“ดิว อรุณพงศ์” ลุยเปิดค่ายเพลงปั้นศิลปิน  ไม่เดือดร้อนชีวิตโสดไร้แฟน


ให้คะแนน


แชร์

คนสงสัยกันเยอะทำไมถึงตั้งชื่อว่า “ค่าย 51 entertainment” ไม่น่าใช่อายุดิวแน่ๆดิว

“(หัวเราะ) ไม่ใช่อายุครับ 51 คือเลขประจำตัวของผมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ศิลปากร เลยชอบเลขนี้ พอเอาเลขไปเช็กเป็นเลขมงคล ก็เป็นเลขที่ดีกับเรา ชีวิตผูกพันกับเลขนี้ ไม่ได้อยากมูเลยนะครับ (หัวเราะ)”

ทำไมจู่ๆถึงตั้งค่ายเพลงขึ้นมาล่ะ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างเสี่ยงมาก

“ต้องท้าวความว่าตอนนี้ผมเรียนปริญญาตรีใบที่ 2 ที่ ม.รังสิต แล้วตัวธีสิสต้องทำ 3 เพลงเพื่อจบ เราเลยคิดว่าเราทำอะไรดี เราจะทำเพลงให้ตัวเอง อยากทำอย่างอื่นบ้างที่ท้าทาย อยากทำเพลงให้คนอื่นบ้าง เราเรียนเขียนเพลง ทำเพลงมา มีความสนุกของมัน การเขียนเพลงให้มีคาแรกเตอร์โดยที่เป็นตัวตนของคนอื่นอีกคนนึง ชาเลนจ์สำหรับเรามากๆ เลยปั้นศิลปินใหม่”

จะหนีความ เป็นตัวตน

“พยายามเป็นสิ่งนั้นแต่สุดท้ายแล้วในทุกๆ เพลงมีลายเซ็นของตัวเองอยู่ดีในวิธีคิด พอเราตั้งโกลไว้ว่าทำเพลงใหม่ให้คนอื่นร้อง ธีสิสของผมวางคอนเซปต์ ทำ 3 เพลงเกี่ยว กับสารเสพติด”

เพลงต่อไปต้องเกี่ยวกับกัญชาแน่เลยดิว

“ตอนแรกคิดแบบนั้นเลย เป็นสารเสพติดช้อยส์แรกๆ เลยที่คนนึกถึง แต่พอปรึกษาอาจารย์ปุ๊บ ผมยื่นคอนเซปต์มอร์ฟีนไปก่อน คุยกับอาจารย์ว่ามอร์ฟีนเป็นสารเสพติดที่คนติดโดยไม่รู้ตัว เวลาเราผ่าตัดใหญ่หรือผู้ป่วยมะเร็งเขาให้สารมอร์ฟีนเพื่อให้หายเจ็บเฉียบพลัน พอเจ็บมาอีกก็ขออีกเลยติดไม่รู้ตัว อาจารย์เลยชอบคำว่าติดโดยไม่รู้ตัว เพลงหนึ่งในโปรเจกต์ก็คือมอร์ฟีน พอเราเขียนเพลงปุ๊บก็หานักร้อง กับมีน่า ผมสอนเขาที่คอร์สนึง แกรมมี่ โวคอล ก็เลยได้รู้จักกัน ผมว่าตอนที่ผมสอนเขา เขาเป็นคนไม่มั่นใจในการร้องเลย ไม่ชอบวิธีการร้องของตัวเองแต่ผมเห็นเสียงบางอย่างที่มีเสน่ห์ ตรงนี้ขยายได้ พอได้คุยกับเขามีแง่มุมบางอย่างมันตรงกับเพลงที่ผมเขียนเสร็จมาพอดี ผมเลยให้น่าเอามาร้อง ภาพผุดขึ้นมาชัดเจนจะเป็นยังไงทิศทางไหน ผมให้เขาร้องในคลาสเป็นคำๆมันได้”

กระแสตอบรับของเพลงนี้มีแต่คนชื่นชม จุดนี้เรียกความมั่นใจให้มีน่าเพิ่มขึ้นมั้ยมีน่า

“หนูว่ามันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ไม่ได้มั่นใจ 100% คนอื่นขอให้ร้องเพลงก็กล้าไปมากขึ้นโดยที่ร้องเพลงเสียงไม่สั่นแล้ว หนูโอเคกับมันมาก เหมือนเวลาขึ้นเวที คอร์สที่เราเรียนต้องมีขึ้นเวที 2-3 เดือนทีนึงก็จะเสียงสั่นตลอด หลงคีย์บ้างแต่น้อยลงมากๆ”

