“กอล์ฟ พิชญะ” ฟินสมใจได้เล่นหนังซีจีแอ็กชันที่รอคอย


ให้คะแนน


แชร์

เล่าบทบาทและการทำงานในเรื่องนี้หน่อย?

“กอล์ฟรับบทเก้าใน “Leio ไลโอโคตรแย้ยักษ์” เป็นศิลปินนักร้องมีความเป็นฮิปฮอปจัด ชีวิตมีปัญหาเลยไปพักใจที่บ้านเกิด ดันมีกิจกรรมที่ร่วมจัดโดยมีนางเอกคือ ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ ร่วมด้วย กิจกรรมนี้มีการชิงเงินรางวัล เราก็อยากได้เงินรางวัลไปสานฝัน และกิจกรรมที่จัดมีสัตว์ประหลาดหลุดออกมาจากตรงนั้น”

ต้องร่วมงานกับสัตว์ประหลาดเป็นยังไงบ้าง?

“เค้าไม่มีตัวตน เราต้องจินตนาการเอา เข้าฉากกับแย้ยักษ์ ส่วนมากจะวิ่งหนีโดนหางฟาด กระโดดเกาะหัว การร่วมงานกับสัตว์ประหลาดชอบมากเพราะรอมานาน สมใจแล้วครับ เป็นสิ่งที่คิดมาตลอดว่าอยากให้เกิดขึ้นว่าวันนึงเราอยากมีโอกาสได้เล่นหนัง อยากอยู่บนจอภาพยนตร์ อยากเป็นพระเอกหนังและเป็นหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ สัตว์ประหลาด ซีจีเต็มๆ เพราะเราเป็นคนชอบอะไรสายนี้อยู่แล้ว เราสะกดจิตตัวเองว่าสักวันต้องมี จนได้เล่นจริงๆ กอล์ฟคิดว่าเวลาเราชอบอะไร เราแค่เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น เราก็จะได้รับสิ่งนั้นกลับมา ทุกอย่างมันเริ่มจากความชอบการ์ตูน คอมิก หรือพวกมังงะ ที่เราโตมากับสิ่งนั้น จนได้ไปทำซีรีส์ทีวีเรื่อง Devil Lover มีพลัง ใช้ซีจี เลยได้เจอกับบริษัทของพี่เต้ย-ชาลิต ไกรเลิศมงคล แห่ง Fatcat Studios สตูดิโอสเปเชียลเอฟเฟกต์แนวหน้าของไทย เค้ามาทำให้เราเรื่องนั้นเลยได้รู้จักและสนิทกัน และพอเค้ามีโปรเจกต์เลยนึกถึงว่าน่าจะเป็นเรา เพราะเราชอบแนวนี้อยู่แล้ว เต้นได้ มีความยืดหยุ่นของร่างกาย แนว acrobatic เล่นสตันต์ แอ็กชันได้

ฝันเป็นจริงแล้ว พอมาเล่นจริง หนักหนาขนาดไหน?

“ไม่ลำบากครับเพราะเราไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ทุกครั้งที่เค้ามีชิ้นงานใหญ่เช่นหัวแย้ยักษ์ Mockup หรืองานโปรดักชันต่างๆเราจะตื่นเต้นมาก เหมือนเรารอวันนี้ พร้อมมากให้ทำอะไรทำหมด ให้กระโดดอะไรก็ทำ เรื่องบาดเจ็บมีบ้างแค่เล็กน้อย ส่วนมากจะเป็นฟางที่เจ็บเพราะไม่เคยแอ็กชัน”

อยากบอกอะไรคนดูที่ยังตั้งแง่กับซีจีคนไทย?

