แพทริคอนันดา เปิดใจยืนยันไม่ได้ทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาว เสียใจคนเคยรักบิดเบือนความจริง ทำสังคมตราหน้า


ให้คะแนน


แชร์

แพทริคอนันดา เปิดใจยืนยันไม่ได้ทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาว เสียใจคนเคยรักบิดเบือนความจริง ทำสังคมตราหน้า

จากกรณีที่มีสาวปริศนาออกมาแฉพฤติกรรม นักร้องหนุ่มไทยเชื้อสายนิวซีแลนด์ แพทริคอนันดา (Patrickananda) โดยอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจนต้องเข้าโรงพยาบาล

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566 แพทริคอนันดา พร้อมด้วยผู้บริหาร คาล นิทัศน์ คงขำ กรรมการผู้จัดการบริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค ประเทศไทย ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด อาคารเดอะ ปาร์ค

ผู้บริหาร : “จริงๆ แล้วทุกคนในค่ายวอร์นเนอร์ฯ เรื่องประเด็นทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องที่จริงจัง ซีเรียส เราไมได้อยากจะนิ่งนอนใจ แต่เรายังไม่อยากจะตัดสิน เราก็ไปดูสิ่งที่ถูกโพสต์ แล้วก็ไปคุยกับแพทริคเหมือนกัน แล้วคิดว่าอยากให้แพทริคมีโอกาสเล่าจากมุมเขาแล้วก็มีชี้แจงในสิ่งที่ควรอยากจะพูด ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสแพทริคครับ”

แพทริค : “ผมขอแบ่งเป็นส่วนนะครับ ส่วนแรกเรื่องของการคบหากันกับอีกฝ่ายนึงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ส่วนที่สองเรื่องคลิปกับการทำร้ายร่างกายที่เขาพูดถึงผมที่เขาโพสต์ แล้วก็ส่วนที่สามก็คือเรื่องของการทำร้ายจิตใจ

เดี๋ยวเริ่มกันที่เรื่องแรกนะครับ เคยคบหากันจริง เป็นเรื่องจริง เคยคบหากับคนนี้โดยที่ไม่เคยปิดบังเลย เราคบหากันช่วงที่ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นน่าจะปี 2017 จนถึงปลายปี 2020 มั้งครับ น่าจะประมาณนี้ เกือบๆ 4 ปีที่คบหาดูใจกัน แล้วก็เพื่อนๆ ครอบครัวทราบดีครับ

แต่ว่าในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาที่เขาพูดถึง คือระยะที่เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ว่าเราก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน แล้วก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อน มีหลายช่วงมากๆ สลับกันไป เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากๆ แล้วก็มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นนะครับ

ในส่วนที่สอง ผมว่าน่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ในส่วนของการทำร้ายร่างกายหรือในส่วนของคลิปที่เขาลง และแคปชั่นว่าผมทำร้ายร่างกาย ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องจริงครับ ในคลิปนั้นเป็นคลิปที่เกิดขึ้นนานแล้ว เป็นคลิปเก่า ณ วันนั้นที่คลิปลงผมไม่ได้อยู่นั่น ผมอยู่สตูดิโอ ผมทำเพลงอยู่ ไม่ใช่เหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่ที่เกิดขึ้น ณ เวลาที่เขาลง

เกิดขึ้นคนละเวลากันแล้วก็เป็นคลิปเก่า ไม่มีความรุนแรง ไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นในคลิปนั้นหรือว่าในเหตุการณ์นั้น คลิปนั้นน่าจะได้เห็นกันแล้วว่ามี 2 วินาที มันมีเหตุการณ์มากกว่านั้นที่มากกว่า 2 วินาที แล้วผมก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมขอชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในคลิปนั้นแล้วกันนะครับ ทางฝ่ายเขามาหาผมที่คอนโดฯ แล้วก็อยากจะพูดคุยด้วย เวลาประมาณตอนเช้าประมาณ ตี 5 – 6 โมงเช้า แต่ผมก็บอกเขาว่าทำไมไม่นัดมาก่อน เพราะผมง่วงนอนและมันไม่ใช่เวลาที่ปกติผมจะตื่น แล้วที่มีการถ่ายหรือปัดกล้อง