จริงๆชอบร้องเพลงแต่ไม่มั่นใจตัวเอง

“ใช่ค่ะ ตอนนี้เหมือนออกจากกรอบตัวเอง พี่ดิวเก่งมากที่จับหนูมาทำ ความมั่นใจเพิ่มขึ้นค่ะ”

บางคอมเมนต์ฟังเพลงแล้วดำดิ่งมาก เราร้องเองฟังเองอยู่ในโหมดไหน

มีน่า “ตอนอัดเพลงนี้เหรอ? (ทำท่าครุ่นคิด) นึกภาพแล้วเอาชีวิตจริงเข้ามาด้วย”

ดิว “สิ่งนึงที่ผมเลือกเขามาร้องเพลงนี้เพราะว่าเขาเป็นคนแบบนี้ มีสิ่งนั้นตามเนื้อเพลงอยู่ในชีวิตเค้าบางส่วนนะและเขามีมู้ดของคนที่มีความเศร้า เก็บไว้แต่ไม่ปล่อยออกมา มันเป็นภาวะความหน่วง เขามีตลอดเวลา”

มีน่า “เพลงนี้จะเหมือนกระจกสะท้อนตัวตนลึกๆที่อยู่ด้านในของมีน่าออกมา จริงๆเป็นแบบนั้น ภาพที่คนเห็นกับสิ่งที่เจอมันไม่เหมือนกัน ลุคสดใสร่าเริงแต่ตัวเพลงกับข้างในหนูเป็นคนแบบนั้น เก็บทุกอย่าง”

ชีวิตจริงของมีน่าเคยมีประสบการณ์เหมือนอย่างในเพลงมั้ย

มีน่า “มีค่ะ”

ดิว “ผมเคยบอกเขาว่าเวลาร้องให้รู้สึกตัวเองเหมือนเป็น 7-11 ที่เขาเจ็บเมื่อไหร่ก็แวะมา เมื่อเขาหายเจ็บก็ไป ซึ่งแง่มุมชีวิตเขาก็มีแบบนั้น”

มีน่า “หนูเป็นคนให้คนเต็มร้อย สิ่งที่ได้กลับมาไม่เท่าบางครั้งทำให้เราแย่ลง ยินดีทำมั้ยก็ทำ ถามว่าเข็ดมั้ยก็ยังเป็นแบบนี้ต่อไป เหมือนเป็นความว่างเปล่าเหมือนอยู่ในวงนั้น”

เพลงมอร์ฟีนทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นเหมือนกันนะ

มีน่า “เหมือนหนูรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้เลือกที่จะไม่ใช้มันออกมา ไม่เคยคิดตั้งแต่แรกว่าหนูจะมาถึงจุดนี้มีคนเรียกเราว่าศิลปินได้ แปลกหูแปลกตาตัวเองก็ยังไม่ชินเท่าไหร่ค่ะ”

เส้นทางการเป็นนักร้องไม่บุกป่าผ่าดงเท่าพี่ดิวเนอะ

“ใช่ค่ะ”

ดิว “เราผ่านอะไรมากมายเหลือเกิน ดราม่าก็เยอะ การฝ่าฟันก็เยอะ กว่าจะเป็นวันนี้มีค่ายเพลง จริงๆ ทุกอย่างมันเร็วมาก”

เริ่มมองศิลปินต่อไป หรือมีเพลงต่อๆไปหรือยัง

ดิว “เพลงที่ 2-3 ยังอยู่ในโปรเจกต์ธีสิส เอาลงค่ายนี้ก่อน ตอนนี้ผมยังไม่ว่างเหยียบมันเต็มที่เพราะเสร็จจากธีสิสผมจะต้องฝึกงาน มันมีหลายๆสิ่งที่ยังไม่เคลียร์ในชีวิต ถ้าเกิดพร้อมที่จะลุยเต็มที่เมื่อไหร่ ก็จะค่อยๆเฟ้นหา สร้างผลงานใหม่ๆขึ้นมาแน่นอน”

อนาคตจะมีการปั้นศิลปินเป็นกรุ๊ปบ้างมั้ย

“มันเป็นไปได้นะ ผมไม่รู้ถ้าผมทำจริงๆ มีการออดิชัน แล้วมีคนอยากทำงานกับผมจริงๆ ผมจะเจอคนแบบไหนบ้างไม่รู้ ไม่รู้อนาคตข้างหน้าเป็นยังไง ก็ปลายเปิดไว้ก่อนว่าไม่แน่”

ตอนนี้พอเป็นนักร้องการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลง

มีน่า “ความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น จากแต่ก่อนอยู่บ้านคืออยู่บ้านพักผ่อนสบายๆ แต่นี่คือนอนกังวลบ้างาน เพราะมีงานเข้ามาบ้าง รับผิดชอบมากขึ้น จากนอนไม่ได้ต้องไปหาหมอขอยานอนหลับเพื่อให้พักผ่อนเพราะเป็นคนเครียดสะสม เลยต้องดูแลตัวเองมากขึ้น พยายามฝึกตัวเองอยู่”