“เป็นเรื่องปกติที่ผ่านมาการทำหนังซีจีบ้านเราที่คนจะตั้งแง่ เรารู้สึกว่าเค้าเต็มที่มากๆ ตั้งใจที่จะยกระดับคนไทยจริงๆ เราทำได้เต็มศักยภาพในงบประมาณที่มีสำหรับ หนังไทย เป็นการเริ่มอีกสเต็ปของหนังไทยที่ไปในทางที่ดี”

เป็นคนเต็มที่กับทุกอย่างแล้วเรื่องนี้เราเต็มที่กับอะไรบ้าง?

“เรื่องการแสดงเราเต็มที่อยู่แล้ว ที่มากกว่านั้นคงเรื่องสตันต์ที่เราเข้าไปร่วมอยากทำให้มันสมจริงที่สุด ช่วยครีเอตตรงนั้นตรงนี้ เราดูหนังแนวนี้เยอะ ช่วยออกไอเดียซึ่งพี่ๆเค้าก็รับฟัง”

เล่นเองส่วนใหญ่?

“เล่นเองครับ มีสตันต์แค่ช็อตเดียว คือต้องกระโดดลงหลุมกับฟาง กลัวว่าจะบาดเจ็บแต่ฉากอื่นขอแล้วกันจะได้เห็นเป็นหน้าเราจริงๆ ถามว่าทำไมต้องเล่นจริงขนาดนั้นเพราะเราอยากเล่น ที่ผ่านมาอันไหนทำได้กอล์ฟขอทำเอง อันไหนไม่ได้เสี่ยงมากถึงชีวิต กอล์ฟพร้อมลุย เพราะกอล์ฟรู้สึกว่ามันทำให้งานของเราออกมาคอมพลีตที่สุด”

ยังเป็นคนจัดเต็ม เต็มที่กับทุกอย่าง ทุกผลงานเสมอ?

“กอล์ฟมองว่าต่อให้เราทำเต็มที่ ถึงผลที่ได้กลับมาอาจจะไม่เท่าที่เราใส่ลงไป แต่สุดท้ายเราทำไปวันนึงมันก็ต้องมีคนเห็น เหมือนกับหนังเรื่องนี้ที่ทำไมเค้าถึงอยากเลือกเรามาเล่น เค้าอาจจะเห็นจากความตั้งใจความทะเยอทะยานของเรา ว่าถ้าทำสิ่งที่เราชอบมันออกมาดี ออกมาจากใจน่าจะดี”

ในความทุ่มเทกับทุกอย่างมันเคยมีความท้อที่ทำให้ชะงักมั้ย?

“ก็มีนะ อย่าง MV เพลงล่าสุด WE DON’T STOP เราตั้งใจทำมาก ทำเกี่ยวกับซอมบี้ ซึ่งกอล์ฟคิดว่าถ้ามันมีโอกาสถูกเห็นมากกว่านี้ เชื่อว่าคนจะมองเห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง เห็นศักยภาพในการผลิตงาน แต่ไม่รู้เหมือนเป็นดวงอะไรของเรา เราชอบมาปล่อยเอ็มวีตอนที่มีข่าวหนักๆพอดี วันแรกของข่าวที่รุนแรงที่สุดของปีด้วย แต่กอล์ฟก็ไม่ได้อะไรนะ วันนั้นกอล์ฟมองว่าชีวิตคนสำคัญกว่าเอ็มวีของเรา การที่เราลงทุนในเอ็มวีบางทีกอล์ฟก็ไม่ได้มองว่าเราจะได้อะไรกลับมา กอล์ฟมองว่ากอล์ฟได้ทำแล้ว กอล์ฟเป็นคนมีลิสต์ในหัวในชีวิต คิดไว้แล้วว่าในคลิปยูทูบของกอล์ฟ ต้องมีคลิปแบบนี้ๆ เพราะเราโตมากับสิ่งนี้ อย่าง MV นี้ กอล์ฟคิดว่ากอล์ฟชอบและเทิดทูน Michael Jackson มาก แล้วเอ็มวี Thriller ที่เป็นซอมบี้เป็นเพลงที่กอล์ฟชอบมาก กอล์ฟก็อยากมีเพลงที่มีซอมบี้และทำยังไงให้แตกต่าง เลยกลายเป็นซอมบี้สีฟ้าเลือดสีชมพู มันคอมพลีต สำหรับกอล์ฟแล้ว ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้แมสมากหรืออาจจะไม่ได้ออกมาในจังหวะที่ดีแต่เราก็ได้ทำแล้ว มันก็จะมีจังหวะที่ท้อนะในช่วงนั้น แต่พอหันกลับมามองแล้วก็ช่างมัน เราแค่อยากมีสิ่งนี้ในชีวิต มันอาจจะมีอันที่โอเคคนตอบรับดี บางอันเฉยๆ แต่ก็อาจจะมีสักวันที่มันใช่จนคนกลับมาดูงานเราย้อนหลัง”