เพราะว่าผมเอากุญแจรถเขามา เพราะผมไม่อยากให้เขาขับรถ ตอนนั้นเขาจะกลับบ้านแต่ว่าผมบอกเขาว่าผมไม่อยากให้เขากลับ ไม่อยากให้เขาขับเอง เพราะเขาอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้อต่อการขับขี่ยานพาหนะ ผมเลยบอกว่าเราขอกุญแจเธอนะ แล้วไม่คืนด้วยเพราะว่าไม่อยากให้ขับรถ เพราะเขาไม่พร้อมที่จะขับรถเท่าที่ผมสำรวจ

ณ ตอนนั้น ผมเลยบอกว่าผมไม่ให้กุญแจนะ เดี๋ยวขอโทร.หาคุณแม่ให้มารับแล้วกันถึงจะคืนกุญแจให้ แต่ทีนี้มีปากเสียงกันนิดหน่อยที่เขาไม่ได้อยากให้คุณแม่มารับหรือมารู้เกี่ยวกับตรงนี้ แต่ผมก็ยืนยันว่าผมจะไม่ให้เขาขับเอง ก็เลยมีการไม่พอใจนิดหน่อย แล้วก็มีการทะเลาะกันนิดหน่อย แต่ว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว แล้วคุณแม่เขาก็มารับเขากลับ

นอกจากเหตุการณ์ในคลิปนั้นที่ผมไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาแล้ว ผมไม่เคยใช้ความรุนแรงหรือทำร้ายร่างกายผู้หญิงหรือว่าใครเลย ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายใครทั้งสิ้น ผมไม่สนับสนุนความรุนแรงแล้วก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายผู้หญิงครับ”

ตอนที่เขาโพสต์ว่าถูกทำร้ายร่างกาย เราบอกว่าเราอยู่สตูฯ แต่เรารู้ว่าเหตุการณ์ที่เขาเจอคืออะไร?
“ในคลิปนั้นคือผมเอง แต่เป็นเหตุการณ์เก่าที่เขาเอามาลง ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ผมแค่ถามแล้วก็พูด ผมบอกว่าผมอยากพูดกับเขา ให้กำลังใจเขา ผมเลยพูดเรื่องเก่าๆ เรื่องที่เราเคยคบกัน

เขาพูดถึงความเหนื่อยล้าในการทำงาน ผมก็พูดให้กำลังใจว่าจริงๆ เขาเป็นคนเก่งนะ เขาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องเพลงมากๆ เป็นคนน่ารัก มุ่งมั่น ในตอนนั้นเขาเป็นแฟนที่ดีนะ ผมชื่นชมเขาในหลายๆ อย่างไป การรีแอ๊กของเขาไปพูดให้เขารู้สึกไม่ดี ไปให้ความหวังเขา เขารู้สึกไม่โอเคเลย

ตัวผมเองพอเขาทักมา ผมก็นึกว่าเขาโอเคแล้ว ไม่ได้โกรธเคืองกันแล้ว ทำใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น ถือว่าผมคิดไปเองแล้วกัน แล้วผมก็รู้สึกผิดตรงนี้ด้วย ผมก็ขอโทษเขา ขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่รู้ว่าเขายังไม่โอเค

แต่ที่ผมพูดออกไปอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกจริงๆ เราไม่ได้อยากจะเล่นกับความรู้สึกของเขา ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อง้อให้เขากลับมา พอเขาบอกว่าเขารู้สึกไม่ดี ผมเองก็เข้าใจได้นะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมันพูดยาก ผมก็พยายามขอโทษเขา ผมไม่ได้อยากให้ความหวังเขา ก่อนเหตุการณ์นี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้แล้ว”

ที่เขาโพสต์คือเขาโกรธจากเรื่องตรงนี้ ที่เราไปให้ความหวังเขา? “ใช่ครับ เขาแค่ไม่แฮปปี้ที่ผมพูดอย่างนั้น เหมือนผมไปให้ความหวังเขา ผมพยายามอธิบายแล้วว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ถ้าผมไปก้าวก่ายผมขอโทษจริงๆ จากนั้นก็มีการทะเลาะกันนิดหน่อย เขาก็พยายามบอกว่าจริงๆ แล้วผมไม่ควรจะพูดอย่างนี้