ดิว “เพลงเราเศร้าแต่เราจะต้องไม่ส่งพลังเศร้าในแง่ลบให้คนฟังของเรา จะต้องมีแง่มุมพัฒนาเอนจอยชีวิตมากขึ้นในการดีลีทตัวเองให้คลีนมากขึ้น”

เจอประสบการณ์อะไรทำไมเราเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับตัวทั้งๆที่วัยเราก็ยังเป็นวัยสดใส

มีน่า “ก่อนโควิดหนูไม่เป็นเลย จะเป็นคนร่าเริง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นคนร่าเริง เป็นคนเข้าสังคม ต้องโทร.หาเพื่อนทุกวัน บ่นทุกอย่างที่ตัวเองเจอแต่พอมีโควิดก็ไม่รู้ตัวเองไปเจออะไรมาบ้าง จากคนพูดทุกอย่างกลายเป็นคนไม่พูด ไม่รู้จะพูดไปทำไม”

ดิว “ผมว่าเป็นผลกระทบจากโควิดทำให้เราไม่เจอใคร”

มีน่า “โดนทำร้ายจิตใจมาเยอะ อย่างงานมหาวิทยาลัย หนูเป็นคนเต็มที่กับงานกลุ่ม ช่วยเพื่อนทุกอย่าง สิ่งที่ได้กลับมาคือเพื่อนเขียนด่ากลางกลุ่ม หนูก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาด่าหนูทำไม ถ้าเป็นหนูคนก่อนคงเขียนด่ากลับไปแล้ว สิ่งที่หนูทำได้คือร้องไห้แล้วออกจากกลุ่ม ช่วงหลังกลายเป็นป้องกันตัวเองโดยไม่เข้าหาใคร”

อาการแบบนี้ต้องบำบัด?

“ใช่ค่ะ เพราะหนูเป็นแพนิกด้วย”

ดิว “หวังว่าการทำเพลง ร้องเพลงจะช่วยเยียวยาอะไรได้บ้าง ผมไม่รู้เขาเจออะไร เป็นสิ่งที่คนคนนึงหาวิธีที่จะดีลีทตัวเอง พัฒนาตัวเอง ดีท็อกซ์ตัวเองได้ยังไง ไม่แน่ใจเป็นเพราะอยู่กับตัวเองมากไปหรือเปล่า อยากให้น้องๆที่กำลังเผชิญสิ่งนี้อยู่ ลองได้ปลดปล่อย อย่างน้อยใครที่ฟังเรื่องของมีน่าจะได้รู้ว่าไม่ได้มีเราคนเดียวที่เจอสิ่งนี้อยู่ เป็นเรื่องปกติที่คนคนนึง เป็นแบบนี้ได้ ถ้าเกิดมันเป็นแล้วทำร้ายตัวเอง ปล่อยมันออกมา แค่รู้จักยอมรับ”

มีน่า “เคยกินยาปีนึงดีขึ้นและขอหมอหยุดเพราะไม่ชอบความรู้สึกเวลาที่กินยา มันเคว้ง รู้สึกอะไรอยู่ กลายเป็นคนไม่มีความรู้สึกเลยไม่ชอบแบบนี้”

ดิว “ดีนะ พยายามไม่บำบัดด้วยการกินยา”

มีน่า “ใช่ค่ะ ตอนนี้บำบัดด้วยการหาหมอจิตบำบัด ขอไปเองด้วย รู้สึกเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับวัยรุ่น”

ดิว “ชีวิตต้องเรียนรู้ ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้น ลองดีลีทตัวเองผ่านเสียงเพลง การบำบัดแง่มุมต่างๆได้”

มีน่า “หนูเคยเป็นแบบไม่เชื่อใจเพื่อนจนตอนนี้ปรับแล้วค่ะ”

อัปเดตความรักของดิวบ้างสิมีแว้บๆ เข้ามาบ้างมั้ย

“พอเราอายุเยอะขึ้น พอมันไม่มีเลย ไม่คิดเลยคงพูดไม่ได้ แต่ก็คิดว่าจะมีมั้ย ยังไง พอไม่มีเข้ามาเองด้วยเวลาของเรา ด้วยโชคชะตาบางอย่างของเรา ความรักไม่ใช่ของทุกคนในโลกใบนี้ กว่าที่คนคนนึงจะมาเจอคนคน นึงได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ผมยังไม่เจอสิ่งนั้น อาจจะมีคุยบางนิดๆหน่อยๆ สุดท้ายแล้วต้องจอคนที่คลิกพอเราเริ่มโตขึ้น ท้ายที่สุดเราไม่ได้หาแค่คนมาเป็นแฟนเราแล้ว เราจะหาคนที่เดินไปด้วยกันแล้ว แต่คนคนนั้นอยู่ไหนว่ะ ก่อนคนคนนึงจะเจอคนนั้นมันมหัศจรรย์ ไม่ใช่ทุกคนจะเจอคนนั้นได้”

