น้ำ รพีภัทร ไม่อายทำอาชีพเกษตรกร ทำด้วยใจรัก เลี้ยงครอบครัวได้ไม่ลำบาก


ให้คะแนน


แชร์

เชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังอ่านบทความนี้ เติบโตมาพร้อมกับนักแสดงหนุ่ม น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล และถ้าย้อนกลับไป ผู้ชายคนนี้เคยโด่งดังเป็นพลุแตก และเคยได้ฉายา F4 เมืองไทย อีกด้วย 

ซึ่งเมื่อนับนิ้วก็ได้รู้ว่า น้ำ รพีภัทร นั้นโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาถึง 21 ปีแล้ว และเขาก็ยังเป็นโลโก้ของช่อง 7 น้ำนั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมาหลายเรื่องราวจริงๆ 

ตั้งแต่ตอนที่ชีวิตถึงจุดสูงสุดได้เป็นพระเอกสุดฮอต ทำงาน 7 วันไม่ได้พัก ก่อนจะค่อยๆ ลดบทบาทของตัวเองลงเหลือแค่การเป็นนักแสดงมากฝีมือที่หลายๆ คนให้การยอมรับ 

วันนี้เราได้มีโอกาสกลับมานั่งคุยกับ น้ำ รพีภัทร อีกครั้ง ซึ่งการได้คุยกันครั้งนี้ น้ำ ได้เปลี่ยนสถานะของตัวเองจากนักแสดงมาเป็นเกษตรกร และคุณพ่อลูก 3 เพิ่มอีกด้วย 

จุดเริ่มต้นของ น้ำ รพีภัทร

เราถาม น้ำ รพีภัทร ว่าเคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเป็นดาราดัง และอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างยาวนานแบบนี้ ซึ่งนักแสดงหนุ่มคุณพ่อลูก 3 บอกกับเราว่า  

“ไม่เคยคิดนะ ตอนที่ผมมาประกวดดัชชี่คือมีโมเดลลิ่งส่ง เพราะเมื่อก่อนตอนปิดเทอมเพื่อนผมก็จะมาเรียนกันที่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้เรียนกับเขาหรอก เพราะใจไม่รักเรียน (หัวเราะ)

มาอยู่บ้านป้าตรงดอนเมือง มาอยู่กับแม่แถวๆ ตึกช้างบ้าง ช่วงปิดเทอมที่บ้านไม่ให้อยู่นครนายกเดี๋ยวพวกชวนเที่ยว เดี๋ยวไปเกเร ก็เลยมาอยู่กรุงเทพฯ

ผมก็นัดกับเพื่อนที่เขามาเรียนไปเดินเล่น เดินห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวบ้าง ไปสยามบ้าง ก็เลยเจอโมเดลลิ่ง เขาเลยบอกว่าขอถ่ายรูปเอาไว้ แล้วก็ขอเบอร์ติดต่อจะส่งงานให้

ตอนนั้นยังเป็นโทรศัพท์บ้านอยู่เลย แล้วผมก็ให้เบอร์โทรศัพท์แม่ไว้ด้วยมั้ง เขาก็ส่งผมประกวดดัชชี่ ช่วงนั้นทรงผมนี่ทรงเรียน รด.มาเลย หัวเกรียนๆ เสื้อผ้าก็แต่งตัวไม่เป็นยืมของเพื่อนมาใส่

ตอนนั้นผมคิดว่ามาลองประกวดเฉยๆ แต่เข้ารอบมาเรื่อยๆ โดยที่เราก็ไม่ได้คิดอะไร เขาให้โชว์การแสดงยังไม่รู้เลยว่าเราจะโชว์อะไร จำได้ว่าตอนนั้นร้องเพลงพี่ก๊อต จักรพรรณ์

ด้วยความที่เพลงมีเสียงระนาดเขาก็ให้โชว์เป็นลิเก ผมก็โอเคเพราะตัวเองก็ชอบไปนอนดูลิเกกับยายอยู่แล้ว มันก็คือตัวตนเรา แต่ก็รำไปเป็นนะ ร้องก็ทื่อๆ

