ความรู้สึกหลังประกวดเป็นไงบ้าง?
“ก็สบายใจค่ะ รู้สึกว่าเราทำหน้าที่ของเราสุดความสามารถเต็มที่ เชื่อว่าคนไทยหลายๆ คนก็ภูมิใจกับผลงานของเรา ถามว่าตอนจับมือคิดอะไรอยู่ หนูมีความรู้สึกเหมือนตอนที่จับมือกับไฮดี้เลย ใครได้ก็ไม่เป็นไร เพราะอิซเบลล่าเขาก็สมมงมากๆ เลยค่ะ”

เกินเป้าตามที่เราตั้งใจไว้ไหม?
“จริงๆ หนูอยากได้มงด้วยซ้ำ เพราะเราประกวดก็อยากเอามงแรกกลับมาที่เมืองไทยให้ได้ แต่ว่าในเมื่อเราทำเต็มที่แล้ว การประกวดมีคนที่เก่งกว่าเราด้วย เราก็ต้องยอมรับการตัดสินค่ะ”

กำลังใจจากแฟนๆ ที่ส่งจากไทยไปเป็นไงบ้าง?
“เยอะมากจริงๆ ก็เลยทำให้เราทำผลงานได้ดีมากๆ ในทุกรอบค่ะ ถามว่ารอบที่กดดันที่สุด (นิ่งคิด) ไม่มีเลย ถามว่ามีร้องไห้บ้างมั้ย ไม่มีเลย หนูรู้สึกว่าการประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนลสบายใจ ไม่มีกดดัน ไม่มีเครียด ตอนในบ้านเราเครียดกว่า”

ก่อนไปมีปัญหาเยอะ เราโฟกัสกับการประกวดยังไงบ้าง?
“เราก็ทิ้งปัญหาทุกอย่างเลยค่ะ ทำให้เต็มที่ที่สุด”

สิ่งที่ได้จากเวทีนี้?
“หนูว่าเราได้สังคมใหม่ๆ ได้ภาษา ได้เพื่อน ได้หลายอย่างมากๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่มีเงินก็ซื้อไม่ได้ค่ะ”

ถึงไม่ได้มงกลับมาแต่แฟนๆ ให้กำลังใจเยอะ?
“ก็ต้องขอบคุณมากๆ (ยกมือไหว้) คือหนูรู้สึกว่าชนะอะไรไม่เท่าชนะใจคน ซึ่งเราสามารถทำได้ อันนี้รู้สึกภูมิใจยิ่งกว่าได้มงด้วยซ้ำ”

สุขภาพตอนนี้ดีขึ้นรึยัง?
“ก็ดีขึ้น สบายใจ มันก็เลยโล่ง ทุกอย่างก็โอเค แต่ก็ยังกินยา เดี๋ยวเรากลับมาก็ต้องไปพบคุณหมอใหม่ค่ะ”

ถามถึงดราม่าที่เราโพสต์ไอจีสตอรี่?
“มันก็เกิดจากความน้อยใจของเรา เพราะปัญหาเกิดขึ้นหลายครั้งมากๆ หลายคนเริ่มพูดว่าเหมือนเราแตะต้องไม่ได้เลย มันก็จะมีแฟนคลับที่เข้าใจเรา และแฟนคลับที่อาจรักเรามากเกินไปจนเกิดการหึงหวง เหมือนไม่มีขอบเขตในการให้เกียรติคนอื่น ซึ่งกลายเป็นทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามาใกล้ ไม่กล้าคุย เพราะกลัวโดนด่าโดนว่า ซึ่งหลายๆ คนได้รับผลกระทบตรงนี้เยอะมากๆ เราก็รู้สึกแย่มากๆ เลยน้อยใจแล้วโพสต์เพื่อเป็นการตักเตือนว่าให้พื้นที่เรานิดนึง เวลาอยู่ใกล้ใคร เรามีเพื่อน มีสังคม เราอยากให้เขารักที่เราเป็นเราจริงๆ ถามว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังประกวดหรือเปล่า จริงๆ มันมีมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยออกมาพูดเลย ก็รู้สึกว่าครั้งนี้คือมันถึงเวลาที่เราต้องพูดแล้ว”

มันเป็นความอึดอัด?
“ก็นิดนึง เพราะเรารู้สึกว่าหลายๆ คนโดนแฟนคลับเราด่า บางคนโดนด่าแรงมาก ทุกครั้งที่เราเห็นเราก็ไม่ได้สบายใจ รู้สึกแย่มากๆ”