เหงามั้ย “ไม่ครับเพราะว่าเราอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรามีแฟนก็คงมีความสุขกับการมีแฟนนั่นแหละ ไม่ได้ปิดตัวเอง แล้วก็ไม่ได้หา แค่ไม่ได้หา เพราะว่าผมรู้สึก เป็นความเชื่อของตัวเอง ถ้ามันจะเจอจริงๆ คงไม่ต้องหามากมั้ง ถ้าเจอต้องเจอ ไม่หาเลยไม่เจอหรือเปล่าไม่รู้ หรือว่าเราต้องออกแรงนิดนึงหรือเปล่าถึงจะเจอ แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้ รู้สึกว่าเราจะต้องหา”

เป็นเพราะชีวิตเรามีอะไรให้ทำเยอะด้วยหรือเปล่า

“เออใช่ ผมหาอะไรใส่หัวตัวเองเยอะ อยู่ดีๆ ไปเรียนต่อปริญญาตรีอีก 1 ใบ ทำงานด้วยเรียนด้วย ทั้งๆที่เวลาเรียนก็คิดเล่นๆ เผื่อเราไปเจอใครในนั้น แต่ปรากฏว่าวัยเป็นลูกหมดเลย (หัวเราะ) พอเราโตแล้วเราจะรู้ว่า เราต้องดูแลคน สอนนักเรียน ก็อยากให้มาดูแลเราบ้างมั้ง อะไรแบบนี้ ผมเลยไม่ได้โฟกัสขนาดนั้น เอาจริงๆ ถ้าเราเจอคนนั้นจริงๆ มันจะปรับเปลี่ยนไปตามคนนั้นอยู่แล้ว คงไม่ได้เป็นตามที่เราคิดหรอก ผมแค่ลุ้นจะเจออะไร”

ที่บ้านถอดใจเรื่องนี้กับดิวหรือยัง

“แม่เคยพูดว่ารอให้เขาไม่อยู่ก่อนแล้วค่อยมีแฟนนะ ถ้าเกิดใครถามว่าลูกมีแฟนได้มั้ย เค้าก็จะรู้สึกนิดๆ แหละ เพราะว่าตอนนี้ด้วยครอบครัวของผม ผมแฮปปี้นะ คือมันเป็นชีวิตที่มันลงล็อกหมดแล้ว ผมมีความสุขกับการได้อยู่กับแม่กับน้องและแมว 7 ตัว เวลาไปไหน ไปเที่ยวไปกันแค่นี้ เราสบายใจในพื้นที่ของเรา ไม่ต้องไปปั้นหน้าหรือต้องเอาใจหรือนั่งศึกษาใคร มันคือเซฟโซนสำหรับเราแล้ว มันคือคอมฟอร์ตโซนที่เราสามารถเป็นตัวเองได้ร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เราแกล้งเป็นคนอื่น ทะเลาะเล่นกับน้อง กับแม่เค้าก็เข้าใจเรา ในหัวแว้บขึ้นมาจะมีใครทนเราที่เราเป็นเราแบบนี้ได้บ้าง มีความเป็นตัวเรา ซึ่งถ้าเกิดเจอกันแล้วมันคลิก กฎทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายแค่เรายังหาไม่เจอ เจอมั้ยก็ไม่รู้ น่าจะต้องเลี้ยงแมวต่อไป อีกมุมผมว่าผมก็ประหลาดอยู่ คนที่คุยกับผมรู้เรื่อง คุยแฮงเอาต์ เอาง่ายๆ เป็นเพื่อนกันเข้าใจกันจริงๆยังยากเลย ผมไม่ได้ไม่เข้าใจคนอื่นนะ แค่เขาเข้ากับเราไม่ได้ เราจะปรับตัวเองให้เข้ากับเค้ามั้ย เคยลองแล้วเหนื่อยเกินไปและเขาก็รู้สึกว่าเราพยายามด้วยเราก็เลยไม่เป็นธรรมชาติไม่เป็นตัวเอง เพราะฉะนั้นแค่เราเป็นเรา เอาวงกลมที่อินเตอร์เซ็กบางส่วนเท่านั้นเอง เอาให้มันพอดีๆ กับเราและเขา โดยไม่อึดอัดทั้งสองฝ่าย ผมใช้วิธีนี้กับทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือใครก็ตาม”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2459354
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2459354