ก็ไม่คิดว่าจะได้ตำแหน่งดัชชี่บอย ก็ทำให้มีโอกาสเข้าวงการบันเทิง ซึ่งจริงๆ ไม่ได้อยากแสดงนะ อยากร้องเพลงมากกว่า

ถามว่าอยากร้องเพลงขนาดไหน หลังจากได้ดัชชี่บอย ผมไปเป็นนักร้องฝึกหัดรุ่นเดียวกับ เป๊ก ผลิตโชค, ฟิล์ม รัฐภูมิ, บาส-บอล บางแก้ว ที่แกรมมี่

ไปเรียนสักพักสุดท้ายก็มาเล่นละคร เพราะทางช่อง 7 เรียกตัวมา ชีวิตผมก็ผกผันมาตามดวง ละครเรื่องแรก ผีขี้เหงา จำได้ว่าตอนที่เล่นฉากแรกโคตรเกร็งเลย หัวใจมันแทบจะระเบิดออกมา

รู้สึกเลยว่ามันเต้นตึกๆๆ (หัวเราะ) แล้วเข้าฉากกับ จิ๊บ คีตภัทร แล้วตอนนั้นจิ๊บละอ่อนมาก น่ารัก เราเคยดูละครเขาด้วยไง (หัวเราะ)

ความเกร็งเล่นละครนี่บทผมอ่านแล้วอ่านอีก ไปกองแต่เช้าตรู่ กว่าจะได้เข้าฉากพระอาทิตย์ตกดิน แต่ช่วงนั้นถึงจะยังไม่เข้าฉาก ความตื่นเต้นมันมีตลอดเวลาตั้งแต่เราไปถึง

เข้าแค่ฉากเดียว แต่กลับบ้านมาแบบหมดพลัง อ่อนล้ามาก ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะจำไม่มีวันลืมเลย แล้วมันก็ไปตามสเตปเรื่อยๆ”

F4 เมืองไทย

คิดมั้ยว่าในยุคนั้นจะโด่งดังเป็นพลุแตก อู๋-น้ำ-บิ๊ก-ไผ่ ถูกยกให้เป็น F4 เมืองไทย งานนี้ทำเอา น้ำ รพีภัทร ถึงกับหัวเราะกับเรื่องราวในวันวาน และเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า 

“มันเป็นผลสืบเนื่องจากละคร เบญจา คีตา ความรัก ด้วย ถ้าถามถึงความตื่นเต้นมันมีตั้งแต่ตอนที่ได้ดัชชี่บอย ผมเริ่มมีแฟนคลับตั้งแต่ตอนประกวดดัชชี่ หลังจากได้ตำแหน่งลงเวทีมาก็มีคนมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น ก็ยังคิดเลยจะเซ็นยังไงดี (หัวเราะ)

และเนื่องด้วยตอนนั้นเวทีการประกวดมีไม่ค่อยเยอะ รวมถึงนักแสดงในยุคนั้นก็ไม่ค่อยเยอะด้วย ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เยอะมาก หรือการประกวดก็เยอะมากๆ

ช่วงที่เป็นนักแสดงช่อง 7 แล้ว ก็มีไปต่างจังหวัดก็เคาะรถกัน และระหว่างโชว์ตัวก็จะมีแฟนๆ มารุม และผลมันก็สืบเนื่องต่อๆ กันมา

จนมาถึง เบญจา คีตา ความรัก น่าจะที่สุดของผมแล้ว ไปขึ้นเวที 7 สีคอนเสิร์ต เพราะตอนนั้นมีเพลงด้วย โอ้โห แฟนคลับมาเพียบเลย

คำในยุคนั้นก็เรียกว่าวิกแตก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้ชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็น อู๋ น้ำ บิ๊ก ไผ่ (อู๋ นวพล, น้ำ รพีภัทร, บิ๊ก ภุชิสสะ, ไผ่ พาทิศ)