แล้วสิ่งที่ตั้งเป้าในการใช้ชีวิตล่ะ มีครอบครัว มองอนาคต?

“เดี๋ยวนี้ก็ยังทำอะไรที่อยากทำ แต่พอโตขึ้นเราจะมีมายด์เซตว่าต้องใช้เงินให้เป็น เมื่อก่อนจะทำก็ทำเลยลงไปเท่าไหร่ไม่สน เดี๋ยวนี้ก็ต้องวางแผนมากขึ้น เราโตมาในระดับที่มองอนาคต ตอนนี้กำลังทำบ้านอยู่ ความอยากต่างๆต้องอยู่ในความพอดีหรือมีอะไรมาช่วยซัพพอร์ตโดยที่เราไม่เจ็บตัว ตอนนี้สร้างบ้านที่น่าจะอยู่เองและอยู่กับครอบครัวในอนาคตแล้ว”

สร้างความมั่นคงถึงระดับไหนแล้ว?

“บ้านเพิ่งเริ่มสร้าง เพิ่งโอเคเรื่องแบบ น่าจะอีกปีครึ่ง เรื่องครอบครัวก็มีวางแผนไว้ส่วนนึง” คู่ชีวิตก็คงเป็น “แอนนี่”

แฟนสาวชาวรัสเซียที่ดูเข้ากันได้ดี?

“คงไม่น่าใช่คนอื่น กอล์ฟไม่ได้อยากคอนเฟิร์มอะไรมากเพราะที่ผ่านมากอล์ฟก็เป็นข่าวเยอะ กอล์ฟมองว่าแฟนคนนี้โอเค เข้ากันดีในไลฟ์สไตล์หลายๆอย่าง ช่วยกันซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน กอล์ฟไม่ได้อยากเปลี่ยนหรือพูดแล้ววันนึงไม่เป็นแบบนั้น อยากให้เวลาเป็นการพิสูจน์สิ่งนี้มากกว่า ถึงตอนนี้ก็ใกล้ 3 ปีแล้ว”

รู้สึกยังไงที่แอนนี่เค้ามาอยู่เมืองไทยโดยปรับชีวิตให้เข้ากับเรา?