เพราะเขาเองก็พยายามจะจบแล้ว ผมเองเป็นคนพูดจาแบบนี้จริงๆ ผมคิดอะไรผมก็พูด แล้วคนเคยรู้สึกดีต่อกัน มันก็อยากจะพูดอะไรดีๆ ให้เขาฟัง แต่ผมอาจจะผิดตรงที่ผมไม่ได้นึกถึงความรู้สึกเขาว่าเราพูดไปแล้วมันจะทำให้เขานึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่ทำให้เขาเจ็บปวด ผมเองก็พยายามขอโทษ แต่เรื่องราวมันก็ไม่ได้เย็นลงเท่าที่ผมพยายามจะทำให้มันเย็นลง”

เรามั่นใจว่าเราไม่ได้พูดให้ความหวังเขา? “ผมไม่ครับ ผมต้องบอกครับว่าเขามีสภาพจิตใจที่เปราะบาง เขารักผมมาก ผมแค่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ที่จะทำให้เขารู้สึกแย่”

ผู้หญิงอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เลยทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา? “ไม่ครับ ผมมองว่าเป็นที่ผมที่ไม่เข้าใจเขามากเท่าที่ควร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยทำให้เขารู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้หลังจากที่เราเลิกกัน ผมจะเป็นคนที่พูดสิ่งดีๆ กับเขาเสมอแม้ในวันที่เราเลิกกันแล้ว บางทีอาจจะพูดเยอะเกินไปด้วย

ผมเคยพูดว่าคิดถึงนะ ยังรักและห่วงใยเสมอ ซึ่งผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่เราไม่ได้คบกัน แต่ผมไม่เคยคิดที่จะเล่นกับความรู้สึกเขาเลย แต่ผมเป็นคนที่พูดจาแบบนี้จริงๆ ไม่ว่าเราจะไม่ได้คบกันแล้ว เราต่างคนต่างมีคนใหม่กันแล้ว แต่สุดท้ายเราก็วนมาเจอกันอยู่ดี และทุกครั้งที่เราวนกลับมาเจอกัน ผมก็จะพูดแต่สิ่งดีๆ ที่ผมรู้สึกกับเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ”

เขาบอกถูกเราทำร้ายร่างกาย เรายืนยันไหมว่ามีปากเสียงกันเฉยๆ ไม่มีการใช้ความรุนแรง? “ใช่ครับ เป็นอย่างนั้นเสมอ ผมไม่เคยลงไม้ลงมือ ผมอาจจะเคยเป็นคนที่อารมณ์ร้อน สมัยอายุ 19-20 ปี แต่ตอนนี้ผมอายุ 25 ปีแล้ว ผมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้นที่ผมเด็ก เวลาทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน ผมไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขาเลย หรือกับผู้หญิงคนไหน หรือใครก็แล้วแต่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”

เท่ากับเขาใส่ร้ายเรา? “ผมคิดว่า…เขาน่าจะมีเหตุผลของเขา ด้วยความที่สภาพจิตใจเขาไม่ได้แข็งแรง เขามีสภาพจิตใจที่เปราะบางมากๆ แต่เขาไม่ใช่คนไม่ดี เขาเป็นคนน่ารัก เรารู้จักกันมาหลายปีมาก มันอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่ผมพูดแล้วไปสะกิดใจเขาให้เขารู้สึกไม่ดี อาจจะโมโห ก็เลยโพสต์ไป”

เรามั่นใจว่าเขาจะไม่มีหลักฐานอะไรออกมาว่าเราทำร้ายร่างกายเขา? “ไม่มีครับ ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายเขาเลย ผมไม่เคยลงไม้ลงมือ ไม่ว่าจะโมโห โกรธกันแรงแค่ไหน เรื่องการทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ”

เราได้ติดต่อพูดคุยกับเขาไหมว่าทำไมเขาถึงโพสต์แบบนั้น? “หลังจากที่เขาโพสต์ ผมก็โทรหาเขา เราก็ได้พูดคุยกันด้วยความใจเย็น ตอนนั้นผมสับสนมากๆ ก็ไม่ได้คิดว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันจะมาไกลขนาดนี้ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ ผมไม่โกรธเขา แค่รู้สึกสับสนและเสียใจว่า ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ล่ะ เขาก็ยืนยันว่าเขาเจ็บมาเยอะแล้วกับการให้ความหวัง”