แล้วทุกคนอยู่ในบริษัทเดียวกันคือดัชชี่ เป็นช่วงประสบการณ์ที่ดีนะ มีช่วงที่เป็นหนัง VCD ก็บูมมาก ก็เลยทำเพลงด้วย และมีซีรีส์ของเราด้วย ก็เป็นผลต่อๆ กันมา แล้วกระแสในช่วงนั้นละครดังพอดี ทุกคนเป็นที่รู้จัก ก็เลยทำให้ได้ต่อยอด”

หนุ่มนักปาร์ตี้

ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงที่เป็นขาขึ้นของ น้ำ รพีภัทร นั้นโด่งดังเป็นพลุแตกสุดๆ เพราะเหตุนี้ในช่วงที่ดังมาก ก็ทำให้ชีวิตของน้ำนั้นเปลี่ยนไปไม่น้อย ซึ่งน้ำเล่าว่า 

“หลังจากที่เข้ามาทำงานในวงการ ชีวิตก็เปลี่ยนครับ แต่ก็ไม่มีช่วงให้ใช้เงิน การใช้ชีวิตผมก็มีแค่ช่วงเลิกงานเท่านั้นเอง นอกนั้นก็จะทำงานซะส่วนใหญ่ ทำ 7 วัน ไม่มีเวลา

แล้วผมก็จะติดเพื่อน จะอยู่กับกลุ่มเดิมๆ เพื่อนที่จากนครนายกด้วยกัน เพราะช่วงที่ผมเป็นนักแสดง เขาก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ กันแล้ว ก็จะนัดเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้

ก็เล่นเอาซะเพื่อนเกือบเรียนไม่จบเหมือนกัน (หัวเราะ) ตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน สุดท้ายก็เตาะแตะๆ ไปจนเรียนจบ (ยิ้ม)”

ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายดูแล้วน้ำสมัยเป็นวัยรุ่นน่าจะแสบไม่น้อย งานนี้เราก็เลยได้ฟังวีรกรรมของนักแสดงหนุ่มที่เจ้าตัวเล่าให้ฟังพร้อมกับหัวเราะในความแสบของตัวเองว่า 

“ตอนดังๆ ถามว่าหลงแสงสีมั้ย เดินลอยๆ มั้ย ไม่หรอก แต่เดินเมาๆ มากกว่า (หัวเราะ) เพราะว่าเมื่อก่อนด้วยร่างกายที่สามารถจะทำงานแล้วหลังทำงานเสร็จก็ไปต่อได้ ตื่นมาแฮงก์ๆ ก็ทำงานได้ต่อ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้วนะ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องหายไปวันนึง แต่นานๆ ก็ได้อยู่ๆ

ช่วงที่สุดก็สุดๆ เวลาแฮงก์ๆ มาก็จะบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว ชีวิตแบบนี้ไม่เอาแล้ว แต่พอบ่ายๆ ร่างกายเริ่มฟื้น เอาละไปไหนต่อดี

เมื่อก่อนหน้าปากทางหน้าที่พักมีร้านเหล้า ต้องผ่านทุกวัน เอาสักหน่อย ซึ่งนิดเดียวไม่มีจริง พอเจอพวกก็ยาวทุกวัน แล้วช่วงนั้นถ่ายละคร 7 วันด้วยนะ

จำได้คือแทบไม่ได้อยู่อพาร์ตเมนต์เลย เพราะรถตู้จากกองนี้ไปส่งอีกกอง จากอีกกองกลับมาส่งที่นี่ ทำงานอย่างเดียว มีโอกาสก็แวะร้านเหล้า (หัวเราะ) สักหน่อยๆ สุดท้ายก็เละเหมือนเดิม

ถามว่าผู้ใหญ่ดุมั้ย ไม่ค่อยๆ เพราะไปถึงกองเราทำงานได้ แต่เมื่อถึงจุดนึงเราก็รู้ว่าเขาอยากได้จากเรา เขาไม่ต้องการอะไรมากหรอก ขอแค่ให้เราไปร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปเต็มที่