“เค้าก็มีคิดถึงบ้านบ้าง เค้าก็มีแพลนกลับรัสเซียแต่มีสถานการณ์การเมืองพอดี ส่วนเรื่องการปรับตัวไม่ยากเท่าไหร่ เค้าชอบอยู่ทวีปเอเชีย เป็นคนขี้หนาว ชอบอะนิเมะ ชอบแฟชั่น และชอบทุเรียนมาก เป็นไลฟ์สไตล์ที่เข้ากันมาก 80% จะที่ปรับบ้างเรื่องช่องว่างของอายุ เค้าจะเด็กกว่ากอล์ฟในบางจุด บางจุดกอล์ฟมีประสบการณ์ผ่านมาพอสมควรแล้วเลยทำให้กอล์ฟนิ่งขึ้น เราอาจจะไม่ได้โรแมนติกแบบสมัยก่อนแต่เค้ายังเด็กวัยรุ่น เราก็ต้องปรับให้เค้า บางทีเราก็ละเลยตรงนั้น กอล์ฟกับแอนนี่มีอะไรเรานั่งคุยกันเพราะกอล์ฟรู้สึกว่าปัญหาที่ผ่านมาในชีวิตกอล์ฟ ทั้งกับที่บ้านด้วย กอล์ฟมองว่าเป็นเพราะเราไม่คุยกันในเชิงความรู้สึก มันทำให้มีปัญหาค้างคา ไม่ว่าจะปัญหากอล์ฟกับไมค์-พิรัชต์ น้องชาย ก็ตาม ตอนเด็กๆเวลามีปัญหาไม่คุยกัน ปล่อยให้เวลามันผ่านไป ตอนหลังมาคุยกัน ยิ่งโตยิ่งรักกันเข้าใจกันมากขึ้น เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกแอนนี่เลยว่าไม่ได้นะ เราต้องคุยกัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเคลียร์ปัญหาไม่ให้สะสม เพราะถ้าวันนึงคนนึงระเบิดมามันจะไม่ดี”

ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเอามาใช้กับความสัมพันธ์ได้ดี?

“ใช่ครับ ด้วยอายุที่ต่าง กันก็พยายามคุยกันมากขึ้น เค้าก็พยายามปรับตัวและจูนเข้าหากัน”

ย้อนมองตัวเองกับหลายเหตุ การณ์หลายประเด็นที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วรู้สึกยังไง?

“กอล์ฟก็ย้อนกลับไปมองนะ ด้วยวัยด้วยตอนนั้นมันก็วัยรุ่นกระโตกกระตาก พอโตขึ้นเราก็นิ่งขึ้น เอาสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้”

ตอนเด็กๆเป็นดูโอ้แบกรับงานเยอะในวัยรุ่นจนไม่อยากทำและแยกกัน เคยคิดมั้ยว่าเราจะอยู่ยาวมาถึงตอนนี้?

“จริงๆตอนนั้นไม่ได้อยากออก ตอนนั้นไม่ได้อยากแยก แต่รู้สึกว่าแต่ละคนอยากมาหาตัวตน แต่ตอนนั้นมันไม่มีคำว่าโซโล่ มันเลยเป็นคำว่าวงแตก พอเราแยกกันแล้วไปเจอสิ่งที่ชอบ ไมค์ไปเจอการถ่ายหนัง ละคร และไปจีนเลยแยกกันโดยปริยาย แต่จริงๆก็มีได้คุยกันนะเรื่องคอนเสิร์ต รียูเนี่ยน แต่ ณ ตอนนี้กอล์ฟรู้สึกว่าแต่ละคนก็มีทิศทางของแต่ละคน ณ ตอนนั้นเป็นเหมือนอีกลูปนึงของชีวิต เราเป็นวัยรุ่น 2 คนที่ประสบความสำเร็จในขั้นสุดแล้ว ณ ตอนนี้มันก็เป็นอีกยุคนึง แล้วเราจะไปต่อยังไงในฐานะที่เป็นกอล์ฟคนเดียว คนก็ยังจำกอล์ฟไมค์อยู่ดี เพราะคำนี้แข็งแรงมาก เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร มองย้อนกลับไปเราก็ภูมิใจนะที่มายืนจุดนี้ ครั้งนึงในชีวิตตอนนั้นทุกคนต้องรู้จักกอล์ฟไมค์ เรามีนามสกุลนั้น แล้ววันนี้เราต่อยอดเป็นกอล์ฟ อีกคนนึงที่ได้ทำสิ่งต่างๆ”

วันที่แยกกันตอนนั้น คือวันที่ดังถึงจุดพีก เราไม่รู้สึกเสียดายบ้างเหรอว่าถ้ายังจับมือกันก็ไปต่อ?

