"ณเดชน์" ดุดัน ท้าชนสู้ผีใน "ธี่หยด" เผยกับ "ญาญ่า" กว่าจะเป็นคู่รักซุปตาร์ในฝัน


ให้คะแนน


แชร์

กระแสแรงสุดๆฉุดไม่อยู่รายได้ทะลุ 300 ร้อยล้านอย่างรวดเร็วและยังทะยานต่อ!! เป็นอีกหนึ่งความคึกคักของวงการภาพยนตร์ไทยกับ “ธี่หยด” ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ สร้างจากเค้าโครง เรื่องจริง ตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญอันโด่งดังที่ถูกเขียนเล่าบนกระทู้พันทิปจนกลายเป็นนิยายดัง เรื่องราวของเสียงหลอนปริศนายามค่ำคืน ความสยองที่คืบคลานเข้ามาสู่ครอบครัวหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล ยักษ์ พี่ชายคนโตจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ แย้ม น้องสาว หายจากอาการประหลาด และทำให้ครอบครัวมีชีวิตรอด!! ดำเนินการสร้างโดยช่อง 3 และ M STUDIO (เอ็ม สตูดิโอ) คว้าพระเอกสุดฮอต “ณเดชน์ คูกิมิยะ” รับบท “ยักษ์” เดินทางเป็นครอบครัวพร้อมทีมแสดงฝีมือดี “มิ้ม–รัตนวดี วงศ์ทอง, เดนิส–เจลีลชา คัปปุน, จูเนียร์–กาจบัณฑิต ใจดี, เฟรนด์–พีระกฤตย์ พชรบุณยเกียรติ, นีน่า–ณัฐชา พาโดวัน” ฯลฯ ฝีมือการกำกับของคุ้ย–ทวีวัฒน์ วันทา โดยมี แป๊บ–ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ งานนี้ “ณเดชน์” เปิดโหมดความดุดัน สู้กับผีเป็นครั้งแรก เล่าการทำงานและเล่าชีวิตในวงการที่เติบโตในหลายเรื่อง…เริ่มจาก

การรับบท “ยักษ์” พี่ชายผู้ปกป้องน้องๆ และครอบครัว?

“มันส์ครับ จริงๆผมเคยคุยเรื่องโปรเจกต์หนังกับพี่แป๊บ พี่คุ้ยมาแล้วแต่ยังไม่ใช่เรื่องนี้ ปีกว่าๆ ผ่านไป พี่เค้าบอกว่าเนี่ยมีโปรเจกต์นึงสนใจเข้ามาคุยมั้ย เค้าจะทำหนังผี พี่อ๋า ผู้จัดการของผม เล่าให้ฟังว่าธี่หยดเป็นหนังผีแนวเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 50 ปีแล้ว เป็นเรื่องที่ดังมากในกระทู้พันทิป ตอนนี้ก็เป็นนิยายไปแล้ว ผมมองว่าถ้าเป็นเรื่องจริงก็อยากเล่น มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่า หรือตำนาน มันเกิดขึ้นจริงแล้วมีคนที่เสียชีวิตจริงๆ คนที่เป็นเจ้าของนิยายคือลูกหลานของคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง ตรงนี้มันน่าสนใจ เค้าให้เราไปเล่นเป็นยักษ์ด้วย พี่คุ้ยก็บอกเลยว่า บ้า ดิบ เถื่อน สายบู๊ ก็ตัดสินใจไม่ยากที่รับเพราะเรารู้สึกว่าเราแบกความดราม่าในเรื่องละครมาเยอะแล้ว อยากมีอะไรให้เราเล่นสนุกหน่อย เป็นสายบู๊ โอเคเล่นเลย”

ความเป็นยักษ์ เป็นพี่ใหญ่เป็นที่พึ่งของน้องๆ? “ผมดูแลทุกคนที่บ้านอยู่แล้วกับความรู้สึกในการรับผิดชอบชีวิตคนดูแลคนเลยทำให้ไม่ยาก”