แต่เราไปบางทีเรารู้ เคยนั่งๆ เข้าฉากอยู่ พอกล้องตัดไปรับคนอื่น ผมอ้วกเลยเพราะแฮงก์ แล้วก็ลุกขึ้นมาเล่นต่อ ก็ค่อนข้างใช้ได้ๆ เป็นคนสุขนิยม ทุกวันคือความสุขของเรา”

วัฏจักรของวงการบันเทิง

แต่เมื่อชีวิตขึ้นสูงสุด แต่จู่ๆ น้ำ รพีภัทร ก็เฟดตัวเองออกจากวงการ และเริ่มรับงานแสดงน้อยลง เป็นเพราะอะไร ซึ่งเราได้รับคำตอบมาว่า

“ถ้าเราทำอะไรในอาชีพเดิมๆ ในระยะเวลาเป็นสิบปี สิบห้าปี หรือยี่สิบปี มันค่อนข้างที่จะเหมือนที่ฝรั่งบอกว่าต้องเปลี่ยนงาน เปลี่ยนความตื่นเต้น เปลี่ยนสถานที่ เพื่อที่จะได้สร้างแรงผลักดันของเรา

ก็มีช่วงที่เล่นละคร ไม่มีเวลาให้ตัวเองได้พักเลย หรือว่าบทบางครั้งนี้มันซ้ำๆ เดิมๆ ก็เลยรู้สึกจำเจ และจริงๆ มันก็เป็นวัฏจักรของมันด้วย

อาจจะมีช่วงที่พีกๆ 7 วัน แล้วมันก็จะมีกราฟชีวิตที่จะต้องลง วันที่จะต้องลงก็ต้องลงก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร แต่ด้วยเราเองก็เหมือนทำงานเยอะก็หมดความตื่นเต้นด้วย

แต่สุดท้ายก็เมื่ออายุโตขึ้น ได้รับบทที่หลากหลายขึ้น ก็เริ่มกลับมาสนุกอีกครั้งนึง อาชีพนักแสดงถ้าถามมันก็อาจจะเป็นอาชีพเดิม แต่เราไม่ได้เป็นตัวละครตัวนี้ทุกวัน

เดี๋ยววันนี้เป็นตำรวจ อีกวันเป็นโจร ไปเป็นนักร้อง มันได้ทำหลากหลายขึ้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา เหมือนว่าเรามาเซตตัวเองใหม่ เซตความคิดใหม่ สร้างไฟให้ตัวเองอีกครั้งนึงแค่นั้นเอง

แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยหายแบบจริงจัง ถึงจะรับน้อย แต่ก็จะเป็นจบเรื่องนี้ต่อเรื่องนั้นเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ตลอด แต่บางช่วงอาจจะพีกถ่าย 2 เรื่อง ซึ่งช่วงนั้นก็จะไม่มีเวลาให้ใครแล้ว เดี๋ยวรับทีละเรื่อง เพราะเราก็มีครอบครัวด้วย”

อาชีพเกษตรกร

และนอกจาก น้ำ รพีภัทร จะมีอาชีพเป็นนักแสดงแล้ว นักแสดงหนุ่มยังมีอีกอาชีพคือเกษตรกรอีกด้วย ซึ่งอาชีพนี้ก็เป็นอีกอาชีพที่เจ้าตัวภูมิใจสุดๆ ซึ่งเราให้น้ำเล่าถึงอาชีพนี้ให้ได้ฟังว่า

“หลักๆ ตอนนี้ก็ทำควบคู่กันไปทั้งอาชีพนักแสดงแล้วก็เป็นเกษตรกร ก็ยังคงรับละครอยู่เรื่อยๆ ครั้งละเรื่อง อาจจะนานหน่อยให้แฟนๆ ได้ติดตาม