“ก็แอบเสียดายนิดนึงว่าน่าจะทำกันต่ออีกสักนิด แต่ในอีกมุมนึงก็รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นจุดที่ดีแล้วก็ได้ เป็นจุดอิ่มตัวแล้วก็ได้ ถ้าสมมติมันยังมีต่อไปแบบนั้น เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีเวลาให้ค้นหาตัวเองขนาดนี้มั้ย จะมีเวลาให้ตัวเองได้ล้มลุกคลุกคลานเรียนรู้ ฮีลตัวเองกลับมาสู้อีกครั้งจนกระทั่งมีวันนี้มั้ย”

ได้คุยกับไมค์ถึงวันที่เราคุยกันไม่ถึง 3 คำตอนนั้นบ้างมั้ย?

“จริงๆกอล์ฟไม่เคยคุยย้อนกลับไปว่าตอนนั้นทำไมเราไม่คุยกัน มันรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก พอยิ่งโตขึ้นมันเหมือนกราฟที่ไต่ขึ้น กอล์ฟจำได้นะกอล์ฟเคยเขียนจดหมายหาไมค์สมัยนั้น เราเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่กล้าคุยกันในเชิงความรู้สึก ทำงานด้วยกัน เป็นคู่พี่น้องที่ถูกเปรียบเทียบ เรียกกอล์ฟไมค์ผิดคน เป็นการแข่งขันกันในตัวโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนเราที่ต้องโดนเปรียบเทียบ เราเลยอาจจะไม่ได้คุยกันเรื่องส่วนตัวมากนัก พอเราโตมาเรื่อยๆมาถึงจุดนึง เมื่อก่อนกอล์ฟจริงจังกับการซ้อมมาก ไมค์ก็จะเล่นเกมของเค้าเราก็พูดในเชิงพี่ชายให้ซ้อมสิ ทำสิ เวลาผ่านไป กอล์ฟเลยเขียนจดหมายว่า พี่กอล์ฟขอโทษนะที่เคยทำให้รู้สึกกดดันที่ว่าเค้าตอนซ้อม แต่ความตั้งใจคือยากให้น้องได้ดี อยากให้ไม่ถูกพูดถึงแบบเปรียบเทียบ อยากให้ไปควบคู่กัน เลยขอโทษเค้า เค้าคงได้อ่านนะ ตั้งแต่ตอนที่เป็นกอล์ฟไมค์ และน่าจะเป็นจุดนึงที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ความรู้สึกดีขึ้น ตอนหลังเค้าก็ซ้อมมากขึ้น คือด้วยความอยู่ด้วยกันตลอดเลยตีกันบ่อย อยู่ด้วยกันมากๆจนมันเอียน เวลาทะเลาะกันเลยไม่คุยกัน และเป็นความสัมพันธ์แบบทำงานกันตลอดเวลา เป็นดูโอ้คู่หนึ่ง จนบางทีคนรอบข้างไม่ได้เข้ามาคุยกับเราในความรู้สึกเชิงพี่น้อง ซึ่งนี่คือสิ่งที่บอกว่าทำไมกอล์ฟถึงคุยกับแอนนี่ว่าเราต้องคุยกันเชิงความรู้สึกว่าเราชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร ทำอะไรผิดหรือควรปรับตรงไหน นี่คือสิ่งที่กอล์ฟได้หยิบประสบการณ์มาใช้”

พอโตมาตอนนี้ก็เป็นพี่ชายที่รักน้องมาก?

“มันเหมือนสลับกันเลย ตอนเด็กๆของหลายๆคนจะมีภาพพี่น้องรักกันซบกัน แต่ของเรามันเป็นภาพตอนโต เพราะตอนเด็กๆเราทำงานอย่างเดียวจริงๆ ตอนนี้พอเราโตเรามีความเข้าใจอะไรมากขึ้น ได้พูดคุยกับน้องชายเรามากขึ้น เลยรักกันมากขึ้น”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2465289
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2465289