สิ่งที่ไม่เคยเล่นก็คือสู้กับผี? “ใช่ครับ ผมมองว่ามันดี มีวิ่ง มีไล่ยิง มีต้องถือปืนลูกซองยิงจริงๆ มันมีเสน่ห์ของมันคือมันมีความเป็นมนุษย์ที่เกินจริง ระหว่างความรักที่พี่ชายมันจะมีให้กับน้องกับความอำมหิตของผีตรงนั้นอะไรมันจะแน่กว่ากัน”

ตีความการ “สู้กับผี” ยังไง?

“คุยกับพี่ที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่า เค้าบอกว่าจริงๆแล้วคือพี่ยักษ์เคยไปเป็นทหารออกรบ ยักษ์ ไม่ได้แค่เจอเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกแต่เจอเรื่องที่แบบผิดธรรมชาติมาเยอะมากๆ แล้วเคยไปปราบเสือสมิง มีของ มีครู แล้วก็เป็นคนบ้าระห่ำ เคยเสียเพื่อนตอนไปรบคือเหตุผลนึงที่ทำให้เค้ายอมที่จะกลับมาดูแลน้องๆทุกคน เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตกับคนที่บ้าน”

จะไม่เห็นความกลัวของยักษ์เลย? “มีครับ ผีมันชอบหลอกล่อ แปลงตัวมาเป็นแม่ ยักษ์ก็เลยสอยไปดอกนึงคิดว่าเป็นผี จริงๆแล้วคือยิงแม่ตัวเอง ตกใจร้องไห้ ตกใจช็อก แต่พอลงไปดูศพก็คือผี ผีมันแกล้งเล่นกับความรู้สึกเรา พอแม่ลุกขึ้นมาวิ่งไล่เค้าเลยวิ่งหนี เพราะไม่รู้จะทำยังไงแล้ว อารมณ์ช็อกก็มี มีทุกอารมณ์”

ความสัมพันธ์กับกลุ่มพี่น้องนักแสดงล่ะ? “จะบอกว่าผมถ่ายละครกับเด็กพวกนี้เหมือนผมได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มีความสุขมาก พอคัตเค้าก็เล่นแกล้งกัน คุยกันตลกๆ เราก็ทลายกำแพงไปเล่นตบมือกับน้อง ตดให้ฟังบ้าง เค้าแฮปปี้กับตัวละครแต่เค้าไม่ได้มีความกดดันหรือแบกรับภาระความรู้สึกที่มันเกินวัยพวกเค้า เอนจอยกับทุกอย่าง บางครั้งตัวเราโตขึ้น ความรับผิดชอบเยอะขึ้นแบกรับเรื่องการทำงาน พออยู่กับพวกเค้าทำให้เราลืมอะไรได้หลายอย่างๆ เช่น ความพะวง ความกดดันตัวเอง มันก็หายไปโดยปริยาย ได้รับพลังใหม่ๆที่เราเคยเป็นตอนเด็กๆแต่เราลืมไป”

เตรียมตัวเองกับบทนี้ยังไง?

“ไปเรียนยิงปืน ฟิตหุ่น คุมอาหาร คือภาพยักษ์แบบที่เราคิด เป็นภาพเด็กหัวโจกที่เพื่อนไม่กล้ามีเรื่องด้วย สู้คน”