ส่วนครอบครัวตอนนี้ก็มีลูก 3 คนแล้ว น่าจะเป็นนักแสดงที่ในรุ่นราวคราวเดียวกันลูกเยอะที่สุดแล้ว (หัวเราะ) ถามว่าการเป็นคุณพ่อลูกสามเหนื่อยมั้ย จริงๆ เขาก็เลี้ยงไม่ยาก ส่วนใหญ่ภรรยาผมจะเหนื่อยตรงนี้ ส่วนผมก็ไปทางดูแลในฟาร์ม”  

เราถามต่อว่า การเป็นเกษตรกร การทำฟาร์ม มันเหนื่อยเหมือนการเล่นละครมั้ย ซึ่งเราได้รับคำตอบจาก น้ำ รพีภัทร ว่า 

“มันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ช่วงโควิดที่ผ่านมา ผมว่ามันกระทบทุกอาชีพแหละ อาชีพนักแสดงก็กระทบ แล้วอาชีพเกษตรกรของผมรายได้หลักๆ เลยมาจากไก่ชน มีรายได้เข้าทุกวัน

แต่เมื่อสนามไก่ชนเปิดไม่ได้ คนก็ไม่รู้จะหาซื้อไก่ชนไปทำอะไร แต่มันก็ยังดีที่ว่าเราขายทั้งเป็นไก่นักกีฬาที่สายพันธุ์ดี พอเวลาไม่มีที่ชนก็เป็นช่วงของการพัก พักก็คือผสมพันธุ์

เราก็ยังมีสายพันธุ์ที่เป็นแม่พันธุ์ให้เขาไปต่อยอดกัน ก็ยังพอเตาะแตะๆ ไปได้ แต่พอเวลาที่สนามกลับมาเปิดได้ ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

อาจจะไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่งมาก แต่ว่ามันก็ไม่เข้าเนื้อ แล้วเราก็ได้ทำกับสิ่งที่เราชอบและมีความสุขด้วย ก็พอมีเงินเลี้ยงลูกน้อง ค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากไก่แล้วก็มีควายที่เริ่มเลี้ยงมาได้ประมาณ 2 ปีกว่าๆ แต่ผมโชคดีที่มีพรรคพวก พี่น้องและกุนซือดี ก็เลยประสบความสำเร็จค่อนข้างที่จะเร็ว

มันอาจจะมีการลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่จังหวะที่ผมซื้อเนี่ยเป็นราคาที่กำลังพอดิบพอดี แต่ตอนนี้มูลค่าของควายมันขยับขึ้น ในช่วงสถานการณ์โควิดสิ่งเหล่านี้มันค่อนข้างที่จะสวนทางที่ว่ามันดีขึ้นๆ”

แต่หลายๆ คนสงสัยว่า ทำไมควายต้องราคาแพงถึงหลักล้าน งานนี้ น้ำ รพีภัทร อธิบายให้เราฟังด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเมื่อได้พูดถึงอีกอาชีพที่เขามีความสุขที่จะทำว่า 

“เพราะด้วยพันธุกรรมและความสวยงามของเขาครับ โครงสร้างของเขาที่เดี๋ยวนี้เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นควายตัวใหญ่ๆ มาก

แต่พวกเกษตรกรเหล่านี้เขาพัฒนาเก็บพันธุกรรม เลือกสิ่งที่ดีผสมกับสิ่งที่พัฒนากันต่อไป จนตอนนี้ควายรูปร่างสูงใหญ่และสวยงามด้วย ก็เลยเป็นที่นิยมแล้วก็ราคาสูง

ตอนนี้ผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีควายที่ซื้อขายกันจริงๆ ไม่ใช่ราคาที่ตั้งเอาไว้นะ น่าจะมีตัวละเป็น 10 ล้าน ตอนนั้นที่ผมขายก็ขายไป 2 ล้าน

ซึ่งพี่ชายที่ผมรู้จักก็มีส่งขายไปราคา 8.5 ล้านนะ คนเอาไปเลี้ยงซึ่งควายตัวนี้ที่ราคาสูงเพราะ 3 แกรนด์แชมเปียนส์และท้องด้วย

