เบนซ์ เรซซิ่ง เปิดใจชีวิตในเรือนจำครั้งแรก เผยสิ่งเดียวที่ทำใจไม่ได้
ได้รับอิสรภาพแล้ว หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงยาวนานถึง 6 ปี สำหรับ เบนซ์ เรซซิ่ง ล่าสุด เบนซ์ ออกมาเปิดใจในรายการของ นิกกี้ ณฉัตร กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนจำครั้งแรก ซึ่งไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ถึงคดีความข้อหาที่โดนฟ้อง พร้อมเผยเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตา มาวันนี้ได้ออกมาแล้ว โล่งใจที่สุด จากนี้ขอใช้ชีวิตให้มีความสุข
เบนซ์ บอกว่า เพิ่งออกมา ยังปรับตัวไม่ได้เลย ที่หน้าดูขาวนั้น อยู่ที่การใช้ชีวิตข้างใน ไม่ได้ไปออกแดด ไม่ได้ไปขุดดิน อยู่ภายในใต้ตึก เราก็เลือกได้ นอนอ่านหนังสือ สวดมนต์
เบนซ์ เผยสาเหตุที่เลือกออกรายการของ นิกกี้ ณฉัตร เพราะตอนที่อยู่ข้างใน ช่องของนิกกี้คนดูเยอะมาก เป็นช่องอันดับ 1 ในเรือนจำ ก็เลยคุยกับเพื่อนตั้งแต่อยู่ข้างใน ยังไม่ออกมาเลยว่า เดี๋ยวถ้าได้ออกไป จะติดต่อมาหานิกกี้เลย เพราะเราดูจนรู้หมดแล้วว่า บ้านอยู่ไหน ห้องน้ำอยู่ไหน ที่ได้ดูรายการตอนที่อยู่ข้างใน เหมือนเป็นการผ่อนคลายความเครียด เวลาคนติดคุก ไม่มีใครไม่เครียดหรอก เราก็ต้องมีสื่อบันเทิงมาผ่อนคลาย จะได้ต้องไปคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อถามว่า เป็นนักแข่งรถอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้มีคดี เบนซ์ เล่าว่า ถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 59 ช่วงนั้นชีวิตเหมือนกำลังขาขึ้น มีเรื่องงาน แข่งรถ ครอบครัว แต่งงาน มีลูก ทุกอย่างครบ จากนั้นมาเหมือนตกสวรรค์ กลายเป็นมีคดีความขึ้นมา จากข่าวที่เขาชอบพูดกัน เรื่องเครือข่าย ไซซะนะ ซึ่งตนเองก็เพิ่งรู้จัก ไซซะนะ จากข่าวที่ออกมา ตนเองก็นั่งดูข่าวก็สงสัยอยู่ว่านี่ใคร คนก็รู้จักข่าวว่า เบนซ์เป็นเครือข่ายไซซะนะ
ซึ่งตอนนั้นถามว่า เจ็บมั้ย มันเหนื่อยที่จะอธิบาย การที่มาพูดแบบนี้ คนคิดว่าแก้ตัวรึเปล่า แต่เราก็พูดไปไม่ได้อะไร จริงๆ อยากจะบอกว่าที่สื่อนำเสนอไป มันไม่ใช่ความจริงเลย แต่ว่าในส่วนของคดีก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เรื่องที่สื่อออกไปว่า ไซซะนะเชื่อมโยงรถหรู ลัมโบร์กินี ในเอกสารทั้งหมด 4,000-5,000 แผ่น เราอ่านครบทุกแผ่น ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีชื่อของ ไซซะนะ แก้ววิภา เลย แต่อันนี้ไม่ได้โทษสื่อนะ ว่าเขาออกข่าวมาแกล้งเรารึเปล่า คืออาจจะได้ข้อมูลมาแบบนั้น