ไม่เคยเล่นหนังผีมาก่อน? “ไม่เคยเล่น และกลัวผีมาก เพราะพี่ชายชอบหลอกตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็ดูหนังผีนะ ดูกับที่บ้าน พี่ชายผมชอบอ่านหนังสือผีมาก แต่พออยู่ในบรรยากาศ การถ่ายทำเราเห็นกระบวน การต่างๆ คนเยอะๆก็ไม่ได้คิดอะไร ถ่ายเสร็จก็ไหว้ขอบคุณเจ้าที่เจ้าทาง เรื่องนี้หนังผีเรื่องแรก มาถือปืนไล่ยิงผี เป็นแอ็กชันมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเล่น เป็นความเกรี้ยวกราดที่ผมไม่ได้สัมผัสในหนังที่ผ่านๆมา ไม่เคยได้โผงผาง สบถ ใช้วาจาหยาบคาย เปิดประสบการณ์ทั้งกับตัวผมเองและคนดูที่ไม่เคยเห็นผมในเวอร์ชันนี้”

ดูหนังเองแล้วรู้สึกยังไง? “ขนาดดูรอบกาลาเรื่องนี้จบกลับบ้านไปผมเปิดไฟนอนเลยนะ (ยิ้ม) คือผมเปิดโหมดเสพหนังในฐานะคนดูมองว่าหนังประสบความสำเร็จในการเอาคนที่กลัวผีแต่ชอบดูหนังผีอย่างผมอยู่ ทั้งสบถ ตกใจ จัมพ์ช็อก ตั้งใจดูมาก ดูเองก็หลอนเอง รู้ว่าซีนไหนตัวเองจะมาก็ใจเต้นด้วย ภาพยนตร์ธี่หยดมันคือหนังผีที่มีผสมความเป็นสากลในเรื่องของ Mechanics ของพวกองค์ประกอบของฉาก เช่นความน่ากลัว มือทะลุกำแพงแล้วหนังถลกออกมา ได้คนเขียนซีจีของ Star Wars มาเขียนให้มีความสมจริง มีความโหดเป็นหนังผีฝรั่งมากขึ้น เป็นอีกรสชาติหนึ่งมากกว่า มันมีความดิบความเถื่อน”

เวลาเล่นกับผีที่เป็นซีจีสร้างจินตนาการยังไง? “เค้าจะบอกจุดว่าอยู่ตรงนี้ ยิงตรงนี้ หรือตอนเห็นน้องมีตับไตไส้พุงทะลัก กลิ่นสาบ ก็ต้องสร้างขึ้นมาเองว่าเราเห็น เราได้กลิ่น ส่วนตัวรู้สึกว่าตรงนี้ยาก”

หน้าหนังมีคำว่าณเดชน์ ด้านหนึ่งคือการดึงความสนใจ อีกมุมหนึ่งคือความกดดันเรากดดันมั้ย?

“กดดันครับ วันแรกของการเข้าฉากคือวันที่กดดันที่สุด มันแบบจะใช่รึเปล่าวะ แล้วพี่คุ้ยเป็นแนวนักแสดงอยากทำอะไรทำเลย เดี๋ยวพี่คุ้ยจะปรับบาลานซ์เอง ซึ่งเวลาทำไปพี่คุ้ยก็บอกว่าดีแล้วๆ เราก็ประหม่าคิดว่าแล้วดีรึยังนะ ก็ผ่านไปได้ เวลาที่หนังมันถ่ายแค่ไม่กี่คิว แล้วกลับมาใช้ชีวิตเป็นณเดชน์ มาออกงานอีเวนต์ เราก็กลัวไม่ปะติดปะต่อแต่ถ้าถ่ายหนังต่างจังหวัด 3-4 วันติด เราจะไหลเลย คือในเรื่องจะมีไฟแช็กของยักษ์ที่พกติดตัว ผมก็ขอทีมมาไว้ติดตัวผม ผมมองว่าการเปิดไฟแช็กฟังเสียงไปด้วย ทำให้ผมใกล้กับยักษ์มากกว่าแค่ผมอ่านบทเฉยๆ”