เป็นการสกัดดาวรุ่งเราไหม? “ผมคิดแทนเขาไม่ได้ตรงจุดนี้ เขาอาจจะมีเจตนาหรือเหตุผลอื่นๆ”

พอได้คุยแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างเคลียร์กันลงตัวไหม? “คือผมขอให้เขาลบ เขาบอกว่า จำคำเขาไม่ได้ แต่เขาบอกว่าเดี๋ยวลองดูอะไรประมาณนี้”

ตอนที่เราสองคนคบกันความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง? “ถ้าถามผมเขาเป็นแฟนคนแรกๆ เลยก็ได้ เป็นแฟนคนที่ 3 ของผม เราคบกันเราก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่หอพัก ใช้ชีวิตด้วยกัน 24 ชั่วโมงทุกวันอยู่ด้วยกัน 4 ปี เป็นความรักที่ดีครับ แต่ว่าไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่สำหรับความรักของผมกับเขาเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตผมจริงๆ”

แสดงว่าช่วงเวลาที่คบหากันก็ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะขั้นรุนแรง? “มีทะเลาะ แต่ถึงขั้นลงไม้ลงมือไหม ผมไม่เคยครับ”

ตอนเลิกกันจบกันด้วยดีไหม? “ต้องยอมรับว่าจบกันไม่ดีเท่าไหร่ จบกันด้วยการทะเลาะกัน แล้วหลังจากเลิกกัน เป็นฟีลเหมือนประมาณว่า คือผมเป็นคนขอแยกทาง เขาก็มีมาง้อผมบ้าง แล้วก็มีที่ผมไปง้อเขากลับมาคุยกัน

คือเป็นช่วงเวลาที่สับสนมากๆ เราอยู่กับคนๆ นึงมา 4 ปี ตั้งแต่ผมอายุ 19 ปี จนถึง 22 ผมเป็นคนขอเลิกก็จริง แต่ผมก็มีความสับสนหลายอย่าง คือเขามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตผมมากๆ”

2 ปีที่เลิกกันก็ติดต่ออยู่เรื่อยๆ? “มันมีหลายช่วงมาก มีช่วงที่ลองเป็นเพื่อนกัน ลองเป็นที่ปรึกษากัน หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดแต่ก็ไม่อยากลงดีเทลลึกมากเพราะมันเป็นเรื่องของผมกับเขา และเขาไม่ได้มาพูดตรงนี้ด้วย”

แล้วสภาพจิตใจที่บอกว่าเปราะบางมันเกิดตั้งแต่ตอนไหน? “เขาเป็นคนที่สภาพจิตใจเปราะบางมาตั้งแต่รู้จักกันอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ร่วมค่อนข้างสูงเวลาเขารู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ในความเป็นจริงการเลิกของผมกับเขา ตามที่ผมบอก ทำให้เขาเจ็บปวดมากๆ”

ระหว่าง 2 ปีที่เลิกกันต่างคนมีคนคุย? “ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตครับ (ก็ยังไม่มีแฟนใหม่ทั้งคู่?) ทางฝั่งเขาผมคิดว่าไม่นะ ไม่ได้มีครับ”

ย้อนไปเรื่องคลิปที่ได้มีการคุยกันได้มีข้อตกลงอะไรกันไหม? “เขาขอไตร่ตรองก่อนครับ”

แสดงว่าตอนนี้เขาก็ไม่ได้รับปากว่าจะจัดการอะไรให้? “ไม่ได้รับปากครับ แต่ผมก็คาดหวังให้เขาลบนะ”

เรายืนยันว่าไม่เคยทำร้ายร่างกาย แต่ข้อความที่เขาเขียนในคลิปมันบ่งบอก แล้วเหตุผลอะไรที่เขาไม่ยอมลบ เพราะเราถูกโจมตีทำลายชื่อเสียงของเรา? “ผมตกใจมากๆ หลังจากที่เขาลงคลิปหลังจากที่วางสายก็คือไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยจนตอนนี้”