เหมือนที่ผมฟังจากข่าวมาว่า ไซซะนะเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดอยู่ที่ประเทศลาว แล้วตัวที่เชื่อมโยงกับผมคือ นายบอย นาคคำ เป็นเครือข่ายของไซซะนะ แล้ว ไซซะนะ เอาลัมโบร์กินีมาฝากกับบอย เผื่อเวลาเขามาเที่ยวเมืองไทยก็เอาไปรับ เอาไปใช้ แต่ในความเป็นจริงคือ ผมก็ขายรถคันเก่าแล้วไปดาวน์ จัดไฟแนนซ์ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับไซซะนะเอารถมาฝาก
ถามว่าคดีที่ถูกจับมีเรื่องอะไรบ้าง เบนซ์ บอกว่า จริงๆ ต้นเรื่องเลยที่ทุกคนฟังเรื่องยาเสพติด เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติด เป็นเครือข่ายข้ามชาติอะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเลยถ้าจะให้มาสรุปเลยก็คือเป็นแค่เส้นทางการเงิน ต้องบอกว่าตั้งแต่เริ่มต้นคดีนี้ ผมไม่เคยถูกจับนะ แต่ตำรวจไปที่บ้านจริง ไปตรวจค้นหาพยานหลักฐาน แต่ผมก็ติดต่อไปว่าเดี๋ยวเข้าไปให้ข้อมูลกับเขา แต่จุดที่มันเชื่อมต่อจริงๆ คือเส้นทางการเงิน ที่คนมาซื้อขายรถกับเรา แต่เขาไปโดนจับเกี่ยวกับยาเสพติด แล้วเงินที่โอนไปเป็นเงินค้ายาเสพติด
ก็ได้ชี้แจงไปหมดแล้ว รวมถึงมีเอกสารให้ด้วย ก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่เคยมีคดีความอะไรสักอย่าง ขั้นตอนกฎหมายก็ไม่เคยรู้จัก แต่มาตอนนี้รู้จักแน่นเลย ในคดีของผมเขาแจ้งเป็น 2 ฐานความผิด คือ 1 คดี ในข่าวอาจจะออกมาว่า “สมคบยาเสพติด” ก็คือสมคบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เหมือนการแบ่งหน้าที่กันรับงานทำธุรกิจ แต่สำหรับข้อหาที่โดนคือ สนับสนุนและช่วยเหลือผู้กระทำความผิดทางด้านการเงิน โดยถูกฟ้องว่า เปิดบัญชีเพื่อรับโอนค่ายาเสพติด ซึ่งผมใช้บัญชีชื่อตัวเอง ซึ่งเปิดมาจะ 20 ปีแล้วใช้สำหรับทำธุรกิจ แต่คนที่โดนจริงๆ เขาไม่ใช้ชื่อตัวเอง ส่วนมากจะเป็นบัญชีม้า
ส่วนที่โดนจับเพราะผมเข้าไปให้ปากคำ อธิบายการซื้อขายรถ การจัดไฟแนนซ์ จนทางนั้นเขามีข้อมูลมีความเชื่อมโยง และมีองค์ประกอบแล้วว่ามีความเชื่อมโยงความผิด ถามว่ายอดเงินเยอะมั้ย ก็เป็นหลักล้าน แต่มันมีการโอนเงินมาแล้ว 2-3 ปีก่อน ส่วนอีกคดีที่โดนคือ ฟอกเงิน ซึ่งปฏิเสธทั้งหมด ตอนแรกก็สู้คดี แต่โดนจับเพราะมันครบองค์ประกอบแล้ว
จากนั้นชีวิตเหมือนตกสวรรค์ เรากำลังดีทุกอย่าง ทั้งงาน แข่งรถ มีสปอนเซอร์เข้า สุดท้ายเขาก็หายไปหมดไม่มีใครอยากยุ่ง โดนโซเชียลด่าเละ แต่สุดท้ายสู้คดีมา 6 ปี มันทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มองสัจธรรมความจริง โลกในโซเชียลมันก็คือโลกในนั้น ชีวิตจริงก็ส่วนชีวิตจริง