ถึงตอนนี้หนังกระแสแรงและหลายคนชื่นชมการแสดงของเรา? “สุดท้ายผมเชื่อว่าการแสดงแต่ละครั้ง วิธีการแสดงในแบบผม ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ อยากไปแตะจุดของคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่สิ่งที่หาได้จากการทำละครหรือหนังที่ผ่านๆมา เหมือนทดลองไปด้วยซึ่งมันมีความเสี่ยงเกิดขึ้นอยู่แล้วว่าคนดูจะชอบจะเชื่อ ถูกใจ ยักษ์เป็นจินตนาการเดียวกับผมในหนังเรื่องนี้มั้ย แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าถ้าผมรู้สึกสนุกที่ได้เป็นคาแรกเตอร์นั้นและปล่อยให้ตัวละครมันได้เฉิดฉายออกมาโดยที่เราไม่ต้องไปปรุงแต่ง แค่นั้นผมก็รู้สึกว่าผมทำหน้าที่ของผมได้ดีแล้ว”

นอกจากงานแสดง การเติบโตของณเดชน์ในวงการมีอะไรที่ไม่คิดว่าจะหล่อหลอมให้เป็นเราวันนี้?

“มันก็มีช่วงพังๆนะ มีช่วงดื้อ ช่วงอ้วน ช่วงผอม อย่างหนึ่งมันคือการที่เราอยู่ในสปอตไลต์มาตั้งแต่เด็ก การที่เราจะได้ไปโลดแล่นหรือใช้ชีวิตอย่างเด็กในรุ่นเดียวกับเราไปเฮี้ยวไปปาร์ตี้มันยาก เราอาจ จะต้องหาทางออกให้ความรู้สึกที่เราไม่เคยเจอเหมือนคนอื่น อย่างที่ว่าตอนนั้น ทำไมอยู่ๆผมไปทำผมอะโฟร ที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ตัดผมเลยเพราะละครถ่ายซ้อนกัน พอปิดเรื่องไหนว่าง 2 เดือนคือทำไปเลย หลุดไปเลย ให้ได้ใช้ชีวิตแบบที่เราไม่เคยทำ บ้าให้สุด อาจจะเป็นการบาลานซ์อย่างนึง สุดท้ายด้วยภาระหน้าที่ก็กลับมาใหม่ พอเราโตขึ้นมันสบายขึ้น เราบาลานซ์ได้ทุกอย่างลงตัว เราจัดการทุกอย่างได้โดยที่เรามีความสุขแบบที่เราก็บอกไม่ได้ว่ามีความสุขเพราะ อะไร มันเกิดจากการเติบโตด้วยและเข้าใจตัวเองด้วยว่าต้องจัดการยังไง สมองร่างกายหลั่งสารความสุข หลั่งเอ็นโดรฟินออกมา มันก็ส่งต่อไปยังคนในครอบครัว คนที่เรารัก แฟนเรา เพื่อนเราก็มีความสุขไปด้วย ได้รับพลังงานดีๆจากเราไปด้วย ผมเพิ่งมาทำได้ดีไม่นานนี้ครับ รู้สึกว่าแบบนี้เหมาะกับเรา ดีกับตัวเรา เมื่อก่อนเราพาที่บ้านไปกินของดีๆไปเที่ยวที่ดีๆ เราคิดว่าเค้ามีความสุขแล้วแต่ผมว่ามันไม่พอ ถ้าเรายังทำงานหนัก ยังโหมงาน เค้าก็คงไม่สุขและที่เราทำไปทุกอย่าง เรากำลังบั่นทอนตัวเองรึเปล่า ถ้าเราทำตัวเองให้มีความสุขก่อนแล้วค่อยเอาความรู้สึกตรงนั้นไปเผื่อแผ่คนอื่น มันจะยิ่งสบาย”

มีจุดเปลี่ยนตรงไหนมั้ย? “มีวันหนึ่งนั่งรถสาธารณะกลับคอนโด อยู่ดีๆก็คิด ผมจำความรู้สึกนั้นได้ที่คิดว่าเรามีหลายอย่างที่ต้องจัดการเยอะไปหมด สุดท้ายคิดว่าอะไรที่ผมต้องทำแล้วไม่มีผลกับคนอื่น ผมทิ้งหมด เริ่มทุกอย่างใหม่”

ความรักกับ “ญาญ่า–อุรัสยา” ที่เป็นเหมือนคู่รักในฝัน รู้สึกยังไงที่คนลุ้นไปกับคู่เรามาตลอด?

