ปุ๊กลุก เผยเรื่องจริงของ ไมค์ หนักกว่าที่พูดในรายการ รับรู้ตอนแรกสุดช็อก


ให้คะแนน


แชร์

ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ เผยเรื่องจริงของ ไมค์ ภัทรเดช หนักกว่าที่พูดในรายการ รับรู้ตอนแรกสุดช็อก ผู้ชายโดนแบบนี้ด้วยเหรอ

วันที่ 4 พ.ย. 65 นางเอกสาว ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล ร่วมพิธีบวงสรวงละครเรื่อง VIP รักซ่อนชู้ ที่แอ็ค สตูดิโอ ได้เปิดใจถึงเรื่องที่หวานใจหนุ่ม ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี เล่าเรื่องในอดีตที่เกือบจะถูกกะเทยหลอกให้เอาตัวเข้าแลก เพื่อเข้าวงการบันเทิง

ตอนนั้นไมค์ ไปออกรายการ TurningPoint EP.1 ของเรามันก็เลยเป็นประเด็น เราได้รู้ก่อนที่เขาจะพูดในรายการไหม? “ทราบค่ะ จริงๆ คนที่เป็นครีเอทีฟเขาเป็นคนถาม เหมือนเขาคุยกัน แล้วคิดว่าอันนี้มันน่าจะเป็นเทิร์นนิ่งพ้อยท์ของตัวไมค์ได้ ก็เลยได้เล่าในรายการ”

แสดงว่าเราเห็นสคริปต์ก่อนรายการจะเริ่ม? “เห็นค่ะ แต่หนูรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไมค์เล่าให้ฟังค่ะ เหมือนมันเป็นเรื่องในมุมดีฟของเขา ก็เลยได้แชร์กัน

เล่าในรายการกับเล่าให้เราฟังครั้งแรกต่างกันไหม? “นิดหนึ่ง เพราะเรื่องจริงมันแรงกว่านั้น (หัวเราะ) ในรายการนี่คือซอฟต์ เพราะว่าเราคิดว่าบางอันมันน่าจะมากไปนิดหนึ่งค่ะ”

วันที่เขาเล่าให้เราฟังครั้งแรก ที่บอกว่ามันดีฟมาก จิตใจเขาเป็นอย่างไรบ้าง? “เขาผ่านมาแล้ว คือหนูว่าเหมือนเขาภูมิใจที่เขาไม่ได้เลือกทำในสิ่งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ เพื่อการที่จะไปต่อในวงการบันเทิง ถามว่าสภาพจิตใจเขาเป็นยังไง หนูว่าเขาเสียความรู้สึกกับคนที่เขารักในเวลานั้น แต่ตอนที่เล่าเขาไม่ได้เฟลแล้ว หนูว่ามันไม่เหมือนผู้ชายพยายามจะทำอะไรผู้หญิงเนาะ มันก็อาจจะไม่ได้ขนาดนั้น แต่เขาก็เฟล แต่ไม่ได้ผ่านมันมายากขนาดนั้นค่ะ”

ตอนที่เราได้ฟังครั้งแรก เราเป็นอย่างไรบ้าง?ช็อกนะ เพราะหนูเคยได้ยินว่าถ้าผู้หญิงจะเข้าวงการ บางทีมันก็มีนะ แบบหลอกไป คือเราก็ระวังของเรามาตลอด จนวันหนึ่งได้เข้าวงการบันเทิง แต่เราไม่ได้รู้ว่าในพาร์ตของผู้มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ

ถามไหมว่าทำไมเขาถึงกล้าที่จะเล่าให้เราฟัง? “ในเวลาเราได้ยินในมุมอื่นมา ที่เป็นมุมว่าแบบเหมือนเขายอม ตอนนั้นเหมือนตอนแรกเขาแค่คุยคร่าวๆ ว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้นะ แต่ไม่ได้เล่าดีเทล จนมันมีเรื่องนี้เข้ามา แล้วก็มาจากคนใกล้ตัวเรา ที่เรารู้สึกว่าทำไมมันดูแรงจังเลย เราก็เลยตัดสินใจถามเขา ว่าเรื่องวันนั้นมันยังไงเหรอ เพราะที่เราได้ยินมาคือเขาพูดออกไปเลยว่ากับไมค์เรียบร้อยแล้วนะ ซึ่งเรารู้จักเขา เรารู้ว่าเขาไม่มีทางเป็นแบบนั้น เลยถามเขาตรงๆ เราเป็นคนใกล้ตัว ที่ถ้าวันหนึ่งมีอะไรแล้วคนมาถาม เราจะได้คอนเฟิร์มได้ หนูรู้สึกว่าไมค์น่าจะมีโอกาสได้พูดในมุมของตัวเอง แต่ถามว่าเป็นปมในใจของเขาไหม คิดว่าไม่นะคะ เขาแค่อยากจะแชร์ในอีกมุม ส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาผ่านมาได้”