เข้าออกคุก 3 รอบ รอบแรกพอประกันตัวไม่ได้เข้าไปอยู่ 1 ปี 3 เดือน พอรู้ว่ามีคดีก็เริ่มหาข้อมูลไว้ก่อน ว่าถ้าเข้าไปอยู่ในนั้นจะเป็นยังไง การเข้าไปอยู่ในเรือนจำต้องเตรียมตัวยังไง กินอาหารยังไง ซ้อมกินข้าวเร็ว ถามว่าคิดหนีมั้ย หนีไม่ได้ เพราะเรามีลูกมีภรรยา จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเหรอ ไหนจะพี่จะน้องจะแม่ ถ้าหนีอายุความ 30 ปีเลย ไม่มีความคิดจะหนี ตอนนั้นทุกคนให้กำลังใจเยอะมาก
เบนซ์ เล่าต่อว่า 2 อาทิตย์ก่อนจะเข้าไปในเรือนจำ ตอนนั้นถึงกับไปสั่งซื้อลู่วิ่งมาวิ่ง เพราะเตรียมตัวเผื่อได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ กลัวจะป่วย ไม่แข็งแรง ภรรยา (แพท ณปภา) มาเห็นก็บอกดีเนอะ รักษาสุขภาพ ซึ่งตัวเราเตรียมความพร้อมร่างกายเพื่อจะไปอยู่หลังกำแพง
ตอนนั้นที่แย่มากคือ น้องเรซซิ่ง เขาเพิ่งคลอด เรารู้สึกผูกพัน เขาเพิ่งอายุได้ 1-2 เดือน ทาง แพท ก็ออกไปทำงานแล้ว เราก็อยู่บ้านก็เลยได้เลี้ยงลูก ด้วยความที่มันผูกพันมาก ก็ไม่เคยคิดว่าเรารักคนนึงได้มากขนาดนี้ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับเขา เราใช้เวลาอยู่กับลูกให้มีความสุขที่สุด แอบนอนร้องไห้ ไปกอดลูก โดยที่ไม่อยากให้แพทรู้ว่า ภายในเรากังวล ไม่อยากให้คนอื่นทุกข์
จนสุดท้ายศาลมีคำสั่งว่า ไม่ให้ประกันตัว เราก็คิดว่าเข้าไปเต็มที่อาทิตย์เดียว รอให้ข่าวซาๆ ก็เข้าไปแบบไม่เครียด เข้าไปคืนแรกก็นอนไม่หลับ เราไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ การที่ต้องไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังเยอะๆ เราไม่เคยมาอยู่จุดนี้เลย ก็ต้องพยายามปรับตัว กินข้าวไม่ลง เครียด นอนไม่ได้ วันรุ่งขึ้นก็เยี่ยมญาติ ทั้งครอบครัวพี่น้อง ทนาย แพทพาลูกมา
จากที่คิดว่ารอให้ข่าวซาๆ เต็มที่แค่ 1 อาทิตย์จะได้ออกไป แต่สุดท้ายก็ยื่นเรื่องแล้วยื่นอีก ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัวเลย เราอยู่ด้วยความหวัง ค่อยๆ ปรับตัวไป ในนั้นไม่ได้มีเหมือนเรื่องเล่าที่โดนล่วงละเมิด เพราะตอนที่อยู่ในนั้นก็ไม่เคยมีใครมาทำอะไรเรา เพื่อนๆ ข้างในเขาดี เขาอยากคุยด้วย จาก 7 วันที่คิดว่าจะได้กลับบ้าน สุดท้ายก็ลากยาว 1 ปี 3 เดือน สุดท้ายก็อยู่ได้ ไม่ต้องประกันแล้ว รอสู้คดีเพราะเรามั่นใจว่าสู้ได้ ก็ใช้เวลาวิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งหมด