แต่เอาจริงๆ การซื้อควายไม่ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อได้นะ ถ้าเจ้าของเขาไม่ขายให้ บางทีหอบเงินไป 5 ล้าน เขาไม่ขายให้ก็ไม่ได้นะ ต้องเป็นคนที่มีใจอยากจะแบ่งกันจริงๆ”

ลงทุนหลักล้าน

เราถาม น้ำ รพีภัทร ตรงๆ ว่า สำหรับอาชีพเกษตรกรของน้ำ ถือว่ามันโอเคใช่หรือไม่ เพราะหลายๆ คนมองว่าเป็นอาชีพที่เหนื่อย ดูไม่คุ้มกับการที่จะทำ นักแสดงหนุ่มบอกกับเราว่า 

“สำหรับผมจะเป็นเกษตรกรที่เน้นการเลี้ยงไก่ มันใช้เวลาเหมือนกัน กินเท่ากัน แต่มูลค่ามันมากกว่า ผมจะเน้นในเรื่องของสัตว์เศรษฐกิจที่มูลค่ามันอยู่ที่ความพึงพอใจของเราเอง ไม่ใช่ราคาตลาด ราคาพ่อค้า

ทุกวันนี้ที่ผมเลี้ยงอยู่มันคือความพอใจที่เราอยากจะขาย อยากจะขายก็ขาย ไม่อยากขายก็ไม่ขาย ซึ่งตัวเราเองจะมีอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าและกับตลาด

ซึ่งในแนวทางของผมมันก็สามารถที่จะเติบโตไปได้ เราก็อย่ามักง่าย อย่าดูถูกลูกค้าเราก็ต้องให้สิ่งที่ดี แล้วทุกอย่างมันจะกลับมาเอง เขาได้ไปดีสุดท้ายเขาก็กลับมาเอาอีกๆ

มันจะทำให้เราอยู่ได้คือต้องให้ของดี สโลแกนของฟาร์มผมเลยนะ ทำด้วยใจ ให้ของดี รพีภัทรฟาร์ม ขึ้นป้ายไว้เลยจะได้ด่าถูกตัว (หัวเราะ)”

จากนั้นนักแสดงหนุ่มเล่าถึงการลงทุนในอาชีพเกษตรกรของเขาให้ฟังว่า เห็นแบบนี้แต่ใช้เงินลงทุนถึง 7 หลักด้วยกันว่า 

“สำหรับการทำฟาร์ม ผมลงทุนไปหลักล้านครับ แต่เรามีที่อยู่แล้ว เพราะยายยกให้แม่เป็นทรัพย์มรดก และแม่ก็มายกให้ผมกับพี่สาว ก็เลยไม่ต้องไปลงทุนซื้อที่

ผมลงทุนแค่สิ่งปลูกสร้าง มีปลูกโรงเรือน ปลูกบ้าน ทำเล้าไก่ ซึ่งจริงๆ ตอนแรกที่มาสร้าง ผมทำเล้าไก่ก่อนนะ บ้านยังไม่มีเลย (หัวเราะ)

เหตุผลที่ผมย้ายไปอยู่ตรงนั้นเพราะชอบเลี้ยงไก่ อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้แล้ว เพราะพื้นที่เราไม่มี แล้วการอยู่ต่างจังหวัดก็ดีที่สุดสำหรับการทำฟาร์มไก่

ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่แบบถาวร ไปแค่อยู่แค่ศุกร์-อาทิตย์ ตอนนั้นยังมีลูกแค่คนเดียว ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ช่วงนึงเกือบๆ 2 ปี แล้วก็ค่อยๆ สร้างบ้านไปเรื่อยๆ