คนมองว่าอิงฟ้าเป็นนางงามคนแรกที่กล้าออกมาเตือนแฟนคลับ?
“มันเหมือนเราตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เราต้องคัดคนแล้ว ถ้าเราไม่เตือนเลยมันก็จะบานปลาย เขาก็จะรู้สึกว่าเขาทำได้ บางคนเหมือนแทบจะเป็นเจ้าของชีวิตเราเลย จะต้องแบบนี้ๆๆ”

คำว่าล้ำเส้นมันเป็นยังไงสำหรับเรา?
“ก็เหมือนว่าห้ามคุยกับคนนี้ ห้ามติดต่อกับคนนี้ ห้ามมีสังคมแบบนี้ บางทีเราไม่รู้จักคนอื่นดีพอ ไม่อยากให้แฟนคลับเราไปตัดสินคนอื่นว่าไม่ดี”

บางคนบอกว่าเป็นคนสาธารณะต้องยอมรับตรงนี้ให้ได้?
“หนูว่าถ้าไม่มีคนออกมาพูด มันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราก็ขอพูดในสิทธิ์ของเราว่าเรายอมรับว่าเป็นคนสาธารณะ แต่เราก็มีสิทธิ์ของเราที่จะพูดเช่นเดียวกัน”

ถ้าทำให้แฟนคลับจำนวนนึงลดลงไปจะว่าไง?
“อย่างที่บอกว่าเราจะคัดคนจริงๆ เราอยากคัดคนที่รักเราเป็นเราดีกว่า หนูมีความรู้สึกว่าอย่างดาราศิลปินเกาหลีที่เขาฆ่าตัวตายเยอะมากเพราะปัญหานี้ มันอาจเกิดขึ้นกับเราได้ จิตใจเราก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

ถามถึงเรื่องติ๊นา อยากชี้แจงอะไรบ้าง?
“จริงๆ หนูว่าเรื่องตอนนี้มันไม่มีอะไรแล้ว ที่โพสต์ไปในทวิตเตอร์มันเกิดจากความโมโหของเราด้วยแหละ เพราะว่ามันอยู่ในช่วงที่เรากำลังป่วยแล้วจะกลับบ้าน แต่ก็ได้พูดคุยกันแล้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”

จุดประสงค์ในการโทรมาของเขาคืออะไร?
“ที่จริงเราเป็นเพื่อนกัน จริงๆ ไม่มีอะไรเลย บางคนก็ไปตัดสินโน่นนี่นั่น ซึ่งประเด็นตรงนี้เราก็ไม่สบายใจ บางคนก็ว่าล่วงเกินไปถึงพ่อแม่ บางทีเราไม่รู้จักเขาดีมากพอแล้วไปตัดสินเขา เราก็ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง เวลาที่เราเห็นคอมเมนต์แฟนคลับเราไปว่าเขา เราก็ไม่สบายใจ”

ช่วงที่ประกวด เขาติดต่อหาเราบ่อยแค่ไหน?
“จริงๆ ก็ไม่ได้บ่อย อย่างที่บอกว่าเราก็เป็นเพื่อน จริงๆ เรามีเพื่อนหลายคน แค่ไปจับประเด็นที่เขาเท่านั้นเอง”

แต่การที่เราตัดสัมพันธ์เขา มันเหมือนเราอยากให้มันจบหรือผลกระทบไม่ไปถึงเขาอีก?
“เราไม่อยากให้เขาเดือดร้อน (หัวเราะ) เรารู้สึกว่าไม่ใช่แค่ตัวติ๊นาอย่างเดียว แต่มันหลายคนจนเรารู้สึกจิตใจเราเริ่มห่อเหี่ยว ไม่อยากมีเพื่อนแล้วตอนนี้”

ณ วันนี้เป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว?
“มันก็ไม่เชิงว่าเป็นเพื่อนไม่ได้ แต่ว่าเราแค่แก้ปัญหา เพราะเราไม่อยากทำให้เขาเดือดร้อน ถ้าเราทำสิ่งนี้แล้วแฟนคลับสบายใจ เราทำก็ได้ เลยเป็นที่มาของสตอรี่สีดำ”

แต่การตัดจะเป็นการทำลายความรู้สึกของเขาไหม?
“จริงๆ หนูต้องขอโทษเขาด้วย ต้องขอโทษทุกคนที่บางทีเราไม่สามารถควบคุมแฟนคลับเราได้ ต้องยอมรับผิดตรงนี้ด้วย ตอนนี้ก็โฟกัสงานค่ะ ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย”

สภาพจิตใจตอนนี้?
“ก็นิดนึง”

สถานะตอนนี้?
“ก็ยังโสดไปเรื่อยๆ”