คนที่มาบอกเรา คือมาเตือนเราเกี่ยวกับไมค์? “มีคนที่รักเราเตือนเหมือนกัน เขาก็อาจจะรู้สึกว่า ผู้ชายที่ยอมเข้ามาในวงการบันเทิงแบบนี้ แต่ในส่วนตัวคือเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ใช่จากคนใกล้ตัวเล่า เลยรู้สึกว่าแบบเฮ้ย…อะไรวะ แต่ในเวลานั้นก็เหมือนคอนเฟิร์มกับเขาไปทันที ว่าแต่ที่หนูได้ยินไม่ใช่แบบนี้นะ”

พอถูกเอาออกมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ไมค์ รู้สึกอย่างไรบ้าง? “เขาไม่ได้มีเวลา ช่วงเขาถ่ายละคร 7 วัน ไม่มีเวลาได้เสพดราม่า แต่ว่าเราเสพเต็มๆ แล้วมันเป็นรายการของเรา แล้วเราก็แคร์แขกรับเชิญทุกคนที่มา เราเป็นคนเช็คเทป แล้วก็ตัดทอนทุกอย่างที่จะมีผลเสียกับเขา และคนที่กล่าวถึง จริงๆ เรื่องนี้เดาไม่ได้ด้วยว่าเป็นใคร”

แสดงว่ามีคนไปตามหาว่าบุคคลที่ไมค์กล่าวถึงเป็นใคร? “ใช่ค่ะ เราตั้งใจที่จะไม่ให้ใครเปิดวาร์ปแต่เรารู้ว่าต้องมีคนอยากรู้ว่าเป็นใครแต่เราก็ทำให้เดาไม่ได้เลย คนที่ถูกพูดถึงเป็นใคร เราไม่ได้ต้องการที่จะให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง เราแค่อยากบอกให้รู้ว่ามันเป็นมุมมอง เป็นเหตุการณ์หนึ่งของคน คนหนึ่ง แต่พอมันมีกระแสดราม่ามาแล้วค่อนข้างที่จะซีเรียสนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นรายการของหนูตอนจบมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี เลยไม่ได้ออกมาอะไร”

ด้วยความที่เราเป็นเจ้าของรายการกับแขกรับเชิญคนต่อไป เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง? “เราทำตามเจตนาของรายการให้หลายๆ คนที่เขามีประสบการณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ดีของตัวเอง สิ่งที่ไม่ดีที่ได้เจอมาแล้ว อะไรที่เป็นจุดที่ทำให้ชีวิตไปต่อได้ จุดเริ่มต้นของการทำรายการนี้เกิดจากการที่คนรอบข้างเป็นโรคซึมเศร้าก็เลยรู้สึกว่า อยากที่จะทำรายการที่นอกจากความบันเทิงแล้วยังเป็นกำลังใจให้คนได้เดินต่อหลุดจากความดิ่ง หรือปัญหาชีวิตในสมัยก่อน อันนี้ก็เลยเป็นจุดประสงค์ในการทำคลิป แต่เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นมา เราก็ย้อนไปดูที่จุดประสงค์ว่าเราผิดจุดประสงค์หรือเปล่า เพราะว่าจุดประสงค์ของเราคือไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นถ้ามีใครหรือว่าบุคคลที่สามเป็นใคร”

มีข่าวว่า ไมค์ อยากที่จะเป็นนักแสดงอิสระเหมือน ปุ๊กลุก? “มันเป็นมุมมองที่มีการแชร์กันว่าการที่เรามีอิสระและเป็นนักแสดงที่มีสังกัดมันแตกต่างกันอย่างไร แต่สุดท้ายทุกคนก็รักชีวิตของตัวเอง เพราะว่าทุกอย่างที่เราเลือกมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น สำหรับตัวหนูรู้สึกว่ามันสนุก แต่ว่ามันก็เหนื่อย มันจะไม่เหมือนตอนที่เรามีบ้านของเราจริงๆ ตอนนั้นเราจะรู้สึกว่าเราปลอดภัย แต่พอเป็นอิสระการทำงาน เรารู้สึกว่าได้มีโอกาสได้ลองทำอะไรใหม่ใหม่เยอะขึ้น อย่างน้อยๆ ก็เป็นผู้กำกับคนใหม่ค่ายใหม่ที่ใหม่ๆ”

ตอนนี้เรารู้สึกอยากมีบ้านหรือยัง? “ตอนนี้ก็ยังไม่ค่ะแต่หนูก็ขอบคุณทางผู้ใหญ่ช่องวันที่เมตตาให้มีโอกาสได้ร่วมงานในหลายโปรเจ็กต์”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7349097
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7349097