สุดท้ายในเมื่อเราเป็นจริงเป็นจังแล้ว ทำฟาร์มขนาดกลางก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่น ย้ายลูกไปเรียนและอยู่ถาวรเลย เวลาผมมาทำงานก็ตีรถจากนครนายกมากรุงเทพฯ ชั่วโมงกว่าๆ เอาจริงๆ แล้วระยะเวลาการเดินทางก็พอๆ กับตอนอยู่ในกรุงเทพฯ ที่กว่าจะฝ่ารถติดไป”

ชอบไก่ชน

จุดเริ่มต้นของการทำฟาร์มไก่ชนของน้ำเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งเรื่องนี้นักแสดงหนุ่มเล่าไปยิ้มไปเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบจนยึดเป็นอาชีพได้ว่า 

“เพราะผมชอบไก่ชนครับ (ยิ้ม) ผมชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว อายุประมาณ 7-8 ขวบ ผมก็ไปอยู่ตามบ้านที่เขาซ้อมไก่ชนกัน ผมก็ไปเกาะสังเวียน ไปช่วยเขาเช็ดน้ำบ้าง

ตาผมเองก็เลี้ยงไก่อยู่แล้วด้วย แต่ก็เป็นไก่บ้านที่เอาไว้เป็นอาหาร ก็ไม่ใช่สายพันธุ์ดีหรอก เอาไปซ้อมกับเขาก็โดนซ้อมอ่วมกลับมา เงินก็ไม่ค่อยมี กว่าจะเก็บเงินได้ร้อยสองร้อยเพื่อไปหาซื้อไก่ก็นาน

แต่หลังจากที่ได้ตำแหน่งดัชชี่บอย ก็เลยเลิก ยกให้ญาติพี่น้องไปเลย พักวงการไก่เข้าสู่วงการบันเทิง (หัวเราะ) พอได้ดัชชี่บอยเวลาว่างเราจะไม่มีแล้ว

ในตอนนั้นต้องมาเรียนบุคลิกภาพ เรียนการแสดง เรียนร้องเพลง ฯลฯ ช่วงนั้นวันศุกร์-วันอาทิตย์ ผมจะอยู่กรุงเทพฯ แล้ววันจันทร์ก็กลับไปเรียน มันก็ไม่มีเวลาเลย

ผมกลับมาวงการไก่อีกทีก็ตอนก่อนที่จะมีครอบครัว เป็นช่วงที่อกหักจากความรัก ชีวิตมันเคว้ง ก็เลยไม่รู้จะทำอะไรดี อยู่เฉยๆ โคตรดิ่งเลย พยายามคิดว่าอะไรที่เราชอบ

ก็กลับมาที่ไก่ชน เพราะเราสามารถอยู่กับมันตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็กลับมาเลี้ยงไก่ชนอีกทีแต่ครั้งนี้เราเริ่มมีทุนทรัพย์แล้ว ก็กลับไปสัมผัสอีกครั้ง แล้วก็ได้เจอพรรคพวก ก็เลยได้สายพันธุ์ที่ดีมาจนเลี้ยงไก่ชนกับเขาได้

แล้วเราก็มีไก่เก่งของเรา และเริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของวงการไก่ชน เริ่มมีเก็บสายพันธุ์ของตัวเอง มีพรรคพวกแบ่งแม่พันธุ์ให้ เริ่มหาพ่อพันธุ์มาก็เลยเริ่มเป็นระบบฟาร์ม

แต่ด้วยตอนนั้นที่อยู่กรุงเทพฯ พื้นที่มันจำกัด แต่เลี้ยงไก่ไว้ทุกอณูของพื้นที่บ้าน จนเริ่มล้นออกถนนอยู่ไม่ได้แล้ว มีคนร้องเรียนแล้ว

เลยคุยกับแม่กับยายว่าเอายังไงดี เขาก็บอกว่าให้กลับมาทำที่บ้านเราสิ เพราะมีที่ของเราเองบวกกับว่าผมเองก็จริงจังเป็นระบบฟาร์มแล้ว ก็เลยกลับไปอยู่ที่นครนายก ก็เลยทำให้ตอนนี้มันมีอย่างทุกวันนี้”.

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2461162
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2461162