เขาให้เหตุผลอะไรไหมเพราะคลิปและข้อความที่เขาลงมันไม่ใช่เรื่องจริง? “ตามที่ผมแจ้งเมื่อกี้ เขาทักมาหาผมแล้วไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ (แค่โกรธที่เราพูดให้ความหวัง?) ตรงนี้ผมไม่มั่นใจ ว่าเป็นความโกรธหรือความเสียใจ แต่เขาเสียใจ (คำตอบที่ได้จากเขาคือแค่เสียใจกับคำพูดของเรา?) ประมาณนั้นครับ”

แต่เขาใส่ร้ายเรานะกับการทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องที่รุนแรง? “ใช่ครับ เป็นสิ่งที่รุนแรงและสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตนของผมจริงๆ”

แล้วเราบอกไหมว่าสิ่งที่เขาโพสต์มันส่งผลกระทบและเอาผิดได้? “เรื่องนั้นผมทราบดีครับ คือพอเป็นคนที่เราเคยคบหากัน ผมไม่ได้คิดจะ คือเท่าที่ผมทราบ ทางค่ายได้ติดต่อไปคุยกับทางคุณแม่เขาแล้ว”

เขามีใบแจ้งความมาไหมที่เราทำร้ายร่างกายเขา? “ตรงนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”

ทางค่ายพอได้คุยกับเขา เขาตอบรับมายังไง? ผู้บริหาร : “มีคนในทีมงานที่พอรู้จักน้องและแม่ด้วยพยายามคุย ก็อย่างที่แพทริคเล่ามันเป็นเรื่องหัวใจ เราอยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกันแล้วจริงๆ หวังว่าจะมาเคลียร์กัน อย่างแพทริคเองคงไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากเอาเป็นเรื่อง จริงๆ วันนี้มีโอกาสให้แพทริคเล่าเรื่องของเขา

แต่เราก็คุยกับเขา เขาก็เข้าใจเหมือนกันแต่ยังไม่ได้มีการตกลงอะไรกัน เราก็มีการบอกกล่าวครอบครัวน้องเขาว่าวันนี้เราขออนุญาตให้แพทริคเล่าเรื่องในด้านของเขาเพราะถ้าน้องไม่พูด คนจะตัดสินใจข้อมูลแค่ด้านเดียว หวังว่าเราจะยังมีการคุยกัน เราเองไม่อยากจะตัดสินอะไรเลย เรารู้จักทั้งสองฝ่าย เราก็พยายามคิดในแง่ที่ดีที่สุดสำหรับแพทริค

และสำหรับค่ายเองเราคิดว่าต้องให้ความยุติธรรมกับแพทริคให้เขาได้เล่า เราขอให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกัน เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้น เขาคงรอดูว่าวันนี้แพทริคจะพูดอะไร เราไม่อยากจะทำให้ใครเสียหาย ในแง่ของข้อเท็จจริงอย่างน้อยให้แพทริคมีสิทธิ์พูด ถ้าจะเจรจาอีกก็หวังว่ามันจะจบด้วยดี เราไม่อยากจะมานั่งทะเลาะกัน

ทางค่ายไม่ได้อยากจะฟ้องฝ่ายหญิง ที่ทำให้แพทริคเสียหาย? แพทริค : “มันน่าจะยังไม่ไปถึงขั้นตอนนั้น”
ผู้บริหาร : “ณ ตอนนี้ยังไม่จำเป็นไปถึงขั้นตอนนั้น แล้วไม่อยากให้ไปถึงขั้นตอนขนาดนั้น คือทางค่ายเรามีข้อมูลเท่าๆ กับที่ทุกคนมีอยู่แล้ว เราไม่ได้เป็นศาล หลังจากนี้หวังว่าจะได้เคลียร์กัน”

เรายืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายตามที่เขาโพสต์ลงโซเชียล แพทริคอยากให้ฝ่ายนั้นขอโทษเราไหม?
แพทริค : “ผมคิดว่าเขาควรออกมาชี้แจงเรื่องจริงว่ามันคืออะไร เขาอาจจะโมโหผม อาจจะวู่วามหรือว่าใจร้อนหรือเปล่า เลยลงรูป คลิปวิดีโอและแคปชั่นแบบนั้นทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ผมสามารถยืนยันได้ว่า