“จริงๆเราก็เหมือนกับคู่อื่นๆที่มีปัญหาเกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งเป็นคนสองคนที่ต้องมาอยู่ด้วยกันจากการคิดคนเดียว ชอบไม่ชอบคนเดียว พอมาคบเป็นแฟนก็ต้องมีเรื่องปรับเข้าหากัน ถ้ามาอยู่ด้วยกันก็ต้องปรับสเต็ปต่อไป สเต็ปต่อไปอีกเรื่องมีลูกก็น่าจะต้องบาลานซ์ให้ดีที่สุด”

ผ่านช่วงล้มลุกมาทุกรสชาติขนาดไหน? “มันก็มีนะครับ มันก็มีช่วงที่เราออฟซีซันไปหน่อย ตอนนั้นเราไปตกลงกับตัวเองว่าจริงๆแล้วเราต้องการกัน และกันมากขนาดไหน แล้วมันก็ได้คำตอบ ซึ่งโชคดีที่มันตอบได้เร็วมากที่เรากลับมาจับมือกันเดินหน้าไปด้วยกันอีกครั้งจนถึงวันนี้ ตอนนั้นเรากลับไปจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในส่วนของเรา จัดการเร็วมากโดยไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งเค้าให้โอกาส และผมโชคดีที่มีเค้าในชีวิต”

จากวันแรกกว่าจะรู้ใจปรับกันเยอะมั้ย? “เรามีทั้งบางอย่างที่เหมือนกันและบางอย่างที่ต้องจูนกัน บางอย่างที่จูนไปแล้วแต่ผมดันลืมก็มีนะ (หัวเราะ) บางทีคุยไปแล้ว ขอโทษลืมๆ วันนี้ถามว่ารู้ใจเลยมั้ย ก็เกือบๆ คือเราสองคนพอทำงานแล้ว เราโฟกัสงานมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ พอเราและเค้าอยู่ในหน้าที่ ใจเค้าไปอยู่ตรงนั้น ถ้าเราว่างเราอย่าฟุ้ง ไม่งอแง เค้าก็เหนื่อยอยู่แล้ว กลับกันถ้าผมทำงานเยอะ นอนน้อย อะไรก็ไม่ใช่ไปหมด มันเลยต้องใจเย็น ซึ่งเรารู้จังหวะกัน เราต้องแคร์เค้ามากขึ้นแทนที่จะคาดหวัง ถามไถ่เป็นห่วงดูแล บอกรัก บอกคิดถึงกัน”

หลายคนบอกว่าเวลาเราสวีตหวาน แสดงความรักกัน ทำให้รู้สึกฟินได้แบบ “แฟนเค้าแต่เราเขิน”? “เราอาจจะมีมุมเป็นฝรั่งหน่อยที่ชอบแสดงออกความรักกัน ก็ดีใจครับที่เราได้เป็นกำลังใจกับคนที่เหนื่อย ท้อหรือกำลังป่วยๆไม่สบาย แค่ได้เห็นข่าวดีของเราสองคนแล้วเค้ามีกำลังใจ ก็เป็นความรักที่มันส่งต่อให้กับหลายๆคนได้”

งานแต่งงานต้องสมฐานะความเป็น “ญาญ่า” แบบที่เคยบอกมั้ย? “สมนะครับ คิดว่าเหมาะกับเราทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นที่ไทย ต่างประเทศ”

จะร้องไห้เหมือนหมากมั้ย? “เค้าน่ารักกันมาก พี่หมากเค้าเซนซิทีฟ ผมคงไม่นะ ถึงงานจริงๆ เราจะทำแบบเค้าตรงที่ไม่สนใจอย่างอื่น สนใจแค่คู่เราเอง แต่ก่อนหน้างานต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย”

เดี๋ยวนี้ทั้งณเดชน์ ญาญ่าแซ่บขึ้นแพ็กคู่ มันมีอะไรปลดล็อกมั้ย?