ในช่วงที่อยู่ข้างใน เราผูกพันกับลูกมาก เป็นสิ่งที่เดียวที่ทุกข์ใจมากที่สุด เรามีลูกคนแรก เลี้ยงได้ 3 เดือนแล้วไปติดคุก และสิ่งที่บอกไว้เลยว่า ห้ามพาลูกมาเยี่ยม เพราะทำใจไม่ได้ แม้แต่รูปก็ห้ามส่งมา เพราะรับไม่ได้ แต่ก็แอบส่งมา เราก็ไปแอบยืนร้องไห้ ไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดยังไง ดูเสร็จก็เก็บใส่แฟ้มเข้าไปไว้ในล็อกเกอร์ ดูเสร็จก็เจอผ่านตาในทีวีอีก มันเป็นสิ่งที่เดียวที่เราอยู่ข้างในและทำใจไม่ได้ เรซซิ่งเป็นสิ่งเดียวที่คิดถึงตอนอยู่ในเรือนจำมากที่สุด
ตอนที่ได้ออกมาพักข้างนอก ตอนนั้นสู้คดีชนะ ติดกำไล EM ตอนนั้นดีใจมาก ได้ออกมาสู้คดีต่อศาลอุธรณ์ อยู่ข้างนอก 2 ปี 5 เดือน จนคืนวันสุดท้ายที่เรารู้ว่าจะต้องไปฟังศาล ก็ได้เตรียมตัวไปฟัง คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ผลออกมาว่า ถูกจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคดีฟอกเงินโดน 5 ปี แต่ท่านมีความเมตตาลดโทษให้ 1 ใน 3 แต่เรายังเหลือความหวัง มีศาลฎีกา ยังหวังพึ่งศาลสูงได้
ตอนนั้นเข้าไปอยู่แดนแรกรับ ก็ขอยื่นฎีกา แค่ขออย่างเดียวว่าเขาจะรับหรือไม่รับ ก็ใช้เวลารอ 1 ปี เพื่อที่จะฟังว่าเราจะได้ไปต่อไหม เสร็จก็เดินทางไปห้องวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เพื่อฟัง ฟังแล้วใจหายเลย สรุปว่า ศาลรับไว้พิจารณา แต่ว่าเรายื่นไป 2 เรื่องเลยทั้งเรื่องยาเสพติดและฟอกเงิน แต่เขารับแค่ยาเสพติด พอยื่นแล้วเหลือโทษ 3 ปี 4 เดือน เราก็พอรับได้ ก็เลยคุยกับที่บ้านว่าเรื่องฟอกเงินไม่เป็นไร ปล่อยไป ไปสู้คดีที่โทษสูงดีกว่า
ทั้งหมดรอบล่าสุดที่อยู่ไปคือ 2 ปี 8 เดือน มันยาวนานกว่าทุกครั้งที่อยู่มา จนเมื่อ 2 วันที่แล้วเดินทางไปศาล ได้รับฟัง จนในท้ายสุดก็มีผลออกมาว่า ยกฟ้องในข้อหายาเสพติด ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก เพราะอยู่ในนั้นมาไม่เคยร้องไห้เลย และปล่อยตัวกลับบ้าน มันเป็นอะไรที่สุดในชีวิต มันจบแล้ว มันไม่มีอะไรแล้ว มันตื้นตันจนห้ามน้ำตาไม่อยู่
ถามว่าตอนนี้แบ่งเวลากับลูกยังไง คือรอบนี้เราไม่มีห่วงอะไรแล้ว ก็จะได้มีเวลาทำอะไรได้เต็มที่แล้ว เติมเต็มให้ทุกอย่าง และจะใช้เวลาไปเจอให้มากที่สุด ก็จะพยายามอยู่กับแม่กับลูกให้มากที่สุด ส่วนความรักไม่มี รักตัวเอง โสด ความสุขคือ ขี่รถเที่ยว กินข้าว กินอะไรอร่อยทุกอย่าง เพราะข้างในมันไม่มีอะไรให้กินเยอะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่เขาให้เรามาตลอด ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบไม่เป็นไร บางทีคนละไลฟ์สไตล์ ไม่ก้าวก่ายกัน.
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2736288
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/celeb/2736288