ณ วันนั้นที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ไม่มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น นอกจากหลักฐานคลิปแล้ว ที่นั่นเป็นที่พักอาศัยของผม มียาม รีเซฟชั่น มีพยานที่อยู่ตรงนั้นด้วยที่สามารถยืนยันว่าผมไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขา”

หลายคนตัดสินเราไปแล้วจากคลิปว่าเราไปทำร้ายร่างกายผู้หญิง ช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง ได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? แพทริค : “ผมรู้สึกเสียใจ มันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจ พอผมเปิดอ่านทวิตเตอร์มีคนต่อว่าผม ตีตราว่าผมเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น นอกจากตัวของเขาเองที่รู้อยู่แล้วว่าระหว่างที่เราคบกัน

เขารู้อยู่แล้วว่าผมเป็นคนยังไง ครอบครัวเขา เพื่อนๆ ทุกคนรู้ว่าผมเป็นคนแบบไหน ผมไม่ใช่คนที่เพอร์เฟ็กต์ ผมมีข้อเสียเยอะกว่าข้อดี ทุกคนมีข้อเสียของตัวเอง แต่ว่าหนึ่งในข้อเสียนั้นไม่ใช่การใช้ความรุนแรงหรือการทำร้ายร่างกายแน่นอน ยืนยันครับ”

พอข่าวออกไปมีผลกระทบกับงานไหม โดนยกเลิกงานไหม? แพทริค : “เท่าที่รู้ยังไม่มีนะครับ ผมก็เครียด ถามว่าสภาพจิตใจเป็นยังไง ผมไม่ค่อยได้นอน นอนน้อย เพราะว่าเราอ่านกระแสคอมเมนต์ต่างๆ ในทวิตเตอร์ในสื่อต่างๆ ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน”

อยากบอกอะไรกับคนที่เข้าใจแพทริคผิด หรืออยากบอกอะไรฝ่ายนั้นไหม? แพทริค : “ผมไม่รู้ว่าผมจะสามารถเอาอะไรมายืนยัน แต่ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายใครเลยจริงๆ ระหว่างที่คบกันก็อยู่ในสายตาผู้ใหญ่และเพื่อนๆ ตลอด เราไปเรียนหนังสือด้วยกันทุกวัน ก็เจอเพื่อนฝูงทุกวัน ไม่มีใครเคยได้เห็นรอยฟกช้ำบนร่างกายของเขาแน่นอน ผมกล้ายืนยัน

ผมไม่รู้นะครับว่าเขาคาดหวังให้ผมเจ็บหรือเปล่า รู้สึกเสียใจเพราะว่าคนที่เคยรักกัน คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมในการเขียนเพลง ผมเข้าใจเขานะว่าเขาอาจจะรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของผมที่เขารู้สึกว่าผมไปให้ความหวังเขา แต่มันไม่จำเป็นถึงขั้นจะต้องบิดเบือนความจริงหรือเปล่า หรือบอกกับสาธารณชนในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับตัวผม ผมรู้สึกว่าตรงนี้ผมแค่เสียใจ”

หลังจากนี้ยังเป็นเพื่อนกันได้ไหม? แพทริค : “ให้เป็นเรื่องของเวลาดีกว่า”

เรื่องราวมันบานปลายขนาดนี้ อยากบอกอะไรกับเขา? แพทริค : “ผมเป็นห่วงเขาเสมอ มีหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเขาที่ผมไม่สามารถพูดได้ ผมคือคนที่รู้จักเขาดีสุด แล้วเขาก็คือคนที่รู้จักผมดีสุด ผมพอทราบว่าเขาเป็นยังไง

ผมไม่ติดเลยถ้าเขาจะโกรธแล้วอยากจะบอกกับสาธารณชนเรื่องที่เขาพบเจอมาจากผม เรื่องที่ผมเคยทำร้ายจิตใจเขา ถ้าเขาออกมาเล่าในส่วนที่เป็นความจริง ผมก็จะยอมรับผิดในส่วนที่ผมเคยทำ แต่ว่าในสิ่งที่เขาพูดออกมามันไม่ใช่เรื่องจริง ผมก็แค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะพูดแบบนั้น”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7551013
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7551013