“ผมว่าเราคงโตขึ้น เป็นอารมณ์อยากโชว์ ผู้ชายหลายคนก็โชว์เยอะเหมือนกันนะ ถอดเสื้อเล่นฟิตเนส เราก็เป็นคนที่เราก็ดูแลตัวเอง มีบอดี้ที่แบบก็พอได้ ก็เลยคิดว่าเออโชว์ๆเรียกแบบน้ำย่อยให้กับพ่อแก่แม่เฒ่าอะไรแบบนี้”

ถึงวัยพร้อมโชว์แล้ว? “ถึงวัยครับ แต่จะให้ไปใส่กางเกงว่ายน้ำถ่ายแบบก็คงไม่ไหว”

แข่งกันเองหรือเปล่า ญาญ่าก็แซ่บ? “เค้าจะเซฟตัวเองกว่าผมนะ เป็นผู้ชายมันโชว์ได้แค่บอดี้ข้างบน แต่เป็นผู้หญิงก็ต้องระวังไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง ช่วงบน”

แซวกันเองมั้ยกับความแซ่บที่มากขึ้น? “เค้าก็จะปรึกษาว่านี่รูปนี้โป๊ไปมั้ย บางทีเรามองว่าไม่โป๊แต่เค้ามองว่าโป๊”

เรียกว่าโอเพ่นทั้งคู่? “เค้ารู้แล้วว่าผมชอบถอดเสื้อแต่เมื่อก่อนน้องเค้าอาจจะอายที่ผมถอดเสื้อแล้วเดินด้วยกันเค้าจะอายครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไรแล้ว เค้าแค่เดินหนีออกไปแค่นั้น”

โตแล้วไม่หวงแล้ว? “ไม่ค่อยครับ ถ้าเราอยู่ก็โอเค ถ้าแต่งตัวไปงานก็มีถามกันนิดนึง”

หลายคนยกให้ “ณเดชน์” มีความเป็น พระเอกทั้งในและนอกจอ ทั้งการใช้ชีวิตดูแลคนอื่นได้ดี?

“ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากเลยที่ทั้งสังคม คนในครอบครัว ทีมงาน ผู้จัดการผม หล่อหลอมแล้วก็โชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานดีๆ ได้เจอทีมงานดีๆ คนดีๆ ยังให้โอกาสเราทำงานอยู่ในวงการนี้ ทุกอย่างมันก็เดินทางเร็วก็ถือว่าบุญหัวแค่ไหนแล้วที่เรายังได้ทำตรงนี้อยู่ ซึ่งเราไม่เคยคาดหวังหรือวางแผนตั้งกฎเกณฑ์ว่าเราต้องทำอย่างนี้ ต้องเป็นคนอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเราแค่เป็นตัวเองในแบบที่เราเป็น คำว่าพระเอกมันคือกาลเทศะต่างหากที่มันบ่งบอกว่าเราเป็นพระเอกหรือเปล่า ถ้าเรารู้ว่าเราทำถูกต้องถูกกาลเทศะ ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่ได้ทำผิดจรรยาบรรณหรือคุณธรรม ผมว่าตรงนี้มันพอแล้ว แต่การทำตรงนี้ให้ได้ตลอดเวลามันก็เป็นเรื่องยาก มันก็ต้องมีบางทีที่ดื้อซนบ้าง แต่เป็นเพราะตัวเองที่เชื่อคนอื่น เลยทำให้ตัวเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จด้วยครับ”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2737734
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2737734