จะต้องไปหาหมออีกเมื่อไร?
“อาจจะพรุ่งนี้ (เครียดจากการประกวดหรือข่าว?) คือมันหลายเรื่อง พอเรื่องนี้ยังไม่ทันจบเลย เรื่องนี้มาอีกแล้ว แล้วบางทีเป็นปัญหาที่มาจากคนที่เรารักอย่างแฟนคลับ ในส่วนแฟนคลับที่ดีก็คือดีมาก แต่ก็มีแค่กลุ่มเล็กๆ ที่ทำให้เป็นปัญหา”

ณ วันนี้ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าตอนไปหาครั้งที่แล้ว?
“จริงๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากนะคะ แต่เราแค่ต้องไปเปลี่ยนยาใหม่เท่านั้นเอง เพราะยาหมดแล้ว ถามว่ามีอารมณ์สวิงมั้ย ไม่เลย เพราะเรามีจุดโฟกัสว่าเราอยู่กองประกวด อยู่กับเพื่อน ไม่ได้มีจุดโฟกัสที่ไม่ดี แต่พอเรากลับมาก็ต้องเมเนจว่าเราไม่ได้ประกวดแล้ว กลับมาทำงานที่ไทย ส่วนยาที่จะใช้รักษาจะเป็นยาที่รักษาโดยตรง อันนั้นเป็นแค่เยียวยาเฉยๆ”

อยากบอกอะไรแฟนๆ?
“อยากขอบคุณทุกคนที่รักและชื่นชอบกัน จริงๆ ดราม่าที่เกิดขึ้นที่ออกมาเตือนไม่ได้แปลว่าเราไม่รักนะ เราต้องทำเพราะว่าไม่งั้นปัญหาจะลุกลาม บางคนอาจเลือกไม่พูดก็ได้เพราะกลัวเสียแฟนคลับ แต่เราเลือกที่จะพูดเพราะเรารักคุณและอยากให้ทุกคนมองแฟนคลับเราในทางที่ดี คนที่น่ารักเราก็ขอบคุณมากๆ ที่รักที่เราเป็นเรา ส่วนใครที่ไม่พอใจ อยากจะเดินออกไป ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ขอบคุณที่เคยรักกันค่ะ”

ถามถึงดราม่าภาษาอังกฤษที่คนบูลลี่เรา?
“หนูว่าหนูชนะใจตัวเองแล้วที่เรากล้าที่จะพูด ภาษาอังกฤษคือจริงๆ ไม่มีต่างชาติคนไหนมาว่าเรา มีแต่มาชื่นชม อาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษก็ให้กำลังใจเราเยอะมาก เราเป็นตัวแทน เป็น Role Model เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเขามั่นใจ เขาก็สามารถที่จะสื่อสารและใช้ภาษาอังกฤษได้”

เรานอยด์ไหม?
“ก็มีนิดนึง แต่เรารู้สึกว่าพอมันเป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าเป็นต่างชาติเราจะรู้สึกว่าไม่เท่าไร แต่พอเป็นคนไทยด้วยกันก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาให้เห็นว่าต่อไปคนที่มาดูข่าวนี้ว่ามีการบูลลี่เรื่องภาษาอังกฤษ เด็กก็จะไม่กล้าพูดเพราะกลัวโดนบูลลี่”

ตอนก่อนไปเราได้ฝึกไหม?
“จริงๆ เราก็มีพูดคุยเรียนแบบออนไลน์ ใช้แบบในชีวิตจริงคุยกับเพื่อนเลย ขอแค่ได้ทักได้คุยว่าเราเฟรนด์ลี่นะ แล้วเขาก็สอน เราก็บอกเขาว่าภาษาอังกฤษเราไม่ได้ดีนะ แต่คุณสอนเราได้ เราสอนภาษาไทยคุณได้ พอเราได้ใช้ตลอด 1 เดือนก็ทำให้เราพัฒนาขึ้น”

พอเจอบูลลี่ทำให้เราอยากพูดน้อยลงไหม?
“ไม่เลย เพราะเรารู้สึกว่าบางครั้งคนที่บูลลี่เราก็ยังพูดไม่ได้เท่าเราเลย ไม่จำเป็นจะต้องให้ค่าเขาก็ได้”

เจ้าของภาษาบางคนก็ชื่นชมที่เรากล้าพูดกล้าใช้?
“ใช่ค่ะ หนูว่าแค่เป็นการเรียงประโยคผิดนิดหน่อย ถ้าคนที่เป็นต่างชาติจริงๆ เขาจะเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อ เข้าใจความหมาย แต่คนที่อคติหรือจับผิด เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง มันต้องเป๊ะๆ มันต้องแบบนี้ ซึ่งเราสามารถเมเนจความคิดเราเองได้ว่าเราเลือกให้ความสำคัญกับคนแบบไหน”.