็จะมีธุระปะปังชีวิตตัวเอง เสร็จจากนั้นไปบ้านเพื่อน เจอเพื่อนบ้างดีกว่า ผ่อนคลายสมองรีแล็กซ์ เฮฮากันบ้าง สำคัญที่สุดคือจัดตารางเวลาครับ ถ้าจัดลงตัวก็ลงตัว อันไหนถ้ามีงานติดกันเข้ามาก็จะขอเวลาพักบ้าง ถ้านัดจะขอนัดสายๆ บ่ายๆ บ้าง ตื่นเช้ามาหลายวันแล้ว วันนี้ขอตื่นสายหน่อย ถ้าเราไม่จัดแล้วรับๆๆ อดหลับอดนอน คุณภาพของงานก็ออกมาไม่ดี

ถามว่ามีกินวิตามินมั้ย มีครับ ก็มีวิตามินบี วิตามินซี ต้องมีบ้าง ก็ดูแลตัวเองตามมาตรฐาน ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย ผมว่าสำคัญคือออกกำลังกายกับการพักผ่อน อันนี้สำคัญสุด เรื่องทาครีมก็มีบ้างถ้าไม่ลืม มันควรจะมีบ้าง ถ้าอายุขนาดนี้แล้วไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ควร แต่ไม่ได้ทำอะไรพิเศษมากมาย ศัลยกรรมอะไรแบบนี้ไม่กล้า (ยิ้ม) ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องไปฝืน เกิดแก่เจ็บตายมันต้องเจอแน่นอน ถ้าให้ทำอะไรโอเวอร์มากเกินไป ให้ไปกรีดโน่นกรีดนี่ ฉีดนั่นฉีดนี่ก็ไม่ไหว กลัวครับ”

กับภาพที่หลายคนมองว่าก้อง สหรัถ เป็นผู้ชายอบอุ่น เนี้ยบๆ จริงๆ เป็นคนแบบนี้มั้ย เจ้าตัวตอบทันที “ก็ในบางเรื่องถ้ามันต้องเนี้ยบก็ต้องเนี้ยบ ในบางเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องตึงก็ปล่อยๆ มันบ้าง อย่างเรื่องงานเรื่องซ้อมดนตรีก็ต้องเนี้ยบหน่อย ชีวิตส่วนตัวก็สบายๆ เสื้อผ้าก็ไม่ต้องไปเนี้ยบมาก เสื้อยับบ้างก็ได้ ทำผมบ้างไม่ทำผมบ้างก็ได้ แต่งหน้าบ้างไม่แต่งหน้าบ้าง ไม่ได้จะต้องหล่อตลอดเวลา”

34 ปีวงการบันเทิง

ถามว่าตลอด 34 ปีที่อยู่ในวงการบันเทิงให้อะไรกับชีวิตบ้าง ถึงตรงนี้เจ้าตัวนึกอยู่สักพักและบอกว่า “ก็ให้ประสบการณ์ชีวิต ให้เพื่อน ให้คนรู้จัก มีรายได้ มีเพื่อนทั้งในวงการดนตรี วงการนักแสดง มีผู้ใหญ่หลายๆ บริษัทให้ความเอ็นดู ความเมตตา มีแฟนคลับให้ความรัก กำลังใจ ก็ได้หลายอย่างครับ

ส่วนแพลนงานอื่นๆ นอกจากนี้ยังไม่มีครับ ยังมุ่งมั่นเรื่องคอนเสิร์ตก่อน เพราะนอกเหนือจากคอนเสิร์ตก็มีถ่ายรายการเพลงเอก, เดอะวอยซ์ ถ่ายละคร มีเล่นดนตรีประปรายตามที่ต่างๆ แค่นี้ก็ 5-6 อย่างแล้ว ฉะนั้นยังไม่คิดอะไรนอกเหนือไปจากนี้ ทำตรงนี้ให้ดีที่สุดครับ แต่หลังจากจบคอนเสิร์ตแล้วไม่แน่อาจจะเป็นคอนเสิร์ตนูโวบ้างก็ได้ครับ”

เมื่อให้รีวิวตลอด 34 ปีที่ผ่านมาเป็นยังไง นักดนตรีหนุ่มนิ่งคิดและบอกว่า “มันมีครบทุกรสเลย มีจุดที่เฮฮาสมหวัง แฮปปี้สุดๆ จุดที่มึนๆ งงๆ จุดที่เอ๊ะ จะเอายังไงกับชีวิตดี ก็หลายแบบ มันก็เหมือนคลื่น เหมือนท้องทะเล เดี๋ยวก็มีพายุ เดี๋ยวก็ทะเลเรียบ มีคลื่นเล็กน้อย บางทีก็คลื่นหนัก อย่าเพิ่งเอาเรือออกจากฝั่ง ชีวิตมันก็มีหลายเหตุการณ์ครับ”

กับแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมา ก้องบอกว่า “อยากขอบคุณแฟนคลับทุกรุ่นทุกวัยเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับเรา เขาเป็นเหมือนคนให้พลังงานเรา เติมพลังให้กับเรา ไปไหนก็มีเห็นหน้า ให้การต้อนรับ คอยกรี๊ด คอยถือป้ายไฟ คอยร้องตาม รู้สึกดีที่มีคนให้ความสนใจอยู่ เป็นกำลังใจที่ดี ฝากช่องทางการติดตามได้ที่เฟซบุ๊ก Kong Saharat อินสตาแกรม @realsaharat และ TikTok @kongthetiktok นะครับ ขอบคุณครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Chonticha Pinijrob

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2451720
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2451720